แฉวงการสตั๊นท์แมนฮ่องกงรัวๆ
หลัวหลี่เสียน เป็นยอดสตั๊นท์แมนที่ไม่รู้แกนึกรำคาญอะไรหรือเปล่า เลยออกมาแฉแหลกถึงวงการสตั๊นท์แมนฮ่องกง ซึ่งใจความส่วนหนึ่งเขาเขียนลงบล็อกส่วนตัวในปี 2007 ว่า
.
" เฉินหลงใช้ตัวแสดงแทนมาตลอด เพียงแต่เขาใช้น้อยกว่าดาราคนอื่นๆเท่านั้นเอง ผมแสดงแทนเขามาหลายเรื่องมาก เทคนิคการถ่ายทำคือเขาจะถ่ายซีนของสตั๊นท์แมนที่แสดงแทนเขาก่อน แล้วจึงมาถ่ายซีนของเฉินหลงซ้ำกันอีก เอามาตัดต่อรวมกันคนดูก็แยกไม่ออกแล้ว
.
ใน Police Story 3 Super Cop วิ่งสู้ฟัด 3 ผมเกือบตายเพราะแสดงฉากเสี่ยงตายแทน หยางจื่อฉุน (มิเชล โหยว) ในซีนขับมอร์เตอร์ไซค์ขึ้นไปบนรถไฟ ผมพลาดตกลงมา กระดูกผมแตกไป 6 จุด ฉากนี้ขนาดเฉินหลงเองยังไม่กล้าดูมันซ้ำเลย
.
หลิวเต๋อหัว ก็ใช้บริการผมมาตลอด เมื่อก่อนเขาไม่มีพื้นฐานกังฟูเลย เขาเชื่องช้ามากๆ แต่หลายปีผ่านไปเขาก็พัฒนาขึ้นเยอะเลย
.
ผู้กำกับฯที่ผมนับถือที่สุดผมยกให้เป็น จอห์น วู เขาทำหนังแตกต่างออกไป หนังของเขาทำให้นักแสดงแทนรู้สึกผ่อนคลายเพราะไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงมากนัก เพราะมันไม่ได้กระโดดตึก ตกภูเขา หรือมีฉากหวาดเสียวอะไรเลย แต่หนังออกมาเป็นแอ็คชั่นที่สนุก
.
ฉีเคอะก็เป็นคนที่ทำเทคนิคพิเศษต่างๆได้ดีมาก ถังจี้หลิน ก็เป็นอีกคนที่จัดการกับหนังแอ็คชั่นของเขาได้ดี "
.
++++++++++++++++++++++++++++++
.
โอเคสรุปแกเป็นสตั๊นท์แมนที่กุมขมับทุกทีที่ เฉินหลง เรียกใช้บริการ เพราะหนังของเฉินหลงฉากสตั๊นท์จะมีความเสี่ยงตายมาก ส่วนในหนัง จอห์น วู นั้นไม่ต้องเสี่ยงอะไรมากมาย รวมไปถึงหนังของ ฉีเคอะ ที่เน้นเทคนิคพิเศษ ซึ่งสตั๊นท์แมนจะเสี่ยงสุดก็แค่ฉากขึ้นสลิงเหาะ การออกมาแฉอะไรเละเทะขนาดนี้ก็น่าจะทำให้ทีมงานของ เฉินหลง ไม่กวักมือเรียกใช้บริการทีมของเขาอีกแล้ว
.
สุดท้าย หลัวหลี่เสียน ยังทิ้งท้ายแขวะหนังอย่าง องค์บาก ว่า หนังไทยเรื่องนี้ไม่ได้ใช้มวยไทยเพรียวๆในหนัง เพราะเท่าที่เขาเห็นมันมีส่วนผสมของมวยจีนเยอะเลย