5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุด จากรอบโลก
โพสท์โดย Faithbook
อันดับ 5 สุตที เผาตัวตายบูชายัญ (Sutee Self-Immolation)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
การเผาตัวตายบูชายัญ (หรือสุที) คือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย
โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจทำใจสามีตนเองไม่ได้มานอนนั่งลงข้างๆสามีของเธอในกองฟืนที่ใช้
ฌาปนกิจศพชองเขา และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี.......(เผาขณะเป็นๆนี้แหละ)
สุตที ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดียต่อเนื่องมาอีกหลายศตวรรษ จนกระทั่งพิธีนี้ถูกจัดให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ในช่วงการยึดอาณานิคมของอังกฤษในปี 1829 (แต่ทุกวันนี้พิธีนี้ยังทำอยู่ ทำให้มีสั่งห้ามอีกครั้งในปี 1956
และอีกครั้งในปี 1981 แต่น้อยคนจะสนตูจะทำสักอย่าง)
ก็อย่างที่คุณๆจินตนาการกันแหละ เมื่อไฟมันเริ่มลาม จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาหญิงม่ายคิดว่าสงสัยเราตัดสินใจผิด
ทำพิธีบ้าๆ แบบนี้ว่าแล้วพยายามที่จะวิ่งหนีสุดชีวิต ซึ่งการทำแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่อัปยศเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนที่ยืน
มุงอยู่รอบๆ ต้องช่วยกันแทงหญิงม่ายด้วยท่อนไม้ไผ่ แล้วมัดเธอเอาไว้เพื่อให้เธอถูกเผา
มีกรณีหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 เมื่อแม่ม่ายหนีพ้นพวกคนที่คอยแทงและดับไฟได้ที่แม่น้ำใกล้ๆ พวกอินเดียมุง
จึงจับเธอยกใหญ่แล้วจับหักขาและแขนของเธอก่อนที่จะโยนเข้ากองไฟใหม่
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
เมื่อก่อน หญิงม่ายในอินเดียเคยถูกจัดอยู่ในฐานะที่ต่ำ แสนต่ำในชนชั้นทางสังคม ทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงม่ายจะถูก
ตัดสินว่าไม่บริสุทธิ์ ทั้งการสัมผัส เสียง และการเข้าร่วมในทุกสิ่งทุกจนเรียกได้ว่าน่ารังเกียจ ดังนั้งจึงมีคำถามเกี่ยวกับ
หญิงม่ายว่า พวกหล่อนควรทำอย่างไรเพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา และก็มีใครบางคนตอบว่า
“ทำไมเธอไม่เผาตัวเธอเองในกองไฟซะล่ะ? ว่ายังไง?”
นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่ออีกว่าสามีและภรรยาจะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากตายไปแล้วอีก ทำให้เกิดพิธีดังกล่าวในที่สุด
อันดับ 4 การทำตนเองให้เป็นมัมมี่ของศาสนาพุทธ (Buddhist Self Mummification)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
(ใครดูอินุยาฉะคงร้อง เอ๋อ) การทำตนเองให้เป็นมัมมี่นั้นเป็นพิธีเก่าแก่ที่สืบต่อกันมานานนมในประเทศญี่ปุ่น จนกระทั้งถึง
ช่วงปลายปี 1800 และกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายจนกระทั่งช่วงต้นปี 1900
มันง่ายไหมทำมัมมี่แบบญี่ปุ่นนี้ เออ....ไม่ง่ายนะจะบอกให้ไม่ใช้แบบว่าคุณพันๆ ตัวเองด้วยผ้าพันแผล
แล้วรอมัจจุราชมารับ เป็นอันจบ ขอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น
การทำนะตอนแรกคุณจะต้องใช้เวลากว่า 2000 วันเพื่อเตรียมพร้อมเป็นมัมมี่ โดยใช้ วิธีทำแบบพระนักบวชในศาสนาพุทธ
คือ อันดับแรกคุณจะต้องเอาไขมันทั้งหมดในตัวคุณออกไปให้หมด แล้ว ควบคุมอาหารให้กินเฉพาะพวกถั่วและเมล็ดธัญพืช
และนักบวชคนนั้นจะไม่สามารถกินอย่างอื่นนอกจากนี้ไปอีก 1000 วัน
ต่อจากนั้น เราต้องรีดน้ำออกจากร่างกายของคุณออกไปให้มากที่สุด เพราะเมื่อร่างกายของคุณมีน้ำเป็นส่วนประกอบ
เป็นส่วนมาก มันอาจทำให้คุณอึดอัดได้ นักบวชจะกินเพียงเปลือกไม้และรากไม้จากต้นสนนิดหน่อยเท่านั้น ต่อไปอีก
1000 วัน จากนั้นพวกเขาจะดื่มชาพิเศษ (พิเศษในที่นี้คือ “ยาพิษที่รุนแรงสุดๆจนไม่น่าเชื่อ”) ทำจากน้ำหล่อเลี้ยง
ของต้นอุรุชิแล้วถ้าชาที่กินทำให้เกิดอาการท้องร่วงจนท้องระเบิดหรืออาเจียน แสดงว่ามันได้ผล
แล้วคุณก็จะถูกขังในห้องหินเล็กๆ แค่ใหญ่พอที่คุณจะนั่งท่าดอกบัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว!
ตอนนี้นั่งรอความตายได้เลย…………………..
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
เดา.....คงเกิดมาจากความเชื่อในศาสนาพุทธที่ต้องการตรัสรู้ โดยคุณจะต้องแยกตัวออกจากโลกแห่งวัตถุโดยสิ้นเชิง
เมื่อคุณตายแล้ แทนที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่ คุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม
พวกเขาถึงเก็บตัวกว่า 1000 วันในห้องหิน เพราะผู้คนย่อมมาคอยส่องดูข้างในเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นมัมมี่ตลอดเวลา
จะทำให้นักบวชวอกแวกได้
อันดับ 3 พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวพุทธธิเบต (Tibetan Buddhist Sky Burial)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
เป็นพิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวธิเบตโดยชำแหละศพที่ได้รับการสืบทอดกันจาก สิงหาสับ เออ..... ล้อเล่น
ความจริงมันมาจากทิเบตต่างหากละ ศพจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ บนเทือกเขาสูงแล้วเหลือไว้ให้นกแร้ง ชาวทิเบต
เรียกพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมานี้ว่า ย่าทอร์ ซึ่งหมายถึงให้ทานแก่นก และรวมทั้งขา, ชิ้นส่วนลำตัวและหัวด้วย
ร่างของศพจะถูกห่อด้วยผ้าขาว แล้วนำไปที่จัดพิธีศพ ที่ซึ่งพระได้ล่อให้นกแร้งและนกกินซากสัตว์อื่นๆมารอแล้ว
กลุ่มพระจะช่วยกันแกะห่อศพ ขั้นตอนนี้ไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไรดูจากที่ศพถูกทิ้งไว้สามวันมาแล้ว
(ตามธรรมเนียมชาวธิเบต)
พระหนึ่งรูปหรือมากกว่านั้นจะจัดเตรียมตัดศพด้วยขวาน เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้ง
ที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน เริ่มด้วเอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย
เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่
กับหนังศีรษะติดผม แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึก
ถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลังร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่
เรียบร้อยแล้ว
]
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่มเมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมาก
ชาวทิเบตซึ่งมองศพว่าเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหาร
แก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้ จะนำเอาวิญญาณผู้ตาย
ไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไป
จับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไวได้หลายชีวิตด้วยนะเหอๆ
อันดับ 2 ตากศพให้แห้งแบบอบอริจิน (Aboriginal Body Exposure)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
เป็นพิธีศพของชาวเผ่าออสเตรเลีย ชนเผ่าอะบอริจิน แต่หลายฝ่ายบอกว่าไม่จริงๆๆๆๆ ไม่มีพิธีแบบนี้นะ ไม่มีหลักฐานนี้หว่า
อย่างไรก็ตามดูๆ ไปจะเหมือนพิธีศาสนาธรรมดามากกว่า ในทิศเหนือโดยเฉพาะ โดยมีสองขั้นคือพิธีก็ทำศพให้แห้งตังหาก
เอาใบไม้กับพุ่มไม้มาทับ ให้ศพแห้งแบบแต้ดแต๋ แล้วก็เอากระะดูกออกจากศพแห้งแล้ว มาทาสีแดง แล้วก็เอาศพมาแห่
จากนั้นก็เอาไปใส่ไว้ในถ้ำ จนกลายเป็นฝุ่นไปเองไม่ก็เอาไปใส่หลุม
นอกจากนี้มีรายงานว่ามีการกินศพด้วย.............กินศพญาติพี่น้องครับท่าน
กินเนื้อ กินน้ำหนองของศพที่ตายแล้ว โอยท่าจะอร่อย
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
เป็นความเชื่อของคนถิ่นเดิมและวัฒนธรรมที่ของเขา
อันดับ 1 ส่งศพท่องอวกาศ (Space Burial)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
การเผาตัวตายบูชายัญ (หรือสุที) คือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย
โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจทำใจสามีตนเองไม่ได้มานอนนั่งลงข้างๆสามีของเธอในกองฟืนที่ใช้
ฌาปนกิจศพชองเขา และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี.......(เผาขณะเป็นๆนี้แหละ)
สุตที ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดียต่อเนื่องมาอีกหลายศตวรรษ จนกระทั่งพิธีนี้ถูกจัดให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ในช่วงการยึดอาณานิคมของอังกฤษในปี 1829 (แต่ทุกวันนี้พิธีนี้ยังทำอยู่ ทำให้มีสั่งห้ามอีกครั้งในปี 1956
และอีกครั้งในปี 1981 แต่น้อยคนจะสนตูจะทำสักอย่าง)
ก็อย่างที่คุณๆจินตนาการกันแหละ เมื่อไฟมันเริ่มลาม จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาหญิงม่ายคิดว่าสงสัยเราตัดสินใจผิด
ทำพิธีบ้าๆ แบบนี้ว่าแล้วพยายามที่จะวิ่งหนีสุดชีวิต ซึ่งการทำแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่อัปยศเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนที่ยืน
มุงอยู่รอบๆ ต้องช่วยกันแทงหญิงม่ายด้วยท่อนไม้ไผ่ แล้วมัดเธอเอาไว้เพื่อให้เธอถูกเผา
มีกรณีหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 เมื่อแม่ม่ายหนีพ้นพวกคนที่คอยแทงและดับไฟได้ที่แม่น้ำใกล้ๆ พวกอินเดียมุง
จึงจับเธอยกใหญ่แล้วจับหักขาและแขนของเธอก่อนที่จะโยนเข้ากองไฟใหม่
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
เมื่อก่อน หญิงม่ายในอินเดียเคยถูกจัดอยู่ในฐานะที่ต่ำ แสนต่ำในชนชั้นทางสังคม ทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงม่ายจะถูก
ตัดสินว่าไม่บริสุทธิ์ ทั้งการสัมผัส เสียง และการเข้าร่วมในทุกสิ่งทุกจนเรียกได้ว่าน่ารังเกียจ ดังนั้งจึงมีคำถามเกี่ยวกับ
หญิงม่ายว่า พวกหล่อนควรทำอย่างไรเพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา และก็มีใครบางคนตอบว่า
“ทำไมเธอไม่เผาตัวเธอเองในกองไฟซะล่ะ? ว่ายังไง?”
นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่ออีกว่าสามีและภรรยาจะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากตายไปแล้วอีก ทำให้เกิดพิธีดังกล่าวในที่สุด
อันดับ 4 การทำตนเองให้เป็นมัมมี่ของศาสนาพุทธ (Buddhist Self Mummification)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
(ใครดูอินุยาฉะคงร้อง เอ๋อ) การทำตนเองให้เป็นมัมมี่นั้นเป็นพิธีเก่าแก่ที่สืบต่อกันมานานนมในประเทศญี่ปุ่น จนกระทั้งถึง
ช่วงปลายปี 1800 และกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายจนกระทั่งช่วงต้นปี 1900
มันง่ายไหมทำมัมมี่แบบญี่ปุ่นนี้ เออ....ไม่ง่ายนะจะบอกให้ไม่ใช้แบบว่าคุณพันๆ ตัวเองด้วยผ้าพันแผล
แล้วรอมัจจุราชมารับ เป็นอันจบ ขอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น
การทำนะตอนแรกคุณจะต้องใช้เวลากว่า 2000 วันเพื่อเตรียมพร้อมเป็นมัมมี่ โดยใช้ วิธีทำแบบพระนักบวชในศาสนาพุทธ
คือ อันดับแรกคุณจะต้องเอาไขมันทั้งหมดในตัวคุณออกไปให้หมด แล้ว ควบคุมอาหารให้กินเฉพาะพวกถั่วและเมล็ดธัญพืช
และนักบวชคนนั้นจะไม่สามารถกินอย่างอื่นนอกจากนี้ไปอีก 1000 วัน
ต่อจากนั้น เราต้องรีดน้ำออกจากร่างกายของคุณออกไปให้มากที่สุด เพราะเมื่อร่างกายของคุณมีน้ำเป็นส่วนประกอบ
เป็นส่วนมาก มันอาจทำให้คุณอึดอัดได้ นักบวชจะกินเพียงเปลือกไม้และรากไม้จากต้นสนนิดหน่อยเท่านั้น ต่อไปอีก
1000 วัน จากนั้นพวกเขาจะดื่มชาพิเศษ (พิเศษในที่นี้คือ “ยาพิษที่รุนแรงสุดๆจนไม่น่าเชื่อ”) ทำจากน้ำหล่อเลี้ยง
ของต้นอุรุชิแล้วถ้าชาที่กินทำให้เกิดอาการท้องร่วงจนท้องระเบิดหรืออาเจียน แสดงว่ามันได้ผล
แล้วคุณก็จะถูกขังในห้องหินเล็กๆ แค่ใหญ่พอที่คุณจะนั่งท่าดอกบัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว!
ตอนนี้นั่งรอความตายได้เลย…………………..
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
เดา.....คงเกิดมาจากความเชื่อในศาสนาพุทธที่ต้องการตรัสรู้ โดยคุณจะต้องแยกตัวออกจากโลกแห่งวัตถุโดยสิ้นเชิง
เมื่อคุณตายแล้ แทนที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่ คุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม
พวกเขาถึงเก็บตัวกว่า 1000 วันในห้องหิน เพราะผู้คนย่อมมาคอยส่องดูข้างในเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นมัมมี่ตลอดเวลา
จะทำให้นักบวชวอกแวกได้
อันดับ 3 พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวพุทธธิเบต (Tibetan Buddhist Sky Burial)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
เป็นพิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวธิเบตโดยชำแหละศพที่ได้รับการสืบทอดกันจาก สิงหาสับ เออ..... ล้อเล่น
ความจริงมันมาจากทิเบตต่างหากละ ศพจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ บนเทือกเขาสูงแล้วเหลือไว้ให้นกแร้ง ชาวทิเบต
เรียกพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมานี้ว่า ย่าทอร์ ซึ่งหมายถึงให้ทานแก่นก และรวมทั้งขา, ชิ้นส่วนลำตัวและหัวด้วย
ร่างของศพจะถูกห่อด้วยผ้าขาว แล้วนำไปที่จัดพิธีศพ ที่ซึ่งพระได้ล่อให้นกแร้งและนกกินซากสัตว์อื่นๆมารอแล้ว
กลุ่มพระจะช่วยกันแกะห่อศพ ขั้นตอนนี้ไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไรดูจากที่ศพถูกทิ้งไว้สามวันมาแล้ว
(ตามธรรมเนียมชาวธิเบต)
พระหนึ่งรูปหรือมากกว่านั้นจะจัดเตรียมตัดศพด้วยขวาน เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้ง
ที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน เริ่มด้วเอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย
เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่
กับหนังศีรษะติดผม แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึก
ถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลังร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่
เรียบร้อยแล้ว
]
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่มเมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมาก
ชาวทิเบตซึ่งมองศพว่าเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหาร
แก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้ จะนำเอาวิญญาณผู้ตาย
ไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไป
จับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไวได้หลายชีวิตด้วยนะเหอๆ
อันดับ 2 ตากศพให้แห้งแบบอบอริจิน (Aboriginal Body Exposure)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
เป็นพิธีศพของชาวเผ่าออสเตรเลีย ชนเผ่าอะบอริจิน แต่หลายฝ่ายบอกว่าไม่จริงๆๆๆๆ ไม่มีพิธีแบบนี้นะ ไม่มีหลักฐานนี้หว่า
อย่างไรก็ตามดูๆ ไปจะเหมือนพิธีศาสนาธรรมดามากกว่า ในทิศเหนือโดยเฉพาะ โดยมีสองขั้นคือพิธีก็ทำศพให้แห้งตังหาก
เอาใบไม้กับพุ่มไม้มาทับ ให้ศพแห้งแบบแต้ดแต๋ แล้วก็เอากระะดูกออกจากศพแห้งแล้ว มาทาสีแดง แล้วก็เอาศพมาแห่
จากนั้นก็เอาไปใส่ไว้ในถ้ำ จนกลายเป็นฝุ่นไปเองไม่ก็เอาไปใส่หลุม
นอกจากนี้มีรายงานว่ามีการกินศพด้วย.............กินศพญาติพี่น้องครับท่าน
กินเนื้อ กินน้ำหนองของศพที่ตายแล้ว โอยท่าจะอร่อย
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
เป็นความเชื่อของคนถิ่นเดิมและวัฒนธรรมที่ของเขา
อันดับ 1 ส่งศพท่องอวกาศ (Space Burial)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
กวนจริงๆ สำหรับพิธีศพอันดับหนึ่งมันสยองตรงไหนนี้ กับพิธีฝังศพที่สมัยใหม่ที่สมัยใหม่อย่างตรงไปตรงอย่างยิ่ง
คือการส่งอัฐิไปลอยเหนือบรรยากาศโลก หรือ Space Funeral ซึ่งพิธีนี้เป็นความคิดของบริษัทจัดการศพ
บาเตสวิลล์ คาสเก็ต ซึ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา ออกไอเดียที่จะให้คนรวยแต่ไม่มีบุญที่อยากไปอวกาศ ไหนๆ
ก็ไปตอนมีชิวิตไม่ได้ก็ขอไปตอนตายก็ได้ฟ่ะ
ใช่!! คุณสามารถทำพิธีฝังศพด้วยตัวเองของคุณ เว็บนี้เลยครับ www.memorialspaceflights.com
ราคาก็ขึ้นอยู่กับต้องวิธีการส่งและระยะทางที่จะไปไกลขนาดไหน โดยราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 695$ เท่านั้นเอง
(เคยมีลูกค้าใช้เงินกว่า 60,000 $ เพื่อไปดวงจันทร์!!) ได้ปล่อยจรวดที่เต็มไปด้วยอัฐิมนุษย์กว่า 200 คน
ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงอัฐิของ เจมส์ ดูแฮน ดาราระดับตำนานที่รับบทเป็น มอนโกเมอรี สก็อตต์
หรือ สก็อตตี้ หัวหน้าวิศวกรแห่งยานเอ็นเตอร์ไพรส์ในซีรีย์หนังอวกาศสุดอมตะเรื่อง สตาร์ เทร็ค
และนายกอร์ดอน คูเปอร์ อดีตนักบินอวกาศของยานเมอร์คิวรี ซึ่งเป็นยานอวกาศบรรทุกมนุษย์รุ่นบุกเบิก
ขององค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐ (นาซา)
รายงานระบุ ครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงสาวกของซีรีย์เรื่องสตาร์ เทร็คกว่า 500 คน ได้ไปรวมตัวกันที่ทะเลทราย
อันห่างไกลในรัฐนิวเม็กซิโกที่ใช้เป็นสถานที่ปล่อยจรวด ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยน้ำตา และรอยยิ้มของแฟนๆ ที่ทั้งอาลัย
และยินดีได้ส่งอัฐิของดาราผู้เป็นที่รักขึ้นอวกาศเสียที หลังจากที่ต้องเลื่อนมาหลายครั้งนับแต่เสียชีวิตเมื่อปี 2548
โดยผู้ที่ต้องการส่งอัฐิขึ้นไปโคจรในอวกาศจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 495 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,000 บาท)
ไม่แพงใช่ไหมละ
ง่ายๆ มันเป็นเรื่องของธุรกิจ ความฝัน และเป็นเรื่องของคนรวยแบบคิดว่าไปสูงยิ่งขึ้นสวรรค์.................
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
40 VOTES (4/5 จาก 10 คน)
VOTED: B NuttiCha, เผลอหัวใจ, zerotype, wishs, พูดไปก็เท่านั้น, Tabebuia, สวยที่หัวคิว, mamaprince
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทบ.มีคำสั่งให้ พล.ท.ณรงค์ สวนแก้ว เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ถูกย้ายจากตำแหน่ง หลังเกิดกรณีซ้อมที่รุนแรงเพจดัง เปิดภาพ พระปีนเสาถูกคนกระโดดถีบกลางถนน หัวปักพื้น"ตารางลดน้ำหนัก" ฉบับกินยังไงก็ผอมเปิดตัวตำรวจสาว นางฟ้าผู้พิสูจน์หลักฐาน สวยและเก่ง ช่วยคลี่คลายคดีแอมไซยาไนด์"สภาพพังยับ! ยูทูบเบอร์สาวทำเล็บที่อินเดีย รู้ราคาแล้วอยากร้องไห้"เก่ง ธชย กับดราม่าขายไข่ครอบ 3 ใบ 69 บาท แพงจริงหรือสมเหตุสมผล?"แช่หรือไม่แช่? อ.เจษฎ์ชี้ชัด ซีอิ๊ว-ซอสหอยนางรม หลายบ้านทำผิด!"น.1 จ่อแถลงคดีหมอบุญ ฉ้อโกง เช็คเด้งคลั่งยาllอบดูสาวอาบน้ำ ประวัติพึ่งพ้นคุกทำความรู้จัก "โรคลมหลับ" กำลังทำกิจกรรมอื่นอยู่เพลิน ๆ แล้วเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว !บ้านในฝันก็ต้องปล่อย! 'กวินท์-ปุ้มปุ้ย' เปิดใจขายบ้าน 19.5 ล้าน ทั้งที่รักมากในประวัติศาสตร์จีน ทำไมจึงมีการคัดเลือกพระสนมใหม่เข้ามาในราชสำนักอยู่เรื่อยๆ แม้จะมีอยู่แล้ว?Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เก่ง ธชย กับดราม่าขายไข่ครอบ 3 ใบ 69 บาท แพงจริงหรือสมเหตุสมผล?15 เทคนิค “การกิน” ไม่ให้แก่เกินวัย!!เกาหลีใต้ส่ายหน้า การท่องเที่ยวขาดดุลหนัก แม้ K-Culture จะปังไปทั่วโลก