30 ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติจากโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล
เช้าวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2529 เกิดอุบัติภัยนิวเคลียร์ครั้งสำคัญในเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในประเทศยูเครน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตในสมัยนั้น มีการปลดปล่อยกัมมันตรังสีขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งนับว่ามีปริมาณมากกว่าการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในจังหวัดฮิโรชิมาและนางาซากิของประเทศญี่ปุ่นนับพัน ๆ เท่า การระเบิดของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์นี้นับว่าเป็นอุบัติภัยนิวเคลียร์พลเรือนครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังคงส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านพ้นไปเป็นเวลา 27ปีแล้ว
26 เมษายน พ.ศ. 2529 เวลา 1.23 น. ในชั่วพริบตา ระบบทดสอบเตาปฏิกรณ์กลายเป็นภัยพิบัติ
การเกิดระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลเริ่มจากการทดสอบ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้ทดสอบว่ากังหันไฟฟ้าจะผลิตพลังงานได้เพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้ปั๊มหล่อเย็นทำงาน หากเกิดกรณีไฟฟ้าตกในช่วงเวลาก่อนที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลฉุกเฉินจะเริ่มทำงาน ตารางเวลาการทดสอบได้ถูกเลื่อนจากช่วงเวลากลางวันเป็นกลางคืนเนื่องจากต้องการทดสอบว่าเตาปฏิกรณ์จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้องการในช่วงกลางคืนซึ่งเป็นช่วงที่มีอัตราการใช้ไฟฟ้าสูงได้หรือไม่
ก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 1.23 น. ไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการเข้าเวรในช่วงเวลาดังกล่าว อีกทั้งระบบรักษาความปลอดภัยถูกปิดโดยเจตนา หลังจากการทดสอบเริ่มขึ้น เตาปฏิกรณ์ก็เริ่มอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถควบคุมได้ แกนเชื้อเพลิงในเตาปฏิกรณ์ปะทุออกทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ฝาครอบน้ำ หนัก 1,000 ตันที่คลุมอาคารเตาปฏิกรณ์ระเบิดออก อุณหภูมิกว่า 2,000 องศาเซลเซียสทำให้แท่งเชื้อเพลิงหลอมละลาย แท่งกราไฟต์ที่หุ้มเตาปฏิกรณ์ติดไฟและลุกไหม้เป็นเวลา 9 วัน
มีความพยายามในการดับไฟนานหลายวัน และได้มีการสร้าง “โลงหินโบราณ” เพื่อปกคลุมเตาปฏิกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย
หลังจากใช้เวลาก่อสร้าง 10 ชั่วโมงเจ้าหน้าที่ก็ละทิ้งพื้นที่โดยทันที จากวันที่ 27 เมษายนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบินอยู่เหนือบริเวณที่เกิดการเผาไหม้ เพื่อโปรยตะกั่วปริมาณ 2,400 ตัน และทรายปริมาณ 1,800 ตันลงสู่เปลวไฟที่ลุกโชนเพื่อดูดซับกัมมันตรังสี ความพยายามครั้งนั้นกลับไม่เป็นผลสำเร็จ แต่กลับยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงเนื่องจากเกิดการสะสมของความร้อนภายใต้กองวัสดุที่ทิ้งลงไป อุณหภูมิในเตาปฏิกรณ์พุ่งสูงขึ้น อีกทั้งยังมีกัมมันตรังสีพวยพุ่งออกมาจำนวนมาก ในระยะสุดท้ายของการผจญเพลิง แกนเชื้อเพลิงของเตาปฏิกรณ์ถูกทำให้เย็นลงด้วยสารไนโตรเจน กว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถควบคุมไฟและการปล่อยกัมมันตรังสีไว้ได้ก็ล่วงเลยเข้าวันที่ 6 พฤษภาคมแล้ว
8 เดือนหลังเกิดเหตุระเบิด ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2529 ได้มีการสร้าง “โลงหินโบราณ” หรือสิ่งปกคลุมขนาดใหญ่ที่ทำจากเหล็กกล้าหนัก 7, 000 ตัน และคอนกรีต 410,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อปกคลุมเตาปฏิกรณ์ที่ระเบิด และเพื่อเป็นการหยุดการปลดปล่อยกัมมันตรังสีขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ หลังจากเหตุอุบัติภัยนิวเคลียร์ครั้งนี้ผ่านพ้นไป 3 ปี รัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตก็หยุดการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์ที่ 5 และ 6 ที่เชอร์โนบิล หลังการเจรจาต่อรองในระดับนานาชาติซึ่งกินเวลามายาวนาน มีมติให้ปิดพื้นที่นั้น ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2543 นับเป็นเวลา 14 ปีหลังเกิดอุบัติเหตุ
ผลลัพธ์จากอุบัติภัยนิวเคลียร์ที่เกิดจากมนุษย์ครั้งร้ายแรงที่สุดนี้ ก่อให้เกิดการปนเปื้อนของกัมมันตรังสีในวงกว้าง เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐาน รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพระยาว ที่ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
ในแต่ละเดือน เจ้าหน้าที่ เซย์เก อากีโมวิช คราซิคอฟต้องนั่งรถไฟข้ามผืนดินที่ถูกท้ิงร้างใกล้โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิล 12 ครั้ง เพื่อเข้าไปทำงานในอาคารที่สร้างครอบเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 อาคารหลังนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม “โลงหินโบราณ”
Pripyat เคยเป็นที่อยู่อาศัยของประชากร 50,000 คนรวมทั้งแรงงานจากโรงงานเชอร์โนบิลซึ่งอยู่ใกล้เคียง จนกระทั่งหลังการระเบิดของเตาปฏิกรณ์ 36 ชั่วโมง ได้มีการอพยพออกไป โดยบอกพวกเขาว่าจะอพยพไปเพียงสองสามวันเท่านั้น แต่ชาวเมืองก็ไม่ได้กลับมายังที่อาศัยของพวกเขาอีกเลย
ทุกวันนี้เป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้ว ถนนของเมืองรก โรงเรียน อพาทเมนท์ และร้านค้า พังทลายตามกาลเวลา ตั้งแต่ของเล่นในโรงเรียนอนุบาล โฆษณาชวนเชื่อในยุคโซเวียต ที่ถูกลืม การเดินเล่นผ่าน Pripyat ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นฉากหนึ่งในฮอลลีวูด
หนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวอยากเข้าชมที่สุดคือสวนสนุกที่เปิดตัวในในช่วงไม่กี่วันก่อนเกิดการระเบิดของเตาปฏิกรณ์ ชิงช้าสวรรค์ที่ไม่เคยเปิดใช้ซึ่งบัดนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่อาจลืมของภัยพิบัติ
ทางยูเครนได้ประกาศการจำกัดการเข้าชม ถึงแม้จะอนุญาติให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมได้ แต่ก็ยกเว้นบริเวณรัศมี 30 กิโลเมตรจากเครื่องปฏิกรณ์ที่ระเบิด
โฆษกรัฐยูเครนกล่าวว่า "การเดินทางไปเยี่ยมชมเชอร์โนบิลจะเปลี่ยนพวกเขา คนจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรตระหนักถึงจากกรณีภัยพิบัตินิวเคลียร์"
ชาวยูเครนบางส่วนที่หวังว่าการให้ความรู้กับบรรดาแฟนคลับฟุตบอลที่มุ่งหน้าสู่ฟุตบอลยูโร 2012 ซึ่งสาธารณรัฐโซเวียตร่วมเป็นเจ้าภาพกับโปแลนด์ โดยหากจะมีผู้สนับสนุนใดที่จัดการเดินทางควบไปยังพื้นที่ที่เคยประสบอุบัติเหตุนิวเคลียร์ของโลกที่เลวร้ายที่สุด ระหว่างรอชมการแข่งขันเพื่อเป็นประสบการณ์
ภาพถ่ายทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของ David Schindler
ในปี 2011(2554) ครบรอบ 25 ปี (ปีที่ช่างภาพได้ไปถ่ายภาพชุดนี้) 25 ปี ภายหลังจากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่น่าเศร้าสลด บริเวณโดยรอบโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ยังคงสภาพเหมือน เมืองร้าง เมืองผี สภาพโดยรอบ ๆ ยังดูน่าสะพึงกลัวและน่าสลดหดหู่ใจ เมื่อมองภาพเหล่านี้ ลองจินตนาการว่า ผู้คนต่างต้องรีบอพยพหนีจากบ้านเกิดเมืองนอน ทิ้งข้าวของส่วนใหญ่ไว้เบื้องหลัง รวมทั้งบ้านเรือนที่ไม่อาจหวนกลับมาอยู่ได้อีกเลย
หมายเหตุ ช่วงหลัง 20 ปีเริ่มมีคนลักลอบเข้าไปในเมืองนี้ เพื่อค้นหาทรัพย์สินที่ตกค้าง ขนไปใช้เองหรือขายในตลาดมืด
ผู้สนใจติดตาม TotallyCoolPix
โดยเฉพาะช่างภาพ David Schindler เดวิด ชินด์เดอร์
ได้เดินทางไปถ่ายภาพต่าง ๆ ที่เชอร์โนบิล
ทั้งหมดล้วนเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและน่าเศร้า
จากการมองย้อนกลับไปวันวานในช่วงปี 1986(2529)
ในบริเวณใกล้เคียงและเขตยกเว้นยังคงมีหมู่บ้านร้างจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีสภาพที่ดีกว่า Pripyat เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะสามารถเห็นการดำรงชีวิตชนบทแบบโซเวียต โบสถ์ St Michael ในหมู่บ้าน Krasnoe ยังคงมีการใช้สำหรับเป็นที่สวดมนต์โดยเหล่าผู้สูงอายุที่แอบกลับมายังบ้านของพวกเขา
คำเตือน : ระดับรังสีในฝุ่นละอองและมอสที่นี่จะสูงกว่าพื้นที่ปกติดังนั้นจะต้องระมัดระวังในทุกย่างก้าว
แม้จะมีการผ่อนปรนให้เข้าไปเยี่ยมชมยังเชอร์โนบิล แต่ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเห็นเครื่องปฏิกรณ์ที่ระเบิดเพราะระดับรังสียังคงอยู่ในระดับที่สูง จุดสังเกตที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่าง 200 เมตรและเป็นจุดที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีระดับรังสีที่มากเกินไป
ปลาในแม่น้ำ pripyat รอบๆโรงไฟฟ้า มีอยู่จำนวนมาก ปลาดุกตัวใหญ่ๆนี่ยาว 2 เมตรนะครับ
แต่ยังทานไม่ได้ เพราะในกระดูกปลายังพบรังสีที่สุงเกินค่ามาตรฐาน