บันทึกการล่าเยติ(มนุษย์หิมะ)
ท่านที่อ่านเรื่องราวประเภทลึกลับคงเคยได้ยินเรื่องราวของเยติ "มนุษย์หิมะน่าสะพรึงกลัว" มาแล้วไม่มากก็น้อย ว่าเป็นสัตว์ใหญ่คล้ายพวกลิงเอป อาศัยอยู่ตามเอกเขาหิมาลัย วันดีคืนดีจะปรากฏตัวขึ้นให้ชาวบ้านแตกตื่น หรือเที่ยวฆ่าสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านให้เป็นข่าวเกรียวกราวฮือฮากันสักพักหนึ่ง บรรดานักสำรวจพยายามค้นหาครั้งแล้วครั้งเหล่าก็ค้นหาตัวมันไม่เจอสักทีกลับเจอแต"รอยเท้า" และ "กองอึ" ที่อ้างว่าเป็นของมัน แม้จะไม่หลักฐานเจ้งๆ ที่จะพิสูจน์ว่ามีตัวตนจริงๆ แต่ชาวบ้านชาวเมืองแถวๆ นั้นและบรรดาท่านักไต่เขานักสำรวจ ที่อ้างเคย "จ๊ะเอ๋" กับมันมาแล้ว ต่างพากันเชื่อว่ามันเป็นสัตว์โลผู้มีตัวตน ไม่ใช่นิยายหลอกเด็กหรือตำนานชาวบ้าน เราลองมาฟังเหตุผลของพวกเขาและศึกษาเรื่องของเยติกันเถอะ
บันทึก "เยติ"
พ.ศ. 2375-2522 ความพยายามและการค้นหาที่คว้าน้ำเหลว เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2375 อันเป็นปีที่ชาวอังกฤษคนแรกเดินทางมาถึงประเทศเนปาล ซึ่งก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ชาวยุโรปได้ยินเรื่องโจษจันถึง "สัตว์คล้ายลิงมีขนทั่วตัว" หรือ "เยติ มนุษย์หิมะน่าสะพรึงกลัว" นามกรและฉายาอันเลื่องลือ ซึ่งชาวตะวันตกเป็นผู้ขนานนามให้ พ.ศ. 2375 บี เฮ็ช ฮ็อคสัน นักสำรวจอังกฤษเดินทางมาถึงเนปาลและได้รายงานไปลอนดอนว่า ชาวเนปาลโจษจันถึง "สัตว์ชนิดหนึ่งมีขนรุงรังคล้ายลิงเอป" อยู่ตามป่าตามเขาสูง
พ.ศ.2430 คณะนักสำรวจอังกฤษในสิกขิม รายงานพบรอยเท้าเยติบนภูเขาที่สูงถึง 16,000 ฟุต ในสิกขิม นักพฤกษศาสตร์ในคณะนี้อ้างว่าเห็นสัตว์ยักษ์ชนิดหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าเป็นสัตว์ชนิดใด
พ.ศ. 2431พันตรีแอล เอ แวคเดล แห่งกองทัพบกอังกฤษ พบร้อยเท้าเยติ บนภูเขาสูง 17,000 ฟุต ในสิกขิมเช่นกัน เขาจึงเขียนหนังสือเล่าถึงความเชื่ออย่างเหนียมแน่นของชาวทิเบตใน "มนุษย์ป่าผู้มีขนรุงรัง" ซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปิคค" สำเนียงชาวเซอร์ปาออกเสียงเรียก "เยห์เตห์" สำเนียงชาวยุโรปเพี้ยนมาเป็น "เยติ" (Yeti)ที่รู้จักกันดี นอกนาจากนี้ยังมีเรียกเป็นชื่ออื่นๆ อีกเช่น ชาวเซอร์ปาบางพวกเรียกว่า "มิโก" หรือ "มิเตห์" แปลว่า "คนป่า" ชาวเลฟซาในสิกขิมเรียกว่า "ฮาแรมโม" และยังเรียกกันไปต่างๆ ตามท้องถิ่นต่างๆ ในไซบีเรียและบริเวณเอเชียกลางของรัสเซียรวมทั้งในแถบมณฑลซินเกียงทางภาคตะวันตกของจีน
พ.ศ.2464 พันเอกโอเวิร์ด เบอรี่ พบรอยเท้าเยติบนยอดเขาเอเวอร์เรสในระดับความสูง 21,000 ฟุต เฮนรี่ นิวแมน นักสำรวจอังกฤษอีกนั่น แหละได้แปลคำว่า "กังแอดมิ" หรือ "เมโตห์ กังมิ" อันเป็นชื่ออีกอันหนึ่งของเยติในสำเนียงท้องถิ่นของเซอร์ปา มาเป็น "มนุษย์หิมะผู้น่าสะพรึงกลัว" ไงล่ะคับ ซึ่งก็ใช้ติดปากมาจนทุกวันนี้
พ.ศ. 2478หนังสือพิมพ์ "เดอะอินเตอร์เนชั่นแนล เพรส" ตีพิมพ์เรื่องราวของเยติอย่างเกรียวกราวว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านกัตธัตสุได้ช่วยกันขับไล่เยติที่เข้ามาฆ่าแกะของชาวบ้านตายไป 2 ตัว หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กลับเขาหิมาลัย
พ.ศ.2480 แฟรงค์ สไมท์ นักไต่เขาอังกฤษได้รายงานว่าพบรอบเท้าเยติหลายคู่ ตรงบริเวณด่านที่จะผ่านไปตอนกลางของประเทศเนปาล ซึ่งมีระดับสูงถึง 16,500 ฟุต เขาได้บันทึกภาพเก็บไว้ด้วย นับว่าเป็นภาพถ่ายรอยเท้าเยติภาพแรกสุด
พ.ศ. 2481เจ้าหน้าที่ดุแลพิพิธภัณฑ์ชาวอังกฤษคนหนึ่งจากกัลกัตตา อ้างว่าระหว่างเขาไปพักผ่อนในสิกขิม เขาถูกเยติลักพาตัวไปปล่อยทิ้งไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง
พ.ศ.2482เจ้าหน้าที่อังกฤษ 3 คนในแคชเมียร์รายงานว่าเห็นสัตว์ใหญ่มีขนรุงรังที่ธารน้ำแข็งโคลาฮี ทีแรกพวกเขาคิดว่าเป็นลิงแรงกัว (Lanqur Monkey) จนกระทั่งมารู้ว่าที่นั่นอยู่งสูงเกินไปที่ลิงแรงกัวจะอยู่
พ.ศ.2484ชาวยุโรปปลี้ภัย 7 คน อ้างว่าเยติ 2 ตัวมากั้นทางที่จะข้มไปด่านขัมบิ จากทิเบตมาสู่สิกขิม
พ.ศ.2491นักธรณีวิทยาชาวยุโรป 2 คน ชื่อ แทรเบอร์ก และแฟรสเตอร์ ไปสำรวจบริเวณด่านเจมูลาซึ่งอยู่ระหว่างสิกขิมกับเนปาล เขาทั้งสองถูกทำร้ายจากสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่งคล้ายๆ ลิงเอป แฟรสเตอร์นั้นได้รับบาดเจ็บมากหน่อย ทีแรกทั้งสองคิดว่าเป็นลิงแรงกัว แต่อีกนั่นแหละในระดับความสู. 19,000 ฟุตสูงเกินไปสำหรับสิงแรงกัว จึงไม่ใช่ลิงแรงกัวแน่แต่เขาทั้งสิงก็ไม่รู้ว่าคือสัตว์ชนิดใดกันแน่
พ.ศ.2493 ยุคแห่งการล่าเยติเริ่มขึ้น คณะนักสำรวจจากหลายชนิด คือ อังกฤษ ฝรั่งเศสและสวิส ได้ออกค้นหาเยติเอาเป็นเอาตาย แต่ก็พบเพียงแต่รอยเท้า และกองมูลของเยติเท่านั้น ในปีเดียวกันนี้ได้มีผู้พบชิ้นส่วนผิวหนัง ซึ่งอ้างว่าเป็นของเยติ นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจวิเคราะห์ดูแล้ว อธิบายว่าเป็นของลิงที่มีลักษณะคล้ายคน
พ.ศ.2494 อีริค ชิปตัน นักไต่เขาอังกฤษกับคณะเดินทางไปสำรวจยอดเขาเอเวอร์เรสได้พบรอยเท้าเยติบนธารน้ำแข็ง เขาจึงประกาศว่าเมื่อก่อนเขาไม่เชื่อว่าเยติมีจริงแต่ตอนนี้เมื่อมาพบด้วยตาของตนเอง เขาเชื่อว่ามีจริง บางทีจะเป็นสัตว์ใหญ่จำพวกลิงเอปอาศัยอยู่ตามภูเขาสูง
พ.ศ.2497 หนังสือพิมพ์อังกฤษ "เดลิเมล์" ให้ทุนพิเศษแก่คณะนักสำรวจคณะหนึ่งไปทุนพิเศษแก่คณะนักสำรวจคณะหนึ่งไปค้นหาเยติ แต่ก็พบเพียงแต่รอยเท้าและกองมูลของมันเท่านั้น ซึ่งก็นั่นแหละมีการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานอย่างดีด้วย
พ.ศ. 2500 มหาเศรษฐีทอม สลิค ราชาน้ำมันจากรัฐเท็กซัส และหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์ของอังกฤษอีกเช่นกัน ให้ทุนแก่คณะนักสำรวจค้นหาเยติแต่ผลก็เหมือนกับคณะนักสำรวจอื่นๆ คณะนักสำรวจจากรัสเซีย เชคโกสโลวาเกีย และญี่ปุ่น เดินทางไปค้นหาเยติแต่ก็ไม่พบอะไรไปมากกว่าคณะนักสำรวจชุดที่แล้วๆ มา
พ.ศ.2501 รัฐบาลเนปาล จัดเยติเข้าไว้ในพวก "สัตว์ที่ได้รับการสงวนพันธุ์"
พ.ศ.2504-2505 เซอร์เอ้ดมันด์ ฮัลลารีและเดสมอนดอยก์ ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสมาแล้วได้รับทุนจาก "เวิรลด์บุคเอ็นไซโคลบีเดีย" ไม่ใช้เวลา 10 เดือนค้นหาเยติ แถบเทือกเขาหิมาลัย แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากรอยเท้าเยติและมูลของมัน ใน พ.ศ. 2505 เขาทั้งสองร่วมกันเขียนหนังสือชื่อ "High in the Thin Cold Air" สรุปเรื่องราวของเยติว่า
1.รอยเท้าที่อ้างว่าเป็นของเยตินั้นที่จริงเป็นรอยสัตว์เล็กชนิดต่างๆ ซึ่งพอแสงอาทิตย์สาดลงมาก็ทำให้รอยเท้าละลายกลายเป็นรอยที่ใหญ่
2.โครงกระดูกแขนซึ่งมีผู้พบมานานก่อนการสำรวจรของฮิลลารีและดอยห์ คนาเราดีๆ นี่เอง ขณะนี้เก็บรักษาไว้ที่วัดแพงโบเช่ในตำบลคุมบู เนปาล
3.หนังศรีษะที่อ้างว่าเป็นของเยติ 3 ชิ้นที่วัดคุมบู ตำบลคุมบูอีกนั่นแหละเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ จากากรที่ฮิลลารีนำเอาชิ้นหนังชิ้นหนึ่งไปให้พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่นครชิคาโก ที่มูเช่ เดอ ฮองเมอ ในนครปารีส และที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ลอนดอนวิจัย ผลปรากฏจากการวิจัยออกมาสอดคล้องกันว่า หาใช้หนังศีรษะของเยติที่ไหนเลยแต่เป็นชิ้นส่วนของแพะภูเขาที่มีอยู่ทั่วๆ ไปในตำบลคุมบูนั่นแหละ
4.ไม่มีพระลามะที่วัดใดๆ เลยอ้างว่าเคยมีเยติไปปรากฏตัวที่วัดของท่านนอกจากจะได้เคยเห็นเยติเป็ส่วนบุคคลนอกเขตวัดออกไป
พ.ศ.2507 ปีเตอร์ เทเลอร์ นักสำรวจชาวออสเตรเลีย พบรอยเท้าเยติบนภูเขาสูง 20,000 ฟุต เหนือหุบเขาแลงตัน
พ.ศ.2513 คืนวันที่ 9 มิถุนายน วิลแลน หัวหน้าคณะนักสำรวจชาวอังกฤษเดินทางไปสำรวจภูเขาแอนนาปุระ รายงาน
พบเยติอยู่ห่างจากเต๊นท์ของเขาไม่ไกลนัก พร้อมทั้งห่างจากเต๊นท์ของเขาไม่ไกลนัก พร้อมทั้งได้ทิ้งรอยเท้าไว้เขาเล่าว่าเมื่อเขาเดินออกมานอกเต๊นท์ก็ต้องตกใจอทบช๊อคเมื่อมองไปเบื้องหน้าไม่ไกลจากเต๊น์เท่าใดนักเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่ในจำพวกกอริลลากับพวกหมี ยืนจังก้าอยู่ไม่ห่างไกลจากเต๊น์ของเขา เขาจ้องตาแทบไม่กระพริบ จนกระทั่งมันเคลื่อนร่างอันใหญ่ของมันเดินหลับตาหายไปในป่า ทิ้งรอยเท้าไว้เบื้อหลัง เช้าวันรุ่งขึ้นลูกหาบเซอร์ปา อธิบายว่าเป็นรอยเท้าของเยติ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในเขตตำบลคุมบูในประเทศเนปาล