ทำไม Gen Y ถึงเปลี่ยนงานบ่อย? เรามีคำตอบ
โพสท์โดย loveja
เราว่ายังไม่ต้องเสียเวลาไปคิดคำตอบของคำถามพวกนี้หรอก แต่ควรเริ่มจากการตั้งคำถามว่าโลกตอนนี้มันเปลี่ยนไปยังไง ทำไมวิธีการเดิมๆ ระบบกฎแบบเดิมๆ ที่เคยทำงานได้ดี เค้าอยู่มากันหลายสิบปีก็ไม่มีปัญหา เพิ่งมีปัญหาเยอะขึ้นเรื่อยๆกันตอนนี้ // เพราะโลกมันไม่เหมือนเดิมยังไงล่ะ แล้วโลกมันก็หมุนเปลี่ยนของมันไปทุกวัน มันไม่สนใจว่าคุณจะเห็นด้วย จะชอบการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้รึเปล่า ก็เหมือนกับที่โลกไม่สนใจการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์นั่นแหละ // เราว่าความต่างหลักๆ ของ Gen X และ Gen Y ที่มันนำไปสู่ปัญหาการลาออกของ Gen Y มีดังนี้
1 Choices
จะพูดว่า Gen Y เป็นเด็กสปอยก็คงไม่ผิดนัก แต่ก็เพราะเค้าเกิดมาพร้อมกับ choice ที่เยอะมากในทุกๆด้านของชีวิตและหลั่งไหลมาให้เลือกตลอดเวลา มีร้านอาหารมีขนมเป็นพันเป็นหมื่นอย่างให้เลือกกิน มีหนังมีการ์ตูนหลายพันเรื่องให้เลือกดู มีกิจกรรมมากมายมีเพื่อนมากมายให้เลือก
เรียกว่า Gen Y ไม่ได้ต้องเสียเวลามากมายในการเสาะแสวงหาสิ่งต่างๆแบบ Gen X แต่กลับต้องใช้เวลามากกว่าในการเลือกว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดีที่สุด เรื่องความรักเราก็มี Tinder และสารพัดแอปสารพัดช่องทาง เรื่องงานเราก็มี linkedin ซึ่งแค่สร้าง account แปะ profile ไว้ มันก็พร้อมจะนำเสนอ option งานใหม่ๆให้เราตลอดเวลาดโดยที่ไม่ต้องตั้งใจหา ยิ่งเป็น professional ที่มี specific skills ที่ตลาดต้องการ HR, headhunter รุมเข้าหาก่อนด้วยซ้ำ
สิ่งนี้ก็ทำให้เกิด attitude ที่ไม่เหมือนกันของสองเจน นำไปสู่ความคิดที่ว่าทำไม Gen Y ถึงไม่อดทนและเรียกร้องสูง เหตุผลก็เพราะ Gen Y รู้ว่ามี choices มากมายอยู่ในตลาด ถ้าเคยเลือกอะไรแล้วมันเปลี่ยนไปมันไม่เหมาะไม่ดีเหมือนเก่าไม่เหมือนภาพที่เห็น ก็เททิ้งเลือกของใหม่ที่ดีกว่าได้ตลอด
การโวยวายว่าทำไมลูกค้าไม่เลือกเราไม่อาจแก้ปัญหายอดขายตกได้ฉันใด การโวยวายว่าทำไมเด็กถึงไม่อดทนอยู่กับเราก็ไม่อาจแก้ปัญหาturnoverสูงได้ฉันนั้น // ก็เห็นใจคน Gen X ที่ก็คงคิดว่าทำไมต้องมาสนใจเอาใจเด็ก สมัยก่อนไม่เห็นต้องวุ่นวายก็อยู่กันได้ เป็นเด็กก็อดทนไปก่อนสิ ก็ตอบว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว อำนาจการต่อรองของสองฝ่ายมันเปลี่ยนไป
แต่ทำไมบริษัทไม่คิดแง่บวกล่ะว่าถ้าตัวเองเป็น choice ที่ดีจริงๆ จะดึงดูดเด็กเก่งๆในยุคนี้ได้ง่ายกว่าในยุคก่อนมาก แล้วก็เอามาช่วยทำงานทำกำไรได้มากมาย
1 Choices
จะพูดว่า Gen Y เป็นเด็กสปอยก็คงไม่ผิดนัก แต่ก็เพราะเค้าเกิดมาพร้อมกับ choice ที่เยอะมากในทุกๆด้านของชีวิตและหลั่งไหลมาให้เลือกตลอดเวลา มีร้านอาหารมีขนมเป็นพันเป็นหมื่นอย่างให้เลือกกิน มีหนังมีการ์ตูนหลายพันเรื่องให้เลือกดู มีกิจกรรมมากมายมีเพื่อนมากมายให้เลือก
เรียกว่า Gen Y ไม่ได้ต้องเสียเวลามากมายในการเสาะแสวงหาสิ่งต่างๆแบบ Gen X แต่กลับต้องใช้เวลามากกว่าในการเลือกว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดีที่สุด เรื่องความรักเราก็มี Tinder และสารพัดแอปสารพัดช่องทาง เรื่องงานเราก็มี linkedin ซึ่งแค่สร้าง account แปะ profile ไว้ มันก็พร้อมจะนำเสนอ option งานใหม่ๆให้เราตลอดเวลาดโดยที่ไม่ต้องตั้งใจหา ยิ่งเป็น professional ที่มี specific skills ที่ตลาดต้องการ HR, headhunter รุมเข้าหาก่อนด้วยซ้ำ
สิ่งนี้ก็ทำให้เกิด attitude ที่ไม่เหมือนกันของสองเจน นำไปสู่ความคิดที่ว่าทำไม Gen Y ถึงไม่อดทนและเรียกร้องสูง เหตุผลก็เพราะ Gen Y รู้ว่ามี choices มากมายอยู่ในตลาด ถ้าเคยเลือกอะไรแล้วมันเปลี่ยนไปมันไม่เหมาะไม่ดีเหมือนเก่าไม่เหมือนภาพที่เห็น ก็เททิ้งเลือกของใหม่ที่ดีกว่าได้ตลอด
การโวยวายว่าทำไมลูกค้าไม่เลือกเราไม่อาจแก้ปัญหายอดขายตกได้ฉันใด การโวยวายว่าทำไมเด็กถึงไม่อดทนอยู่กับเราก็ไม่อาจแก้ปัญหาturnoverสูงได้ฉันนั้น // ก็เห็นใจคน Gen X ที่ก็คงคิดว่าทำไมต้องมาสนใจเอาใจเด็ก สมัยก่อนไม่เห็นต้องวุ่นวายก็อยู่กันได้ เป็นเด็กก็อดทนไปก่อนสิ ก็ตอบว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว อำนาจการต่อรองของสองฝ่ายมันเปลี่ยนไป
แต่ทำไมบริษัทไม่คิดแง่บวกล่ะว่าถ้าตัวเองเป็น choice ที่ดีจริงๆ จะดึงดูดเด็กเก่งๆในยุคนี้ได้ง่ายกว่าในยุคก่อนมาก แล้วก็เอามาช่วยทำงานทำกำไรได้มากมาย
2 Individualism
Gen X เติบโตมากับระบบระเบียบ ทุกคนเหมือนๆกัน Seniority, Order, Tradition, Unity, Spirit
แต่ Gen Y ไม่ได้เติมโตมาแบบนั้น Gen Y เติบโตมาพร้อมกับ Facebook, Instagram, Britney และ Lady Gaga เติบโตมาพร้อมกับกับโดน นิ้วกลม Cutto และเหล่าเซเลปทั้งหลายตะโกนใส่ตลอดเวลาให้เป็นตัวของตัวเอง มีความคิดของตัวเอง
มักได้ยิน Gen X บ่นว่าทำไม เด็กคนนั้นเป็นแบบนั้น ทำไมเด็กคนนี้เป็นแบบนี้ไม่เป็นแบบนั้น // ก็เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกันไง เด็กอายุไล่เลี่ยกันมี lifestyle, attitude, ความคาดหวัง, ความสามารถ และความทุ่มเทที่แตกต่างกันมาก ยิ่งรุ่นเด็กลงไปอีกที่เกิดมาพร้อม Justin Bieber ยิ่งมีความเป็นปัจเจกรุนแรงไปอีก
ระบบแบบเดิมๆที่จัดเด็กเป็น batch ตามปีที่เข้า เด็กก็คงเหมือนๆกัน ก็เลยจัดการเหมือนๆกัน ให้อะไรเหมือนๆกัน เหมือนโรงงานที่ process ของเป็นล็อตๆ วิธีการที่เรียบง่ายแบบนั้นมันไม่สามารถจะจัดการ Gen Y ที่เป็นโจทย์ที่มีความซับซ้อนขึ้นได้ // ระบบควรที่จะคำนึงถึงความแตกต่างของ Gen Y แต่ละคน ควรทำความเข้าใจ ควร flexible และเลือก action ให้เหมาะสมกับแต่ละคน // เราไม่รู้นะว่าสมัยก่อนใช้เด็กสองคนรุ่นเดียวกันทำงานต่างกัน คนนึงทำหนักกว่าอีกคนสองเท่าแต่เงินเท่ากัน แล้วมาบอกว่าทำเยอะก็ได้เรียนรู้เยอะนะจ้ะ แบบนี้เด็กมันทนอยู่หรอ สมัยนี้เราว่าไม่นะ
ก่อนที่จะกลัวว่าระบบที่มีอยู่จะรวน ควรตั้งคำถามว่าระบบที่มีอยู่ยังใช้ได้ดีในยุคสมัยนี้อยู่หรือเปล่า รึว่าจริงๆมันก็ตกยุคควรเปลี่ยนอยู่แล้ว
Gen X เติบโตมากับระบบระเบียบ ทุกคนเหมือนๆกัน Seniority, Order, Tradition, Unity, Spirit
แต่ Gen Y ไม่ได้เติมโตมาแบบนั้น Gen Y เติบโตมาพร้อมกับ Facebook, Instagram, Britney และ Lady Gaga เติบโตมาพร้อมกับกับโดน นิ้วกลม Cutto และเหล่าเซเลปทั้งหลายตะโกนใส่ตลอดเวลาให้เป็นตัวของตัวเอง มีความคิดของตัวเอง
มักได้ยิน Gen X บ่นว่าทำไม เด็กคนนั้นเป็นแบบนั้น ทำไมเด็กคนนี้เป็นแบบนี้ไม่เป็นแบบนั้น // ก็เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกันไง เด็กอายุไล่เลี่ยกันมี lifestyle, attitude, ความคาดหวัง, ความสามารถ และความทุ่มเทที่แตกต่างกันมาก ยิ่งรุ่นเด็กลงไปอีกที่เกิดมาพร้อม Justin Bieber ยิ่งมีความเป็นปัจเจกรุนแรงไปอีก
ระบบแบบเดิมๆที่จัดเด็กเป็น batch ตามปีที่เข้า เด็กก็คงเหมือนๆกัน ก็เลยจัดการเหมือนๆกัน ให้อะไรเหมือนๆกัน เหมือนโรงงานที่ process ของเป็นล็อตๆ วิธีการที่เรียบง่ายแบบนั้นมันไม่สามารถจะจัดการ Gen Y ที่เป็นโจทย์ที่มีความซับซ้อนขึ้นได้ // ระบบควรที่จะคำนึงถึงความแตกต่างของ Gen Y แต่ละคน ควรทำความเข้าใจ ควร flexible และเลือก action ให้เหมาะสมกับแต่ละคน // เราไม่รู้นะว่าสมัยก่อนใช้เด็กสองคนรุ่นเดียวกันทำงานต่างกัน คนนึงทำหนักกว่าอีกคนสองเท่าแต่เงินเท่ากัน แล้วมาบอกว่าทำเยอะก็ได้เรียนรู้เยอะนะจ้ะ แบบนี้เด็กมันทนอยู่หรอ สมัยนี้เราว่าไม่นะ
ก่อนที่จะกลัวว่าระบบที่มีอยู่จะรวน ควรตั้งคำถามว่าระบบที่มีอยู่ยังใช้ได้ดีในยุคสมัยนี้อยู่หรือเปล่า รึว่าจริงๆมันก็ตกยุคควรเปลี่ยนอยู่แล้ว
3 OK, but Why?
Gen Y ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับวัฒนธรรมแบบการเชื่อฟัง ที่ฟังอะไรก็เชื่อ ว่ายังไงก็อย่างงั้น เดิมตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด แต่ Gen Y เกิดมาพร้อมกับการตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ เกิดมาพร้อมกับคำว่า “ทำไม”
การสั่งทั้งหมดขวาหัน ซ้ายหัน ให้รอ มันช่างยากเย็นสำหรับเด็กยุคนี้ สั่งอะไรไปก็มีคำถามกลับมาว่าทำไมๆๆๆ // ก็มองอีกมุมสิ ว่าบอกเค้าไปว่าเหตุและผลมันคืออะไร เด็กมันก็จะหันขวาเองโดยไม่ต้องสั่งด้วยซ้ำ
ผู้ใหญ่หลายคนรู้สึกว่าเด็กสมัยนี้ก้าวร้าว มันก็แล้วแต่จะมอง แต่ก็ต้องทำใจว่ามันไม่เหมือนสมัยก่อนที่ผู้ใหญ่จะทำอะไรก็ได้ตัดสินใจยังไงก็ได้ ผลลัพธ์อะไรต่างๆไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี จะสมเหตุสมผลหรือฟังไม่ขึ้น เด็กก็ต้องรับและปฏิบัติไป แต่ยุคนี้อะไรที่ไม่โอเค เด็กมันก็ถามกลับว่าทำไมหรือเด็กอาจจะพูดออกมาว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันไม่โอเคยังไง
ก็อย่างที่เคยได้ยินมา Gen Y ต้องการเป็นเจ้านายตัวเอง Gen Y ไม่ได้ต้องการตัวหน้า แต่ต้องการ Mentor (น้องขอเลือก Mentor พี่ลูกเกดค่ะ เฮ้ยยผิดงาน) ก็ยอมรับว่าเด็กยุคนี้มันจัดการยากจริงๆแหละแค่มีตำแหน่งสูงกว่าไม่ได้แปลว่าจะคุมได้สั่งได้แบบสมัยก่อน ถ้าอยากคุมให้ได้ Gen X ก็ต้องทำให้ Gen Y รู้สึกยอมรับในความสามารถจริงๆ รู้สึกอยากฝากตัวเป็นศิษย์ อยากเรียนรู้ด้วย แต่ถ้าทำได้เด็กมันก็ทำงานถวายหัวให้ประหนึ่ง Padawan ที่ติดตาม Jedi Master เข้าเสี่ยงตายฟาดฟันกับ Sith Lord (นอกเรื่องสู่จักรวารอันไกลโพ้น)
Gen Y ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับวัฒนธรรมแบบการเชื่อฟัง ที่ฟังอะไรก็เชื่อ ว่ายังไงก็อย่างงั้น เดิมตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด แต่ Gen Y เกิดมาพร้อมกับการตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ เกิดมาพร้อมกับคำว่า “ทำไม”
การสั่งทั้งหมดขวาหัน ซ้ายหัน ให้รอ มันช่างยากเย็นสำหรับเด็กยุคนี้ สั่งอะไรไปก็มีคำถามกลับมาว่าทำไมๆๆๆ // ก็มองอีกมุมสิ ว่าบอกเค้าไปว่าเหตุและผลมันคืออะไร เด็กมันก็จะหันขวาเองโดยไม่ต้องสั่งด้วยซ้ำ
ผู้ใหญ่หลายคนรู้สึกว่าเด็กสมัยนี้ก้าวร้าว มันก็แล้วแต่จะมอง แต่ก็ต้องทำใจว่ามันไม่เหมือนสมัยก่อนที่ผู้ใหญ่จะทำอะไรก็ได้ตัดสินใจยังไงก็ได้ ผลลัพธ์อะไรต่างๆไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี จะสมเหตุสมผลหรือฟังไม่ขึ้น เด็กก็ต้องรับและปฏิบัติไป แต่ยุคนี้อะไรที่ไม่โอเค เด็กมันก็ถามกลับว่าทำไมหรือเด็กอาจจะพูดออกมาว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันไม่โอเคยังไง
ก็อย่างที่เคยได้ยินมา Gen Y ต้องการเป็นเจ้านายตัวเอง Gen Y ไม่ได้ต้องการตัวหน้า แต่ต้องการ Mentor (น้องขอเลือก Mentor พี่ลูกเกดค่ะ เฮ้ยยผิดงาน) ก็ยอมรับว่าเด็กยุคนี้มันจัดการยากจริงๆแหละแค่มีตำแหน่งสูงกว่าไม่ได้แปลว่าจะคุมได้สั่งได้แบบสมัยก่อน ถ้าอยากคุมให้ได้ Gen X ก็ต้องทำให้ Gen Y รู้สึกยอมรับในความสามารถจริงๆ รู้สึกอยากฝากตัวเป็นศิษย์ อยากเรียนรู้ด้วย แต่ถ้าทำได้เด็กมันก็ทำงานถวายหัวให้ประหนึ่ง Padawan ที่ติดตาม Jedi Master เข้าเสี่ยงตายฟาดฟันกับ Sith Lord (นอกเรื่องสู่จักรวารอันไกลโพ้น)
4 Insecurity
การพูดว่า Gen Y ไม่ได้ต้องการความมั่นคงแบบ Gen X เป็นความเข้าใจที่ผิดนะ มนุษย์ทุกคนบนโลกก็ล้วนต้องการความมั่นคงในชีวิต ต้องการความมั่นใจว่าจะมีชีวิตที่ดี รู้ว่ามีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ มีเงินไปเที่ยวยุโรป เพียงแต่ Gen X กับ Gen Y มีมุมมองต่อความมั่นคงและเงื่อนไขในชีวิตอื่นที่แตกต่างกันทำให้การเลือกเส้นทางมันแตกต่างกัน
พูดตรงๆคือ Gen Y ไม่ไว้ใจองค์กรบริษัทใหญ่ๆแบบที่ Gen X ไว้ใจ เด็กเค้าเกิดมาในยุคที่เห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นการทรยศหักหลัง เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนผล Gen Y เกิดมาพร้อมกับความเข้าใจในโลกใบนี้ว่าบริษัทก็ย่อมทำเพื่อกำไรสูงสุด พนักงานคือค่าใช้จ่าย บริษัทย่อมต้องกดค่าใช้จ่ายพนักงานให้ต่ำที่สุด (ซึ่งหลายครั้งก็นำไปสู่ตัดสินใจที่ผิด ก่อให้เกิดปัญหาใหม่และค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าเดิม)
Gen Y ที่ทำงานมาซักพักย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่จะทำให้ตัวเองอยู่ดีกินดีไม่ใช่องค์กร แต่คือความสามารถ และ profile ของตนเองต่างหาก คำสัญญาต่างๆมันก็แค่ลมปากที่ถึงเวลาแล้วมันก็หายไปกับสายลม ไหนจะการเมืองภายใน ใครเป็นเด็กใคร ถ้าดันคนนี้แล้วคนโน้นล่ะ แค่จะเลื่อนขั้นเลื่อนเงินเดือนให้เหมาะสมกับงานปัจจุบันที่ทำได้ ยังต้องผ่านดราม่ามากมาย ยากเย็นแสนเข็น ไม่ต้องไปพูดต่อถึงอนาคตการขึ้นตำแหน่งผู้บริหารเลยว่าจะต้องต่อสู้ดราม่าขนาดไหน ก็เพราะมีวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้แล้วจะให้เด็ก Gen Y คิดฝากอนาคตไว้ได้ยังไงกัน
Gen Y รู้ดีว่ายุคนี้ทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าเราคิด แค่ช่วง 20 มานี้บริษัทยักษ์ข้ามชาติก็ล้มละลายกันไปไม่รู้กี่บริษัท ถ้ามีดีแค่ตั้งใจทำงานให้องค์กรแต่ไม่มี skills อะไรที่พิเศษ บริษัทล้มไปจะไปหาอะไรกิน
บริษัทไม่ต้องถึงขั้นวางภาพว่าจะดูแล Gen Y ไปทั้งชีวิตหรอกเพราะเค้าก็ไม่ต้องการสิ่งนั้นอยู่แล้ว ขอเพียงสัญญาอะไรไว้ สร้างภาพอะไรไว้ก็ควรที่จะรักษาสัจจะของตัวเอง และมีการประเมินผล มีการให้ตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสามารถของแต่ละคน
การพูดว่า Gen Y ไม่ได้ต้องการความมั่นคงแบบ Gen X เป็นความเข้าใจที่ผิดนะ มนุษย์ทุกคนบนโลกก็ล้วนต้องการความมั่นคงในชีวิต ต้องการความมั่นใจว่าจะมีชีวิตที่ดี รู้ว่ามีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ มีเงินไปเที่ยวยุโรป เพียงแต่ Gen X กับ Gen Y มีมุมมองต่อความมั่นคงและเงื่อนไขในชีวิตอื่นที่แตกต่างกันทำให้การเลือกเส้นทางมันแตกต่างกัน
พูดตรงๆคือ Gen Y ไม่ไว้ใจองค์กรบริษัทใหญ่ๆแบบที่ Gen X ไว้ใจ เด็กเค้าเกิดมาในยุคที่เห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นการทรยศหักหลัง เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนผล Gen Y เกิดมาพร้อมกับความเข้าใจในโลกใบนี้ว่าบริษัทก็ย่อมทำเพื่อกำไรสูงสุด พนักงานคือค่าใช้จ่าย บริษัทย่อมต้องกดค่าใช้จ่ายพนักงานให้ต่ำที่สุด (ซึ่งหลายครั้งก็นำไปสู่ตัดสินใจที่ผิด ก่อให้เกิดปัญหาใหม่และค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าเดิม)
Gen Y ที่ทำงานมาซักพักย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่จะทำให้ตัวเองอยู่ดีกินดีไม่ใช่องค์กร แต่คือความสามารถ และ profile ของตนเองต่างหาก คำสัญญาต่างๆมันก็แค่ลมปากที่ถึงเวลาแล้วมันก็หายไปกับสายลม ไหนจะการเมืองภายใน ใครเป็นเด็กใคร ถ้าดันคนนี้แล้วคนโน้นล่ะ แค่จะเลื่อนขั้นเลื่อนเงินเดือนให้เหมาะสมกับงานปัจจุบันที่ทำได้ ยังต้องผ่านดราม่ามากมาย ยากเย็นแสนเข็น ไม่ต้องไปพูดต่อถึงอนาคตการขึ้นตำแหน่งผู้บริหารเลยว่าจะต้องต่อสู้ดราม่าขนาดไหน ก็เพราะมีวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้แล้วจะให้เด็ก Gen Y คิดฝากอนาคตไว้ได้ยังไงกัน
Gen Y รู้ดีว่ายุคนี้ทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าเราคิด แค่ช่วง 20 มานี้บริษัทยักษ์ข้ามชาติก็ล้มละลายกันไปไม่รู้กี่บริษัท ถ้ามีดีแค่ตั้งใจทำงานให้องค์กรแต่ไม่มี skills อะไรที่พิเศษ บริษัทล้มไปจะไปหาอะไรกิน
บริษัทไม่ต้องถึงขั้นวางภาพว่าจะดูแล Gen Y ไปทั้งชีวิตหรอกเพราะเค้าก็ไม่ต้องการสิ่งนั้นอยู่แล้ว ขอเพียงสัญญาอะไรไว้ สร้างภาพอะไรไว้ก็ควรที่จะรักษาสัจจะของตัวเอง และมีการประเมินผล มีการให้ตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสามารถของแต่ละคน
ขอบคุณที่มา: jijeruni สมาชิกเวบไซต์พันทิป
http://pantip.com/topic/35338852
http://pantip.com/topic/35338852
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
20 VOTES (4/5 จาก 5 คน)
VOTED: ซาอิ, Lovethailand
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
"ประธานสหภาพฯ" บริษัทไดกิ้น เปิดใจหลังสั่งปิดงาน! ชี้ ยังต้องได้โบนัส
ตำรวจเรียกสอบเพื่อนสนิทที่อยู่ในเหตุการณ์คืนที่ "นัทปง" เสียชีวิตHot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
Amazing! สาวหูขาดได้รับการปลูกถ่ายหูใหม่บนหลังเท้า
ถามหาพี่เวย์ พี่เวย์ก็มา ในไลฟ์ของชีนานาเมื่อคืน นอกจากมาช่วยขายบัตรคอนแปปนึงแล้ว ก็มาถือเค้กแฮปปี้เบิร์ดเดย์ชีนานาด้วย
"เจนสุดา" ฟาดแรง! "นานา" อย่าเอาเด็กมาเรียกความสงสาร..น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ตำรวจเรียกสอบเพื่อนสนิทที่อยู่ในเหตุการณ์คืนที่ "นัทปง" เสียชีวิต
สยอง! งูยักษ์ 5 เมตรหนัก 60 กิโลฯ พังเพดานห้องน้ำ จู่โจมบ้านชาวมาเลเซียกระทู้อื่นๆในบอร์ด
ความรัก, ประสบการณ์ชีวิต
ชีวิตอยากสบายอย่าทำอะไรแบบนี้ เสี่ยงชีวิตพัง
การเดินทางที่ไม่สามารถที่จะระบุเวลาที่จะถึงได้ "แล้วแต่สถานการณ์ระหว่างทาง"
ความรู้นั้นมีการรวบรวม ส่วนของวรรณกรรมและเรื่องราวความเป็นมา (ปราสาทหินพิมาย)
"อย่าเดินเหยียบธรณีประตู" สิ่งที่ติดหูเรานั้นมาตลอด คำบอกเล่าจากยาย

