หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

10 เหตุการณ์ในความทรงจำ กีฬาโอลิมปิก

โพสท์โดย ภูติบูรพา

ขอร่วมโหมโรงโอลิมปิก "Rio 2016"
ด้วยการจัดอันดับ 10 เหตุการณ์ในความทรงจำของกีฬาโอลิมปิกที่ผ่านๆมา
ซึ่งการเรียง/หรือเลือกลำดับเหตุการณ์ใดมานั้น
อาจจะไม่ถูกใจหรือตรงใจท่านก็เป็นได้
เพื่อนสมาชิกท่านใด จะลองเลือก/ลำดับเหตุการณ์สำคัญในกีฬาโอลิมปิก
ที่คิดว่าอยู่ในความทรงจำของท่าน มาแชร์กันดูก็ได้...นะคะ

 

1. โศกนาฏกรรมมิวนิค

โอลิมปิกครั้งที่ 20
มิวนิค เยอรมันตะวันตก 1972

เป็นเรื่องเศร้าเหลือเกิน ที่ความทรงจำลำดับ 1 ของกีฬาโอลิมปิก กลับไม่ใช่เรื่องกีฬาไม่ว่าจะสำนักข่าวไหน ทำโพลเช่นไร คำตอบเกี่ยวกับความทรงจำชนิดโลกไม่มีวันลืมเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิก ที่ผู้คนรำลึกนึกถึงเป็นลำดับต้น ๆก็คือ เหตุการณ์สังหารหมู่นักกีฬาอิสราเอลในบ้านพักนักกีฬา ที่มิวนิค เมื่อปี 1972 วันที่ 5 กันยายน 1972 เวลาประมาณ 04.30 น. 

ผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ ทีเรียกตัวเองว่า กลุ่มกันยายนทมิฬ (BLACK SEPTEMBER) จำนวน 8 คน พร้อมอาวุธปืนและลูกระเบิด ได้บุกเข้าไปในบ้านพักนักกีฬา และสังหารนักกีฬาอิสราเอลเสียชีวิต 2 ราย พร้อมกับจับตัวนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ชาวอิสราเอล 9 รายไว้เป็นตัวประกันกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวสมาชิกของกลุ่มจำนวน 236 ราย ที่ถูกจองจำอยู่ทั่วโลกการเจรจาล้มเหลว ผู้ก่อการร้ายสังหารตัวประกันทั้ง 9 รายและผู้ก่อการร้ายก็ถูกยิงเสียชีวิตไป 5 ราย ยอมมอบตัว 3 ราย

นักกีฬาชาวอิสราเอลทั้ง 11 คนที่เสียชีวิต

 

โฉมหน้าผู้ก่อการร้าย 8 คน 3 คนด้านบนถูกจับ อีก 5 คนที่เหลือ เสียชีวิต  

โอลิมปิกที่มิวนิค กลายเป็นโอลิมปิคแห่งความเศร้า
ธงโอลิมปิคถูกลดลงครึ่งเสา แสดงความเสียใจ ตลอดการแข่งขัน

 

กีฬาสอนให้คนรู้แพ้ รู้ชนะ รู้ให้อภัย
ผิดกับอุดมการณ์หรือความเชื่อทางการเมือง ที่มักจะสอนให้คนต้องการจะเอาชนะคะคาน ไม่ยอมปรองดองกัน
จนถึงขั้นเข่นฆ่า ทำลายล้างเอาชีวิตกัน ก็มีให้เห็นอยู่เนือง ๆ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

2. สงครามเย็นในสนามบาสเก็ตบอล

โอลิมปิกครั้งที่ 20
มิวนิค เยอรมันตะวันตก 1972

   


นี่คือ การแข่งขันกีฬาในโอลิมปิกเกมส์ ที่จบลงด้วยความขัดแย้ง ข้อกังขา เคลือบแคลง ที่เล่าขานสืบต่อกันมาชนิดไม่มีแมตช์การแข่งขันใดเทียบเคียงได้

มันคือ บาสเก็ตบอลนัดชิงชนะเลิศ โอลิมปิก 1972 ระหว่างแชมป์ผูกขาด สหรัฐอเมริกา ที่ชนะติดต่อกันมาในโอลิมปิกถึง 62 แมตช์ และครองแชมป์ยาวนานมาตั้งแต่ปี 1936กับ โซเวียต ประเทศคู่ปรับทางการเมืองในยุคนั้น ที่เรียกกันว่า "ยุคสงครามเย็น"เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในช่วงท้ายเกม เหลือเวลาอีกเพียง 3 วินาที สหรัฐได้ชูทลูกโทษ 2 ลูก ขึ้นนำ 50-49 และในที่สุด ก็จบการแข่งขัน กรรมการชาวบราซิลเป่านกหวีด นักกีฬาสหรัฐ กรูลงไปแสดงความยินดีกันในสนาม (ตามภาพ)แต่ทว่าเหตุการณ์ไม่จบลงเช่นนั้นจริง...

เพราะโค้ชทีมโซเวียต ซึ่งได้ประท้วงเรื่องการขอเวลานอกไปแล้วครั้งหนึ่ง ตั้งแต่จะเริ่มชูทลูกโทษแต่กรรมการชาวบราซิลมองไม่เห็น มาเห็นเอาตอนสหรัฐชูทลูกแรกผ่านไปแล้ว จึงไม่อนุญาตให้ขอเวลานอกได้ความผิดพลาดนี้ กลายเป็นข้อถกเถียงไม่ยอมรับของทางโซเวียตจนต้องนำการประท้วงนี้ ไปให้คณะกรรมการที่ควบคุมการแข่งขัน เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ปรากฏว่า ผลการวินิจฉัย กลับกลายเป็นว่า คณะกรรมการมีมติ 3 - 2 ให้ย้อนกลับไปเริ่มนับเวลา 3 วินาทีใหม่ และผลการตัดสินที่ทำให้ต้องเล่นกันใหม่ 3 วินาทีนั้น ทำให้โซเวียตได้ชูท 2 แต้มวินาทีสุดท้ายลงห่วง เป็นฝ่ายพลิกมาชนะ 51-50 ไปทันทีเกิดความโกลาหล วุ่นวาย ภายในสนาม ทีมสหรัฐไม่ยอมรับผลการแข่งขัน และไม่ยอมขึ้นแท่นรับเหรียญเงินหน้าประวัติศาสตร์การกีฬาได้บันทึกไว้ว่า คณะกรรมการที่ตัดสินให้กลับไปเล่นใหม่ 3 เสียงนั้น มาจากประเทศคอมมิวนิสต์ฝ่ายเดียวกับโซเวียตทั้งสิ้น 

กล่าวคือ เป็นกรรมการจากประเทศ ฮังการี โรมาเนีย และคิวบามันคือ สงครามเย็น ระหว่างโลกสองค่าย ที่อุบัติขึ้นในสนามบาสเก็ตบอล กลางกรุงมิวนิค ดี ๆ นี่เองมีเกร็ดเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากจะไม่ยอมรับเหรียญเงิน ที่สหรัฐบอกว่า เป็นการรวมหัวกันโกงจากประเทศฝ่ายคอมมิวนิสต์แล้ว ผู้เล่นสหรัฐบางคน ยังเขียนพินัยกรรมไว้อีกว่า ห้ามทายาท ผู้สืบสกุล รับเหรียญรางวัลอัปยศนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ภายหลังที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

3. ทอมมี่ สมิธ และ จอห์น คาร์ลอส กับถุงมือสีดำ

โอลิมปิกครั้งที่ 19
เม็กซิโกซิตี้ เม็กซิโก 1968

เป็นโอลิมปิกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งสถานการณ์โลก และสถานการณ์ในประเทศเม็กซิโกเอง โดยเฉพาะเป็นช่วงยุคแสวงหา สิทธิ เสรีภาพ สันติภาพ อันเป็นผลมาจากสงครามเวียดนามทำให้ความคิดต่อต้านการกดขี่จากอำนาจรัฐ แผ่กระจายไปทั่วโลก

นักกรีฑาอเมริกันผิวสี 2 คน ทอมมี่ สมิธ กับ จอห์น คาร์ลอส ที่ได้อันดับ 1 และ 3 ในการวิ่ง 200 เมตร ได้ถือโอกาสตอนที่ขึ้นรับเหรียญรางวัล ทำการประท้วง เรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ ให้โลกรู้ผ่านกล้องโทรทัศน์ ด้วยการ ไม่ใส่รองเท้า ขึ้นไปบนแท่นรับเหรียญ พร้อมทั้ง ชูกำปั้นที่สวมถุงมือสีดำ ขณะบรรเลงเพลงชาติสหรัฐ ภาพข่าวนี้ เผยแพร่ไปทั่วโลก
นักกรีฑาทั้งสองคน ถูกส่งตัวกลับสหรัฐทันที


จอร์ช โฟร์แมน กับท่า "ผู้รักชาติ" คนละขั้วกับเพื่อนร่วมผิวสีสองคนนั้นถ้าจะพูดกันภาษาชาวบ้าน นักกรีฑา 2 คนนี้ ก็คือคนที่มีลักษณะความคิดแบบ "ซ้าย" แอนตี้รัฐ นั่นเอง ในขณะเดียวกัน นักกีฬาสหรัฐ ก็มีทั้งคนที่คิดแบบซ้าย (ก้าวหน้า) และแบบขวา (อนุรักษ์นิยม รักชาติ)คนที่คิดและกระทำต่างไปจากนักกรีฑา 2 คนนี้ ก็คือ จอร์ช โฟร์แมน นักมวยเหรียญทองรุ่นซูเปอร์เฮฟวีเวท ที่มาเป็นแชมป์โลกชื่อดังในเวลาต่อมานั่นเอง จอร์ช โฟร์แมน ก้าวขึ้นรับเหรียญรางวัล พร้อมชูธงชาติสหรัฐ แสดงความเป็นผู้รักชาติ-ลูกที่ดีของสหรัฐอเมริกาได้ใจอเมริกันชนที่มีแนวคิดแบบเดียวกับเขา ไปมากพอสมควร

มีเกร็ดเกี่ยวกับการแข่งขันกรีฑาแถมท้ายนิดนึงว่าเกิดการทำลายสถิติการแข่งขันอย่างมากมาย ในโอลิมปิกครั้งนี้ สถิติการวิ่ง 100 เมตร ต่ำกว่า 10 วินาที ครั้งแรกในโลก ก็เกิดขึ้นที่นี่ สถิติกระโดดไกล ก็ถูกทำลายไปไกลเกือบ 2 ฟุตส่วนหนึ่งเพราะว่า เป็นการแข่งขันในสภาพอากาศเบาบาง แรงต้านน้อยนั่นเอง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

4. เจสซี โอเวน ผู้ตบหน้าฮิตเลอร์กลางกรุงเบอร์ลิน

โอลิมปิกครั้งที่ 11
เบอร์ลิน เยอรมนี 1936


โอลิมปิก 1936 ที่เบอร์ลิน กลายเป็นโอลิมปิกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง ของจอมเผด็จการ อด็อฟ ฮิตเลอร์ จนได้รับการกล่าวขานนามว่า "นาซีเกมส์" ทุกสนามการแข่งขัน ถูกประดับประดาด้วยผืนผ้าสีแดงตราสวัสดิกะ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของลัทธินาซีและชนเผ่าอารยัน

ถือเป็นโอลิมปิกที่มีเรื่องการเมือง และการเหยียดผิว หยามชาติพันธุ์ มาเกี่ยวข้อง มากที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิกโดยเฉพาะความเชื่อของฮิตเลอร์ ที่ว่าชนชาวผิวขาว ชนเผ่าอารยัน เท่านั้น ที่แข็งแรง เก่งกาจ ฉลาดปราดเปรื่อง ในทุก ๆ ด้าน เหนือกว่าชนเผ่าอื่น ๆ

แต่นักกีฬาผิวสีชาวสหรัฐนามว่า เจสซี โอเวน ทำให้ฮิตเลอร์เสียหน้าอย่างแรง เมื่อสามารถคว้ามาได้ถึง 4 เหรียญทอง จากการ วิ่ง 100 เมตร, 200 เมตร, วิ่งผลัด 4 คูณ 100 เมตร และกระโดดไกลโดยเฉพาะในการแข่งขันกระโดดไกลนั้น นักกีฬาเจ้าภาพเยอรมัน กระโดดทำสถิติเป็นผู้นำ โอกาสคว้าเหรียญทองอยู่แค่เอื้อมขณะที่ เจสซี โอเวน กระโดดฟาวล์ติดต่อกัน 2 ครั้ง เหลือการโดดครั้งสุดท้ายนักกีฬาเยอรมัน ได้เข้ามากระซิบบอกเคล็ดลับ เจสซี โอเวน ว่าควรจะกระโดดอย่างไร ถึงจะไม่เหยียบเส้นฟาวล์ ซึ่งเจสซี โอเวนทำตามคำแนะนำ และกลายเป็นผู้โดดแซงสถิติของนักกีฬาเยอรมันไปทันที หลังจบการแข่งขัน ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน

ภาพคลาสสิกตลอดกาล เจสซี โอเวน ทำความเคารพธงชาติสหรัฐ

ในขณะที่นักกีฬาเยอรมัน คนที่มากระซิบบอกเคล็ดลับ ทำท่าแสดงความเคารพตามแบบนาซี ต่อหน้าฮิตเลอร์ หลังจากเบอร์ลินเกมส์อีก 3 ปี ฮิตเลอร์ก็พาประเทศเข้าสู่สงคราม ก่อความหายนะให้คนทั้งโลกทำให้โลกที่สิ้นไร้สันติภาพ ไม่มีการจัดกีฬาโอลิมปิกยาวนานถึง 12 ปี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


5. นาเดีย โคมานิชี : A Perfect Ten

โอลิมปิกครั้งที่ 21
มอนทรีล แคนาดา 1976

สาวน้อยวัย 14 ปี จากโรมาเนีย นาเดีย โคมานิชีได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ในการแข่งขันยิมนาสติก คือ สามารถทำคะแนนได้เต็ม 10 (กรรมการ 7 คน ให้คะแนน 10 เต็มทุกคน) เป็นคนแรกของโลกซึ่งทำให้ สกอร์บอร์ดรายงานคะแนน ถึงกับใช้ไม่ได้ รายงานตัวเลขออกมาเป็น 1.00 เพราะไม่ได้ทำไว้รองรับตัวเลขหลักสิบ และไม่มีใครคิดว่า ตัวเลขนั้นจะเกิดขึ้นได้                

นาเดีย โคมานิชี กลายเป็นดาวเด่นแห่งโอลิมปิกครั้งนั้นไปทันที ชื่อเสียงเธอโด่งดังไปทั่วโลก มีรูปขึ้นปกหนังสือชั้นนำของโลก แทบทุกเล่ม


นาเดีย โคมานิชี ในวัยปัจจุบัน 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
6. ชีวิตในอุ้งหัตถ์พระเจ้า [Chariots of Fire]

โอลิมปิกครั้งที่ 8
ปารีส ฝรั่งเศส 1924

เรื่องราวของ 2 นักกรีฑา จากสหราชอาณาจักร ฮาโรลด์ อับราฮัม ชาวอังกฤษเชื้อสายยิว และ เอริค ลิดเดิล ชาวสกอตแลนด์  ฮาโรลด์ อับราฮัม กลายเป็นวีรบุรุษของชาวอังกฤษไปทันทีที่ชนะเลิศ วิ่ง 100 เมตร เพราะเป็นนักกรีฑาชาวอังกฤษและทวีปยุโรปคนแรก ที่แย่งแชมป์รายการนี้มาได้จากลมกรดสหรัฐ แต่เบื้องหลังของเรื่องนี้ก็คือ ฮาโรลด์ อับราฮัม ไม่ได้ถูกวางให้เป็นมือ 1 ในการวิ่งรายการนี้ ตัวเก็ง ตัวความหวัง ที่มีสถิติการวิ่งดีกว่า คือ เอริค ลิดเดิล แต่ เอริค ลิดเดิล ได้สร้างความตกตะลึงให้กับกองเชียร์ เมื่อเขาขอถอนตัว ไม่ยอมลงวิ่งรายการนี้ เนื่องจาก เป็นวันอาทิตย์ เขาต้องไปโบสถ์ ตามวิถีของคริสตศาสนิกชนที่ดี

แต่ที่น่าตกตะลึงกว่านั้นก็คือ ในวันต่อมา เอริค ลิดเดิล กลับมาลงแข่งในรายการวิ่ง 400 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่เขาไม่ถนัด และเขาคว้าเหรียญทอง เขากล่าวกับนักข่าวว่า "เป็นไปตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า"

 


Harold Maurice Abrahams 

 


Eric Henry Liddell (January 16, 1902 – February 21, 1945)


เอริค ลิดเดิล เป็นผู้มีความศรัทธาในศาสนามาก เพราะเขาเกิดในครอบครัวมิชชันนารี (เอริค ลิดเดิล เกิดในประเทศจีน ขณะที่พ่อแม่เขาไปเผยแพร่ศาสนาอยู่ที่นั่น) ภายหลังเลิกเล่นกรีฑา เขาก็ดำเนินรอยตามพ่อแม่ ด้วยการเดินทางกลับไปยังเมืองจีน เป็นมิชชันนารีเผยแพร่ศาสนาที่นั่น เช่นเดียวกัน

เรื่องราวความประทับใจเกี่ยวกับยอดนักกรีฑาแห่งสหราชอาณาจักรสองคนนี้ ได้รับการถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม เป็นภาพยนตร์เรื่อง "Chariots of Fire" ที่คว้าออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี 1982 หลายคนยังจำหนัง "ภาพสวย" และ "เพลงซึ้ง" เรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะเพลง ออริจินัลสกอร์ Chariots of Fire จากการบรรเลงของ Vangelis

ยังมีเกร็ดเล่าขานเกี่ยวกับตำนานนักวิ่งสองคนนี้อีก อย่างเช่น ในอีก 56 ปี ต่อมา เมื่อ อลัน เวลส์ นักวิ่งชาวอังกฤษ ชนะเลิศวิ่ง 100 เมตร ในโอลิมปิก 1980 ที่มอสโก เป็นคนที่สองในประวัติศาสตร์ต่อจาก ฮาโรลด์ อับราฮัมเขากล่าวว่า เหรียญทองเหรียญนี้ ขออุทิศให้แด่ เอริค ลิดเดิล ยอดนักวิ่ง 100 เมตร ที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์สหราชอาณาจักร แต่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสเหรียญทองนี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

7. คบเพลิงอันสั่นไหวของ โมฮัมหมัด อาลี

โอลิมปิกครั้งที่ 26
แอตแลนตา สหรัฐอเมริกา 1996

ภาพความทรงจำอันน่าประทับใจในโอลิมปิกครั้งนี้นอกจากภาพการแข่งขันในกีฬาประเภทต่าง ๆ แล้วยังมีภาพหนึ่ง ที่สร้างความประทับใจ อยู่ในความทรงจำของผู้คนตลอดไปคือ ภาพ โมฮัมหมัด อาลี อดีตแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ พยายามจุดคบไฟ และชูขึ้นด้วยมืออันงกเงิ่น ร่างกายสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา

บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว เมื่อได้เห็นภาพนี้ มันก้ำกึ่งอยู่ระหว่าง สงสาร กับ ปลาบปลื้ม ดีใจ ที่ได้เห็นวีรบุรุษนักกีฬา ผู้เคยยิ่งยงเกรียงไกรในสังเวียน ทว่าชีวิตบั้นปลาย กลับต้องต่อสู้กับ โรคพาร์กินสัน ที่ทำให้เขาหมดสภาพนักกีฬาผู้แข็งแกร่งในอดีต เหลือแต่ภาพชายแก่ผู้เดินเหินลำบาก กระดิกเนื้อตัวไปมายากเย็น และควบคุมกล้ามเนื้อตัวเองไม่ได้

โมฮัมหมัด อาลี หรือ แคสเซียส เคลย์ กล่าวโดยไม่ต้องยกย่องมากมาย ก็สามารถกล่าวได้ว่า นี่คือ นักกีฬาหมายเลขหนึ่งแห่งศตวรรษ (หลังขึ้นศควรรษใหม่ ปี 2000 สำนักข่าวส่วนใหญ่ โหวตให้ อาลี เป็นนักกีฬาหมายเลข 1 แทบทั้งสิ้น)


ภาพคลาสสิกตลอดกาล อาลี ตะบัน ซอนนี ลิสตัน ลงไปกอง แต่กลับไม่ยอมเดินกลับเข้ามุมให้กรรมการนับ ยืนค้ำตัวตะโกนอยู่อย่างนั้น จนกรรมการต้องมาไล่ให้เข้ามุม

เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ที่ก้าวขึ้นครองเหรียญทอง มวยสากลสมัครเล่น รุ่นไลท์เฮฟวีเวท ในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 17 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในปี 1960ก่อนจะก้าวขึ้นครองตำแหน่ง แชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวท ผู้ยิ่งใหญ่ ในชีวิตนักมวยของเขานั้น นอกจากจะได้ชื่อว่า เป็นสุดยอดนักมวยผู้ "โบยบินเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง" เขายังสร้างสีสันมากมายไว้ในวงการ ไม่ว่าจะลีลา คุยโว ทำนายผลการชกหรือแม้กระทั่งความกล้าหาญ ของเขา ทั้งการขว้างเหรียญทองโอลิมปิกทิ้งลงในแม่น้ำโอไฮโอ เพราะความคับแค้นจากการถูกเหยียดผิว(โอลิมปิคสากล ได้ทำเหรียญทองมอบให้เขาใหม่ ในปี 1996)หรือแม้กระทั่ง ไม่ยอมรับหมายเกณฑ์ทหารไปรบสงครามเวียดนามพร้อมคำพูดบันลือโลก "ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับเวียดกง"อันเป็นผลให้เขาถูกปลดออกจากแชมป์โลก ถูกสั่งห้ามขึ้นชกในหลายมลรัฐของอเมริกา เป็นเวลานาน

เมื่อหวนรำลึกไปถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 1996 โมฮัมหมัด อาลี พยายามชูคบเพลิงที่เปลวไฟพลิ้วไหวสั่นระริกขึ้นเหนือศรีษะ
เราจะมองเห็นภาพ แชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ สถิตอยู่ในภายในตัวเขา ตลอดกาล

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
8. ศึกชิงเจ้าลมกรดแห่งศตวรรษ ที่จบลงด้วยเรื่องอื้อฉาว

โอลิมปิกครั้งที่ 24
โซล เกาหลีใต้ 1988

   

ไฮไลท์สำคัญของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้คนทั่วโลกต่างจับจ้องไปที่ ศึกชิงเจ้าลมกรด วิ่ง 100 เมตรชาย ที่จะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่าง "คิงคาร์ล" คาร์ล ลูอิส ลมกรดชาวสหรัฐ แชมป์เก่าจากโอลิมปิกครั้งก่อนที่ลอสเอลเจลิส กับ "บิ๊กเบน" เบน จอห์นสัน เจ้าของสถิติโลกคนล่าสุด 9.83 วินาที ชาวแคนาดา ถึงแม้ บิ๊กเบน ดูจะมีภาษีดีกว่า ตรงที่เป็นเจ้าของสถิติโลกอยู่ แต่หลายคนก็เชื่อว่า คิงคาร์ล น่าจะมีทีเด็ดพอจะต่อสู้กับบิ๊กเบนได้ โดยเฉพาะประสบการณ์ ความนิ่ง ความเจนสังเวียนโอลิมปิกมากกว่า

แต่การชิงชัยจบลง อย่างชนิดที่เรียกว่า ไม่สูสี ไม่ได้ลุ้นเลยเบน จอห์นสัน วิ่งนำตั้งแต่ต้นจนจบ เข้าเส้นชัยอย่างขาดลอย
ทำลายสถิติโลกของตัวเองลงเหลือเพียง 9.72 วินาที ชนิดที่มีคนแซวว่า ถ้าเกิด เบน จอห์นสัน ไม่ชูมือและหันไปมองข้างหลัง
ตอนจะเข้าเส้นชัย สถิติคงดีกว่านี้อีก 

แต่อีก 3 วันต่อมา ผู้คนก็ช็อคกันทั้งโลกเมื่อคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ออกมาประกาศว่า ตรวจพบสารต้องห้ามสเตียรอยด์ ในการสุ่มตรวจโด๊ป เบน จอห์นสันจึงเป็นอันว่า สถิติและบันทึกการแข่งขันทั้งในครั้งนี้และครั้งก่อน ๆ ของ เบน จอห์นสัน ถูกลบออกโดยสิ้นเชิงเหรียญทอง ถูกยึดคืน นำมามอบให้กับ คาร์ล ลูอิส คนได้ที่สอง เบน จอห์นสัน ถูกแบน ห้ามวิ่งเป็นเวลา 2 ปี

โอลิมปิกที่กรุงโซลครั้งนี้ นอกจากเรื่องอื้อฉาวบันลือโลกของนักวิ่งชื่อดังรายนี้แล้ว ยังได้รับการกล่าวขานว่า เป็นโอลิมปิกครั้งที่เกิดเรื่องอื้อฉาวในการใช้ยาโด๊ปมากที่สุด นอกจาก เบน จอห์นสัน แล้ว ยังมีนักกีฬาที่ถูกตรวจพบสารกระตุ้นอีกถึง 4 คน

นอกจากนั้น ยังมีกรณีการโกงการแข่งขันแบบหน้าด้าน ๆ เช่น กรณีของ รอย โจนส์ จูเนียร์ นักชกสหรัฐ ที่ยำนักชกเจ้าภาพแทบจะสลบคาเวที แต่ครบยกกรรมการกลับชูมือให้นักมวยเจ้าภาพชนะไปหน้าตาเฉย รวมถึง พี่เลี้ยงนักมวยชาติเจ้าภาพอีกเช่นกัน ได้ขึ้นมาไล่ต่อยกรรมการบนเวที เพราะไม่พอใจผลการตัดสิน (อาจคิดว่า ล็อกผลการชกไว้แล้ว ทำไมไม่เป็นไป ตามนั้นละวะ)

กลายเป็น โอลิมปิกครั้งที่ อื้อฉาว น่าอับอายที่สุดครั้งหนึ่ง ที่ประเทศทั่วโลก ต้องจดจำ "เกาหลีใต้" ไว้ชั่วชีวิต
(ก่อนจะมาจดจำ ความระยำตำบอนครั้งใหม่ ในฟุตบอลโลก ที่เกาหลีใต้เป็น เจ้าภาพ อีกครั้ง)

ในส่วนของ เบน จอห์นสัน นั้นหลังจากพ้นโทษแบนแล้ว ก็กลับมาทำการแข่งขันใหม่อีกครั้งแต่อีกไม่นาน ก็ถูกตรวจพบว่า มีสารกระตุ้นต้องห้าม อีกครั้งคราหนึ่ง กลายเป็นนักกีฬาซาตาน ที่ไม่ได้ผุดได้เกิดในวงการกรีฑาไปเลย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

9. จิม โธร์ป เกียรติยศที่ได้รับคืนมา ภายหลังชีวิตหาไม่

โอลิมปิกครั้งที่ 5
สต็อกโฮล์ม สวีเดน 1912

 

จิม โธร์ป (Jacobus Franciscus "Jim" Thorpe 1888 - 1953)

จิม โธร์ป เป็นนักกีฬาผู้โชคร้าย ถูกยึดเหรียญรางวัลที่ได้รับ ซ้ำร้ายกว่านั้น ยังถูกลบชื่อออกจากสารบบนักกีฬาโอลิมปิก เพราะถูกจับได้ว่า เขาไม่ใช่นักกีฬาสมัครเล่น

ก่อนจะไปถึงเรื่องราวของ จิม โธร์ป ขอเท้าความถึงคำว่า "นักกีฬาสมัครเล่น" ที่มีส่วนสำคัญกับคำว่า "กีฬาโอลิมปิก" มายาวนาน
หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า ก่อนหน้านี้ กีฬาโอลิมปิก เคร่งครัดในเรื่องสถานภาพนักกีฬา "ห้ามนักกีฬาอาชีพ" ลงแข่งในโอลิมปิกเด็ดขาด ความเป็น "นักกีฬาสมัครเล่น" นี้ นอกจากจะต้องไม่เคยเป็นนักกีฬาอาชีพ (เล่นแล้วได้เงิน) ไม่ว่าจะประเภทใดก็ตามยังหมายถึงว่า จะต้องไม่รับข้าวของ เงินรางวัล อันจะให้ด้วยความเสน่หา หรือ จากการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า อันใดเลยเรียกง่าย ๆ ว่า "นักกีฬาสมัครเล่น" ห้ามรับเงินในทุกกรณี สมัยก่อน เคร่งครัดกันปานนั้น

กลับมาเรื่องของ จิม โธร์ป นักกรีฑาชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียนแดง ที่เข้าร่วมแข่งขัน ปัญจกรีฑา และ ทศกรีฑา ในโอลิมปิกที่สต็อกโฮล์ม และได้รับเหรียญทองไปทั้ง 2 ประเภทกษัตริย์กุสตาฟที่ห้า แห่งสวีเดน ถึงกับตรัสยกย่องว่า จิม โธร์ป คือ "นักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก"

แต่ภายหลังจากนั้นไปอีก 6 เดือน จิม โธร์ป ก็ถูกโอลิมปิก ประกาศยึดเหรียญรางวัล เพราะได้รู้ข่าวว่า ก่อนหน้านั้น เขาเคยเป็นนักเบสบอลในลีกเล็ก ๆ ประจำเมือง ได้รับเงินค่าตัว 25 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ นอกจากจะไม่ได้รับเหรียญรางวัลแล้ว เขายังถูกลบชื่อออกจาก รายชื่อนักกีฬาที่เคยเข้าแข่งขันโอลิมปิก อีกด้วย เป็นความเจ็บปวด อย่างแสนสาหัส ของนักกีฬาสมัครเล่นคนหนึ่ง
ที่เคย "เผลอ" รับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ จากกีฬาที่โอลิมปิกเรียกว่า "กีฬาอาชีพ"

จิม โธร์ป หันหลังให้วงการกีฬาสมัครเล่น ไปสร้างชื่อโด่งดังกับกีฬาอาชีพหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น เบสบอลหรืออเมริกันฟุตบอล จนกลายเป็นนักกีฬาระดับตำนานของชาวอเมริกัน เขาเสียชีวิตเมื่อปี 1953 และหลังจากนั้นอีก 70 ปี จากวันที่เขาถูกริบเหรียญรางวัล ในปี 1982 คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี)  จึงได้ทำการคืนเหรียญรางวัลให้เขา และบรรจุชื่อเขากลับเข้าสู่ทำเนียบนักกีฬาที่ได้เข้าแข่งในโอลิมปิกดังเดิม

จิม โธร์ป ได้รับเกียรติยศกลับคืนมา ภายหลังที่เขาสิ้นลมหายใจไปแล้วถึง 29 ปี ปัจจุบันนี้ ความเคร่งครัด ของคำว่า "นักกีฬาสมัครเล่น" กับการแข่งขันโอลิมปิก ได้คลายความเข้มข้น จนแทบไม่เหลือถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ของคำว่า  "นักกีฬาสมัครเล่น" อีกต่อไปแล้ว

นับตั้งแต่ นักกีฬา สามารถรับเงินรางวัลได้ มาจนกระทั่ง นักกีฬาอาชีพ ก็สามารถเข้าร่วมแข่งโอลิมปิกได้ โดยเริ่มมาแต่ปี 1988
อันเนื่องมาจาก ความเปลี่ยนแปลงของการกีฬา ได้โลกาภิวัฒน์ไปสู่ธุรกิจการกีฬา จนแทบจะเรียกได้ว่า โลกนี้ ไม่มีนักกีฬาสมัครเล่นอีกต่อไปแล้ว ถ้าโอลิมปิก ยังดันทุรัง ยึดมั่น ในถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ว่าด้วย นักกีฬาสมัครเล่น
เท่านั้นถึงจะแข่งโอลิมปิกได้ก็คงจะไม่มี กีฬาโอลิมปิก ให้เราดูอีกต่อไป เป็นแน่แท้

หมายเหตุ : ปัจจุบันนี้ ยังคงเหลือกีฬาอยู่ประเภทเดียว ที่จำแนกนักกีฬาสมัครเล่น-รับเงินไม่ได้ กับนักกีฬาอาชีพ ไว้อย่างชัดเจน คือ กีฬากอล์ฟ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

10. อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน นักมวยใจปลาซิวผู้ถูกริบเหรียญรางวัล

โอลิมปิกครั้งที่ 15
เฮลซิงกิ ฟินแลนด์ 1952


อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน (Ingemar Johansson )

ในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น รอบชิงชนะเลิศ รุ่นเฮฟวีเวท ระหว่าง เอ็ด แซนเดอร์ นักมวยสหรัฐ กับ อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน นักมวยสวีเดน กรรมการได้ยุติการแข่งขัน จับอิงเจมาร์ โยฮันส์สัน แพ้ด้วยข้อหา "ไม่ยอมต่อสู้" หรือจะพูดภาษามวยบ้านเราก็ต้องบอกว่า "ชกไม่สมศักดิ์ศรี" นั่นเอง การถูกจับแพ้ครั้งนี้ ร้ายแรงมาก เพราะคณะกรรมการตัดสิน มีมติ "ไม่มอบเหรียญรางวัล" (เหรียญเงิน) ให้กับ อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน อีกด้วย

เป็นข่าวความอื้อฉาวครั้งใหญ่ ในโอลิมปิก 1952ผู้คนในประเทศสวีเดน บ้านเกิดของ โยฮันส์สัน มีทั้งที่ไม่พอใจคำพิพากษาของคณะกรรมการ เห็นใจ อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน ทั้งที่ประณามก่นด่า อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน ว่าเป็นนักชกขี้ขลาด ใจปลาซิว ทำความขายหน้าให้แก่ประเทศชาติ

อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า เขาไม่ได้ขี้ขลาดหรือกลัวคู่ต่อสู้ จนเอาแต่ถอยหนีไปรอบเวที ไม่ยอมชกแต่เป็นการวางแผนการชกเพื่อดูชั้นเชิงคู่ต่อสู้ เขาไม่รู้สึกเสียใจ ที่ถูกจับแพ้ ไม่ได้เหรียญทอง แต่เสียใจ แต่ถูกข้อกล่าวหาร้ายแรง ว่าเป็นนักชกขี้ขลาด และเสียใจเป็นที่สุด ที่ถูกโอลิมปิก ยึดเหรียญรางวัล กลายเป็นตราบาปเขาไปตลอดชีวิต

อีกหลายปีต่อมา อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน นักชกผู้เคยถูกประณามว่า เป็นคนขี้ขลาด ใจปลาซิว ไม่กล้าสู้ ได้ลบล้างคำปรามาสของคนทั้งโลก ด้วยการก้าวขึ้นเป็น "แชมป์โลก" มวยอาชีพรุ่นเฮฟวี่เวท คนแรกและคนเดียวของประเทศสวีเดน   โดยเอาชนะน็อค ฟลอยด์ แพตเตอร์สัน อดีตนักมวยเหรียญทองโอลิมปิก  รุ่นมิดเดิลเวท ปีเดียวกับเขา กลายเป็นตำนานแห่งวงการมวย ผู้ลบล้างมลทินให้ตัวเองได้อย่างหมดจดงดงาม

อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน ชนะน็อก ฟลอยด์ แพตเตอร์สัน คว้าแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท ในปี 1982 สามสิบปีภายหลังแมตช์อัปยศที่เฮลซิงกิ คณะกรรมการโอลิมปิก ได้ลงมติ คืนเหรียญรางวัล เหรียญเงิน  ให้กับ อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน ขณะเขามีอายุได้ 50 ปี

อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน ถือเป็นนักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง ในตำนานนักกีฬาชาวสวีเดน หลังเลิกชก แขวนนวมไปแล้ว อิงเจมาร์ โยฮันส์สัน ยังใส่ใจในสุขภาพและการออกกำลังโดยหันมาสนใจการวิ่งระยะไกล จนกลายเป็นนักวิ่งมาราธอนวัยสูงอายุชื่อดังของโลก คว้ารางวัลจากการวิ่งมาราธอน มาแล้วทั่วโลก

ที่มา: http://www.pantip.com
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ภูติบูรพา's profile


โพสท์โดย: ภูติบูรพา
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
40 VOTES (4/5 จาก 10 คน)
VOTED: ono, zerotype, สาวสาวจัง, RdarM JaideE, โลกจะรู้ไหมว่าตูร้อน
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
'ไทเลอร์ ติณณภพ' ลูกชาย 'ธานินทร์' ดาวเด่นยุค 80 สู่พระเอกยุคใหม่"อ่านคำพิพากษาเต็ม ศาลมีคำตัดสินประหๅรชีวิต แอม ไซยาไนด์"น้องธาช่า" ลูกสาว "กิ๊ก สุวัจนี" แจ้งเกิดเต็มตัว! ประเดิมละครเรื่องแรกกับบทบาทสุดปัง"เต๋า ทีวีพูล" ลั่น สินค้า "แอน จักรพงษ์" ขายหมดเกลี้ยง Miss Universe 2024 กระแสเกินต้านนางเอกดังสุดเศร้า กับการสูญเสียครั้งใหญ่ โพสต์อาลัยรักสุดหัวใจ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
'ไทเลอร์ ติณณภพ' ลูกชาย 'ธานินทร์' ดาวเด่นยุค 80 สู่พระเอกยุคใหม่"วิธีใช้รีโมทแอร์ในโหมดต่าง ๆ เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าหมอเหรียญทองกำลังมองหาสถานที่เช่าสำหรับตั้งซูเปอร์คลินิก เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีบัตรทองจากโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
เกาหลีใต้ส่ายหน้า การท่องเที่ยวขาดดุลหนัก แม้ K-Culture จะปังไปทั่วโลกไทยแลนด์ปังสุด คว้าอันดับ 1 ประเทศน่าเที่ยวแห่งปี 2024 พร้อมเหตุผลที่ฝรั่งหลงรักวิชาลงทุน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร6 วิธีเติมพลังใจในวันศุกร์ เพื่อเตรียมพร้อมรับวันหยุดสุดสัปดาห์
ตั้งกระทู้ใหม่