ดร.โสภณ ประเมินผลงานรัฐบาลประยุทธ์ด้านอสังหาริมทรัพย์
ในโอกาสที่คณะ คสช. ทำรัฐประหารครบรอบ 2 ปี ผลงานด้านเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างไรบ้าง ดร.โสภณ ขอวิเคราะห์เพื่อประโยชน์ในการวางแผนพัฒนา
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง ขอประเมินผลการทำงานของ คณะ คสช. ต่อเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการในการพัฒนาประเทศยิ่งขึ้น ไว้ดังนี้:
1. เศรษฐกิจ ยังไม่ถือว่ากระเตื้องเท่าที่ควร การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2558 ที่ 2.83% นั้น ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติทางการเมืองคือปี 2555 ที่เศรษฐกิจขยายตัว 7.23% แต่มาตกต่ำในปี 2556 เหลือ 2.70% เพราะมีความวุ่นวายทางการเมืองตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนั้น) และเมื่อเกิดรัฐประหาร ก็ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2557 ตกต่ำเหลือเพียง 0.82% (http://bit.ly/20lNJ6o หน้า 3) ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเซียประเมินไว้ล่าสุดว่าในปี 2559 นี้น่าจะเติบโตเพียง 3% ขณะที่ทั่วอาเซียนจะเติบโต 4.5% ส่วนในปี 2560 อาจเติบโตดีขึ้นเป็น 3.5% แต่อัตราเฉลี่ยโดยรวมของอาเซียนจะเป็น 4.8%
2. การท่องเที่ยว แม้มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามาก แต่ใช้จ่ายน้อย การรณรงค์การท่องเที่ยวจึงถือว่าไม่ได้ผล แม้จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2559 โดยรวมน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 36.541 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ 29.881 ล้านคนอยู่ 22% แต่หากไม่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในปี 2557 นักท่องเที่ยวน่าจะเพิ่มกว่านี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (2557 และ 2559) ถึง 19.66 ล้านคน เม็ดเงินที่ได้จากการท่องเที่ยวนั้น เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวก็ลดลง นี่แสดงว่าความไม่สงบและรัฐประหารที่ผ่านมา ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวหายไปถึง -1,992,623 ล้านบาทในช่วงปี 2557-2559 ความสูญเสียเหล่านี้ประเทศชาติและประชาชนโดยรวมเป็นผู้แบกรับภาระไป ทำให้ประเทศคู่แข่งที่ด้อยกว่าเรา เข้าใกล้คู่แข่งเช่นไทยมากขึ้น ส่งผลเสียต่อประเทศชาติในการแย่งชิงลูกค้านักท่องเที่ยวในระยะยาวของประเทศไทย (http://bit.ly/1W1Q8TB)
3. คนขับแท็กซี่ดอนเมือง-สุวรรณภูมิร่วมสองพันมองเศรษฐกิจว่านับแต่ปี 2557 เป็นต้นมา เศรษฐกิจดิ่งเหวโดยตลอด แม้แต่ในปีหน้าก็ยังอยู่ในช่วงขาลง และเชื่อว่านักท่องเที่ยวลดลงมากกว่าจะเพิ่มขึ้น สำหรับการประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวในรอบ 4 เดือนแรกของปี 2559 เทียบกับ 4 เดือนแรกของปี 2558 ผู้ขับขี่แท็กซี่ส่วนใหญ่ถึง 39% เห็นว่าลดลงมาก ที่เห็นว่าลดลงเล็กน้อยมี 26% แสดงให้เห็นว่าจำนวนถึง 65% หรือราวสองในสามของผู้ขับขี่แท็กซี่ในสนามบินสุวรรณภูมิเห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง สวนทางกับข้อมูลของทางราชการ ทั้งนี้เพราะนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามามากขึ้นแทนที่นักท่องเที่ยวชาติอื่นนั้น ไม่ค่อยใช้บริการแท็กซี่ แต่จะมาเป็นหมู่คณะ ขึ้นรถทัวร์ของคณะทัวร์เอง นักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น คงไม่เพิ่มขึ้นมากนัก (http://bit.ly/1TgPQra)
4. สองปีหลังรัฐประหาร ราคาอาหารเพิ่มขึ้น 21.4% (http://bit.ly/1TyGLGs) การที่รัฐบาล คสช. ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ราคาอาหารกลับเพิ่มขึ้น 21.4% ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ความพยายามอาจจะยังไม่สัมฤทธิผลมากนัก เพราะในขณะที่ค่าครองชีพโดยทั่วไปเพิ่มไม่มากนักตามข้อมูลของทางราชการ แต่ราคาอาหารกลับเพิ่มขึ้นพอสมควร และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากก็ต่ำมาก แสดงว่ารายได้และฐานะของประชาชนกลับยากจนลงเนื่องจากราคาอาหารเพิ่มขึ้น ข้อนี้เป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องหาทางแก้ไขต่อไป แม้รัฐบาลและ คสช. อาจไม่สามารถตรึงราคาอาหาร แต่หากสามารถที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีเพื่อให้รายได้ประชาชนสูงขึ้น สอดคล้องกับราคาอาหารที่ถีบตัวสูงขึ้น ความผาสุกในสังคมก็จะเกิดขึ้น
5. ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรกฟุบหนัก เมื่อวิเคราะห์ทั้งปีจะหดตัวลงพอสมควรคือประมาณ 11% ของจำนวนหน่วย และ 19% ของมูลค่า (http://bit.ly/22nyOIR) ยิ่งหากนับรวมจังหวัดภูมิภาคด้วยแล้ว การหดตัวจะมากกว่านี้อีก เชื่อว่าเมื่อมีการเลือกตั้งในปี 2560 สถานการณ์น่าจะคลี่คลายดีขึ้น ซึ่งหากเทียบกับข้อมูลปี 2556 ในช่วงรัฐบาลก่อน จะพบว่าหดตัวลงเป็นอย่างมาก
6. มาตรการกระตุ้นไม่ได้ผลเท่าที่ควร ได้เฉพาะคนที่กำลังจะโอนพอดีในช่วงลดหย่อนภาษี ในความเป็นจริงยอดปริมาณงานทีมีการทำนิติกรรมของกรมที่ดินตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2558 มีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอด ยกเว้นในเดือนธันวาคม 2558 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของการใช้ราคาประเมินทางราชการเพื่อการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ราคาของรอบใหม่ใช้ในปี 2559-2562) (bit.ly/24pf6Tw) และยิ่งหากพิจารณาถึงรายได้จากภาษี ค่าธรรมเนียมโอนและอื่น ๆ ของกรมที่ดิน จะพบว่า ยกเว้นเดือนธันวาคม 2558 รายได้ก็ไม่แตกต่างกันโดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน 2558, มกราคมและกุมภาพันธ์ 2559 รายได้ก็ไม่แตกต่างจากเดือนก่อน ๆ เลย (bit.ly/1TsvXJP) การที่มีผู้มาโอนในวันราชการวันสุดท้ายของเดือนเมษายน 2559 ที่หมดมาตรการกระตุ้นนั้น จึงเป็นข้อยกเว้นเท่านั้น
โดยนัยนี้ทุกฝ่ายจึงควรจะสร้างความปรองดองกันอย่างแท้จริง ไม่ใช่อยากปรองดองยามฝ่ายตนทำท่าจะแพ้ หรือไม่อยากปรองดองยามฝ่ายตนมีชัย ทุกฝ่ายไม่ควรปล่อยให้เกิดสถานการณ์ที่จะมุ่งทำลายล้าง กีดกันหรือกระทั่งกำจัดศัตรูทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามโดยไม่นำพาต่อความเสียหายของประเทศชาติ ในหลายประเทศคนต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างผิวพรรณยังอยู่ร่วมกันอย่างส้นติได้ แต่คนไทย-พุทธส่วนใหญ่ด้วยกันแท้ ๆ กลับตั้งแง่ปรองดองกันอยู่ใย
ประเทศไทยควรมีการเลือกตั้งอย่างยุติธรรมและโดยเร็วตามที่ คสช.และรัฐบาลประกาศไว้แต่แรก ซึ่งจะทำให้บรรยากาศต่าง ๆ เข้าสู่ภาวะปกติแบบนานาอารยประเทศ และจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น เช่น ตัวอย่างของประเทศเมียนมา ที่เมื่อเป็นประชาธิปไตย ประเทศก็เติบโตแบบก้าวกระโดดตามที่รัฐบาลตั้งใจไว้