เมื่อสังคมไทยสุดโต่ง 2 ข้าง กับแนวคิดแก้ปัญหา 'ยาเสพติด'
"การมอง medicalization ไม่ดีเสมอไป ซึ่งมีผลทำให้คนล้นคุก ทั้งๆที่คนส่วนหนึ่ง คือ คนไข้ คนป่วย เราสามารถมองเรื่องปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องของการดูแลคนไข้ได้ ช่วงหลังๆ นโยบายมองไปที่เรื่อง criminalization อย่างเดียว"
เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปี คณะทำงานตรวจรับยาเสพติดให้โทษของกลาง ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะมีการนำยาเสพติดให้โทษของกลางที่คลังยาเสพติดไปเผาทำลาย ณ ศูนย์บริหารสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อมนิคม อุตสาหกรรมบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
ปีนี้ก็เช่นกัน นับเป็นครั้งที่ 46 แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำยาเสพติดไปเผาทำลาย น้ำหนักรวมกว่า 5,136 กิโลกรัม รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 10,961 ล้านบาท จากคดีทั้งสิ้น 231,100 คดี โดยประเภทของกลางยาเสพติดที่มากสุด ได้แก่
- เมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้า น้ำหนักกว่า 4,240 กิโลกรัม (ประมาณ 47 ล้านเม็ด) มูลค่าประมาณ 9,423 ล้านบาท
- ยาไอซ์ น้ำหนักกว่า 422 กิโลกรัม มูลค่า ประมาณ 1,056 ล้าน บาท
- เฮโรอีน น้ำหนักกว่า 411 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 441 ล้านบาท
- โคคาอีน น้ำหนักกว่า 9 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 28 ล้านบาท
- เอ็กซ์ตาซี่ หรือ ยาอี น้ำหนักกว่า 3 กิโลกรัม (ประมาณ 15,457 เม็ด) มูลค่าประมาณ 12 ล้านบาท
- ฝิ่น น้ำหนักกว่า 38 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 4 แสนบาท
- และอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีกัญชาของกลางที่กองบัญชาการตำรวจ ปราบปรามยาเสพติดมาร่วมเผา จำนวนกว่า 4,088 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 32 ล้านบาท
ประเทศไทยปัญหาแพร่ระบาดของแมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) ซึ่งตามบัญชีของสหประชาชาติจัดเป็นวัตถุออกฤทธ์ต่อจิตและประสานบัญชีที่ II ไม่ได้จัดเป็นยาเสพติด แต่บ้านเราเมื่อประสบปัญหาสารชนิดนี้ จึงได้ยกระดับขึ้นจากเดิมที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท 2515 เป็นยาเสพติดประเภท 1 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 135 ปี 2539 ยุคนายเสนาะ เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีบทลงโทษทางอาญาสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต
ความร้ายแรงของยาเสพติด การเปลี่ยนชื่อ ประกาศสงครามกับยาเสพติด กำหนดความผิดคดีเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นอาชญากรรมร้ายแรง การเพิ่มงบประมาณปราบปรามผู้กระทำ เพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่ การให้สินบนนำจับ ฯลฯ สารพัดวิธี จากวันนั้นถึงวันนี้ เกือบ 20 ปี เราก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติดได้
สถิติการจับกุมของกลางคดียาเสพติดในกลุ่มเมทแอมเฟตามีน มีจำนวนสูงขึ้น และปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง กลายเป็นที่มา ผู้ต้องขังล้นคุก
สาเหตุส่วนใหญ่หนีไม่พ้นมาจากคดียาเสพติด
ผศ.ดร.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราถึงเรื่องปัญหายาเสพติดในเมืองไทยที่บ้านเรามองยาบ้า เป็นเรื่องอาชญากรรม (criminalization) เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีแง่มุมทางการแพทย์ (medicalization) ด้วย
"หากเราแยก หรือดึงผู้ต้องคดีให้เป็นคนไข้ คนป่วย ปัญหาสังคมไทยจะน้อยกว่านี้ ซึ่งแนวคิดสุดโต่งกับทุกเรื่องการพัฒนาก็จะลำบากทุกเรื่อง มองสุดโต่ง ในมุมผม คือ การมอง medicalization ไม่ดีเสมอไป ซึ่งมีผลทำให้คนล้นคุก ทั้งๆที่คนส่วนหนึ่ง คือ คนไข้ คนป่วย เราสามารถมองเรื่องปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องของการดูแลคนไข้ได้ ช่วงหลังๆ นโยบายมองไปที่เรื่องcriminalization อย่างเดียว"
ผศ.ดร.นพ.บวรศม ชี้ว่า ในอดีตแนวคิด คนขายคืออาชญากร คนเสพยาเสพติด คือผู้ป่วย คอนเซ็ปนี้วันนี้หายไป บวกกับกฎหมายที่ไม่เอื้อ ลงโทษหนัก ครอบครองเกินนิดเดียวก็เลยเป็นคนเสพยาไปแล้ว
ส่วนแนวคิดพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เรื่องแก้ปัญหายาเสพติด ตั้งคำถามสังคมไทยจะอยู่ร่วมกับยาเสพติดอย่างไรให้สังคมปลอดภัยนั้น เขาเห็นว่า เป็นการดึงกลับ แต่กระแสสังคมไทย ขณะนี้ยังไม่ใช่ ตามไม่ทัน
"สังคมไทยมีสุดโต่ง 2 ข้าง คนที่อยู่ตรงกลางจะถูกด่าจากทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งไม่แปลก คนที่เข้าใจปัญหายาเสพติดจริงๆจะถูกด่าจากทั้ง 2 ฝ่าย การที่สังคมยังเบลอเรื่องนี้ การสื่อสารผิดก็จะถูกรุมแบบนี้ "
ผศ.ดร.นพ.บวรศม กล่าวทิ้งท้ายถึงปัญหาคนล้นคุก ที่บ้านเราเผชิญอยู่ คนจำนวนหนึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าไปเจอเครือข่ายในคุกแล้วออกมาขายต่อ ขณะที่ยาทางจิตเวชส่วนหนึ่ง เป็นสารตั้งต้นเดียวกันกับยาบ้า และเอาไปรักษาโรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้นก็ได้ นี่คือ ผลพวงของการแก้ปัญหาหนึ่ง และสร้างอีกปัญหาหนึ่งตามมา