5เหตุผล แต่งงานแล้วควรแยกบ้าน 5เหตุผล แต่งงานแล้วควรแยกบ้าน
แต่งงานแล้วควรแยกบ้าน by นพ.อิทธิฤทธิ์
มีเหตุผลครับ ว่าการแยกบ้านมีข้อดีอะไรบ้าง
1.
ไม่ว่าผู้ชาย หรือผู้หญิง ต่างก็ต้องการมีพื้นที่ และอาณาจักรของตัวเอง
เวลาที่คน 2 คน แต่งงานกัน หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “จำต้อง” ย้ายไปอยู่บ้านของอีกฝ่าย ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่มีใครที่ย้ายไปอีกบ้านหนึ่งแล้วจะรู้สึกดี 100%
เช่นถ้าผู้หญิงต้องย้ายไปบ้านสามี ส่วนหนึ่งเพราะว่าไม่อยากขัดใจ ที่สามี “รักพ่อแม่” มากๆ หรือเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน หรือต้องช่วยดูแลกิจการ
หรือถ้าผู้ชายต้องย้ายเข้าบ้านภรรยา ก็มักเป็นเพราะว่า ภรรยาต้อง “ดูแล” พ่อแม่ ไม่มีพี่ๆน้องๆคนไหนดู เลยต้องเป็นชั้นนี่แหละ
เจ้าของบ้าน สมมติว่าเป็นสามีนะครับ แน่นอนว่า เราเป็นลูกเจ้าของบ้าน ลูกกับพ่อแม่รู้จักกันอย่างดี ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร นั่นแปลว่า ต่อให้คนในบ้านจะเป็นมิตร และยินดีต้อนรับสะใภ้ใหม่มากเพียงใด แต่คนที่เป็นสะใภ้ย่อมรู้สึกว่า “ไม่มีพวก” หรือแม้กระทั่งเป็น “อิเล็กตรอนวงนอกสุด” คือ เหมือนกับเป็นวัตถุแปลกปลอมในบ้าน
ยังไม่นับกับบ้านอีกจำนวนมาก ที่ไม่ได้ยินดีต้อนรับลูกเขย หรือลูกสะใภ้มากนัก นั่นแปลว่ายิ่งทำให้เกิดความอึดอัดแทบจะ 24 ชั่วโมงเลย
คนที่ไม่มีความสุข หากต้องมีลูก ย่อมมีผลต่อการเลี้ยงดูลูกอย่างมาก
หากคิดจะแต่งงาน ต้องคุยกันเรื่องนี้ให้ดีๆ การแยกครอบครัวดีที่สุดครับ ส่วนใครที่ยังไม่ได้แยกบ้าน ต้องเริ่มคิดแล้วนะครับ
คนเรา ถ้าต้องการอะไรจริงๆ เราจะหาทาง แต่ถ้าไม่ได้อยากได้มันจริงๆ เราก็จะมีข้อแก้ตัว ดังนั้น ลองฟังคำพูดของตัวคุณดูสิครับ ว่าอยากได้จริงๆหรือเปล่า?
2.
การแยกบ้าน มีผลดีต่อการฝึกอบรมลูกๆ
เวลาที่อยู่กันหลายๆคนในบ้าน จะเกิดปัญหา “มากคน มากความ” ซึ่งมีผลเสียอย่างมากต่อการเลี้ยงลูก เช่น การกินอาหาร เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ทำเอาปวดหัวแล้ว เช่น เราไม่ตามป้อนข้าวลูก ในขณะที่ย่าของเด็กไม่ยอม ต้องตามป้อน เพราะกลัวหลานไม่สูง
แค่เรื่องนี้ก็ไม่รู้จะบอก จะอธิบายกันยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา เพราะว่าลำดับการปกครองในบ้าน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hierarchy (อ่านว่า ไฮ รา คี่) สับสน
การเลี้ยงลูกให้ได้ดี คนที่เป็นพ่อแม่ต้องมี Hierarchy สูงที่สุดสำหรับลูก ส่วนคนอื่นๆคือญาติ
แต่พอเมื่อมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน คนที่เป็นรุ่นปู่ย่าตายาย ย่อมถือสิทธิการเป็น “พ่อแม่” ของเราอีกทีหนึ่ง ทำให้เขาไม่ต้องมานั่งเกรงใจลูก (นั่นคือ ตัวเรา) เขาถือสิทธิว่า เขามีสิทธิเต็มที่ในการอบรมสั่งสอนหลานๆ
คนที่แย่ที่สุด คือ ลูกครับ เพราะเด็กๆ จำเป็นต้องได้รับการฝึกวินัย ต้องการความสม่ำเสมอ ต้องการรู้ว่า อะไรที่ทำได้หรือไม่ได้
ทันทีที่การเลี้ยงดูของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เช่น ย่าเด็กให้กินได้ไม่อั้น ในขณะที่พ่อเด็ก ไม่อนุญาตให้ลูกกินขนมหรือไอติมก่อนมื้ออาหาร เด็กก็รู้สิครับ วิ่งหาย่า เพราะรู้ว่าย่าจะให้ในสิ่งที่เด็กต้องการ
ที่แย่ไปกว่านั้น การกล่าวหากันก็จะบังเกิด แทบจะทั้งวัน พ่อแม่ก็หาว่า ปู่ย่าตายาย “ตามใจ” ในขณะที่ปู่ย่าตายายก็กล่าวหาพ่อแม่ว่า “ตามใจ” เด็ก
อลเวงไหมล่ะครับ?
3.
การแยกบ้าน มีผลดีกับจิตใจอย่างมาก
ใครที่ยังไม่ได้แยกบ้าน อาจเข้าใจยากหน่อย คือ ความรู้สึกภูมิใจ และความรู้สึกรับผิดชอบ อยากปกป้องและอยากทำให้อาณาจักรของเรา “ไปได้ดี”
ตอนที่ผมอยู่อยุธยา กับบ้านที่เป็นตึกแถว 2 คูหาที่ใหญ่มาก มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อว่า นี่ฉันมาได้ไกลขนาดนี้จริงๆหรือ จากจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดูไม่ได้มีอะไร ความรู้สึกดีเหล่านี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น
ที่สำคัญ คือ การได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ ที่ระยะยาวมีแนวโน้มเพิ่มค่าขึ้น เป็นการบังคับออมที่ดีมากวิธีหนึ่ง
เชื่อเถอะครับ เวลาที่กลับมาบ้าน แล้วนั่งได้สบายๆ จะโป๊เปลือยแค่ไหนก็ได้ เพราะนี่บ้านเราเอง จะแต่งบ้าน จะทำอะไรกับบ้านก็ได้ มันดีที่สุดเลยนะครับ
4.
การแยกบ้าน โดยที่รู้จุดหมายบางอย่าง ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ยกตัวอย่าง ครอบครัวผมย้ายจากอยุธยามากรุงเทพ เพื่อให้ลูกเรียนโรงเรียนดังย่านบางเขน ในที่สุดเราก็ทำได้ตามเป้าหมาย เราใช้เวลาปีกว่าๆ หาบ้านที่ “Perfect” มากสำหรับเรา
โรงเรียน ที่ทำงาน ใกล้มาก บรรยากาศหมู่บ้านดีมาก มีทุกอย่างใกล้หมด ทั้งห้าง โรงพยาบาล ตลาดสด อู่ซ่อมรถ สนามเด็กเล่นดีๆ จะออกต่างจังหวัดก็ง่าย
เพียงแค่บ้านใกล้โรงเรียนลูก เดินทางประมาณ 20 นาที แค่นี้ลูกๆก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนอีกเป็นล้านๆคนแล้ว
5.
เมื่อซื้อบ้าน เป็นการบังคับออมที่ดีมาก
ใครที่อยู่กรุงเทพ หรือทำเลที่ดี ลองดูราคาประเมินที่ดินย้อนหลังสิครับ ราคาไม่เคยลดเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น
อย่างบริเวณที่ผมอาศัยอยู่ ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 10 ปีก่อน ที่ดินประเมินตารางวาละ 40,000 กว่าบาทเท่านั้น ตอนนี้ประเมินที่ 64,000 บาท ราคายังเพิ่ม 60 % แปลว่าวันหนึ่ง อีกสัก 50 ปีข้างหน้า ผมและภรรยาจากโลกนี้ไป เราจะทิ้งมรดกชิ้นนี้ ซึ่งน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ผมว่ามันเจ๋งมากนะครับ
นับข้อดีได้ 5 ข้อแล้ว น่าจะเพียงพอสำหรับการตัดสินใจนะครับ