ความจริงเบื้องหลังภาพยนตร์ American Sniper
***คำเตือน บทความนี้เปิดเผยเนื้อเรื่องสำคัญของหนัง American Sniper***
ส่วนตัวแล้วผมเพิ่งรู้ครับว่าหนัง American Sniper สร้างจากเรื่องราวของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงหลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว ด้วยเพราะในตอนจบตัวหนังนำภาพเหตุการณ์ในงานพิธีศพของคริส ไคลน์ตัวจริงๆมาให้เราได้ดูกัน ฉากที่ว่าเล่นเอาผมถึงกับอึ้งและเศร้าไปเลย จากนั้นผมก็ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจึงได้ทราบว่าคริส ไคลน์ตัวจริงนั้นถูกยิงเสียชีวิตเมื่อปี 2013 พร้อมกับเพื่อนของเขาที่สนามยิงปืนด้วยฝีมือของทหารผ่านศึกที่ไปด้วยกัน โดยทหารคนนั้นคือคนที่คริสให้ความดูแลและให้คำปรึกษาหลังจากที่ทหารคนนี้กลับมาจากสมรภูมิ ในรายงานข่าวระบุว่าแรงจูงใจในการก่อเหตุนั้นเกิดจากสภาวะผิดปกติทางจิตของทหารคนดังกล่าวครับ
คริสโตเฟอร์ สก็อตต์ ไคลน์ สไนเปอร์สุดยอดตำนานของกองทัพสหรัฐ
คริส ไคลน์หรือชื่อเต็มๆว่าคริสโตเฟอร์ สก็อตต์ ไคลน์ คือทหารหน่วยซีลคนแรกที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์กองทัพสหรัฐในฐานะพลซุ่มยิงหรือสไนเปอร์ที่มีสถิติการสังหารศัตรูสูงที่สุด ด้วยยอดสังหารศัตรูที่ได้รับการยืนยันมากถึง 160 คน(แต่เจ้าตัวบอกว่านับได้ 255 เพราะบางศพศัตรูลากกลับไปด้วย) จากยอดการสังหารศัตรูที่มากขนาดนี้ทำให้เขาได้รับการขนานนามจากเพื่อนร่วมรบว่าสุดยอดตำนานด้วยเพราะฝีมือการคุ้มกันของเขาได้ช่วยชีวิตทหารคนอื่นๆไว้ได้มากมาย แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็ได้รับฉายาจากกลุ่มต่อต้านและถูกตั้งค่าหัวเช่นกัน โดยในสมรภูมิที่เมืองราห์มาดีพวกฝ่ายต่อต้านพากันเรียกเขาว่า"ปีศาจแห่งราห์มาดี"และตั้งค่าหัวของเขาเอาไว้ถึง 2 หมื่นดอลล่าห์สำหรับคนที่สังหารปีศาจตนนี้ได้
แบรดลี่ย์ คูเปอร์รับบทเป็นคริส ไคลน์ในภาพยนตร์ American Sniper(แอบคล้ายเหมือนกันนะเนี่ย)
ในระหว่างสงครามอิรัก คริสเดินทางไปกลับเพื่อประจำการหน่วยรบในอิรักถึง 4 ครั้ง กินเวลาตั้งแต่ปี 2003-2009 โดยที่ในระหว่างนั้นในด้านชีวิตครอบครัว คริสและเทย่าภรรยาคู่ชีวิตของเขาได้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาในปี 2009 เขาได้เลิกเป็นสไนเปอร์เพื่อรักษาชีวิตสมรสเอาไว้และอาศัยอยู่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส เขาเปิดบริษัทรับช่วงสัญญากองทัพชื่อว่า คราฟต์ อินเตอร์เนชั่นแนล โดยทำหน้าที่ช่วยฝึกการซุ่มยิงแก่ทหารกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและดูแลให้คำปรึกษาทหารผ่านศึก หลังจากนั้นในปี 2013 คริสได้เขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวของเขาในสมรภูมิอิรักในหนังสือที่ชื่อว่า "American Sniper"และกลายมาเป็นหนังอย่างที่เราได้ดูกันนี่แหละครับ
ภาพยนตร์ American Sniper เรื่องราวของสไนเปอร์มือพระกาฬแห่งกองทัพสหรัฐ กำกับการแสดงโดยคลินท์ อีสต์วู๊ด
แน่นอนว่าหนังสร้างขึ้นจากเรื่องราวของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงๆ เราลองมาดูกันดีกว่าครับว่าแต่ละฉากในหนังที่เราได้ดูกันมา จะมีฉากไหนที่เป็นเรื่องจริงจากชีวิตของคริสตัวจริงและฉากไหนเป็นฉากที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อสร้างอรรถรสให้กับหนัง
"คริส ไคลน์เลิกเป็นคาวบอยขี่วัวและเข้าร่วมทดสอบเป็นหน่วยซีลหลังจากที่เลิกกับแฟนคนแรกเมื่ออายุ 30"
ข้อเท็จจริง: เรื่องแต่ง
ในความเป็นจริงแล้วคริสเคยเล่นกีฬาขี่วัวมาจริงๆ แต่สาเหตุที่เขาเลิกขี่วัวนั้นเป็นเพราะว่าเขาถูกวัวสลัดหลุดออกจากอานนั่งและถูกวัวลากไปจนกระทั่งเขาหมดสติ จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาต้องใส่หมุดดามที่ข้อมือและเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเลิกกีฬาขี่วัวไปเลย ต่างจากในฉบับภาพยนตร์ที่คริสจับได้ว่าแฟนมีกิ๊กแล้วเลิกกีฬาขี่วัวครับ
"คริส ไคลน์ยิงเด็กที่ถือลูกระเบิด"
ข้อเท็จจริง: เรื่องแต่ง
หากคุณติดตามหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ตัวอย่างแรก เนื้อหาในตัวอย่างนั้นเราจะได้เห็นว่าคริสตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจว่าจะยิงเด็กที่กำลังวิ่งเข้ามาหากลุ่มทหารโดยที่เด็กคนนั้นมีท่าทางเหมือนกับว่าจะเอาระเบิดมาปาใส่กลุ่มทหาร กระทั่งเขาตัดสินใจเหนี่ยวไกออกไปและปลิดชีวิตเด็กคนนั้น(ขนลุกเลยฉากนี้) ต่อมาหญิงผู้เป็นแม่ได้วิ่งมาหยิบลูกระเบิดจากศพลูกชายและวิ่งเข้ามาเพื่อจะสานต่อสิ่งที่ลูกเธอทำ นั่นคือการโยนระเบิดเพื่อสังหารกลุ่มทหารสหรัฐแต่ก็เกือบทำสำเร็จถ้าไม่ใช่เพราะคริสสังหารเธอเช่นเดียวกัน จากเหตุการณ์นี้ทำให้คริสสับสนและครุ่นคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เสมอว่าศพแรกที่เขาได้ทำการสังหารคือเด็กน้อยคนหนึ่ง
ในความเป็นจริงแล้วศพแรกที่คริสสังหารคือผู้หญิงเพียงคนเดียวครับ จากคำบอกเล่าของเขาที่ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร TIME เมื่อปี 2013 คริสบอกว่าเขาไม่ได้ฆ่าเด็กคนนั้นและบอกเหตุผลว่า "ผมต้องทำเพื่อปกป้องชีวิตของเหล่านาวิกโยธิน ดังนั้นแล้วคุณต้องการที่จะให้คนของคุณตายหรือเลือกที่จะจัดการใครคนใดคนหนึ่งที่วิ่งมากันล่ะ?"
"คริส ไคลน์และเทย่า คนรักของเขาแต่งงานกันก่อนที่คริสจะไปทัวร์รบที่ 1"
ข้อเท็จจริง: เรื่องจริง
คริสและเท่ย่าได้พบกันหลังจากที่คริสเพิ่งจะเข้าร่วมหน่วยซีล พวกเขาได้พบกันครั้งแรกในบาร์ของค่ำคืนหนึ่ง หลังจากความโรแมนติกที่มีให้กันและใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาและเธอได้แต่งงานกันก่อนที่คริสจะไปเข้าร่วมทัวร์รบที่ 1 ในสงครามอิรัก ในระหว่างสงครามอิรักคริสและเท่ย่าได้ให้กำเนิดบุตรด้วยกัน 2 คน โดยคนโตเป็นผู้ชายและคนรองเป็นผู้หญิง
"คริส ไคลน์สังหารมุสตาฟา สไนเปอร์ชาวอิรัก"
ข้อเท็จจริง: ไม่มีใครรู้
จากคำบอกเล่าของเจสัน ฮอล ผู้เขียนบทของหนังเรื่องนี้ มีสไนเปอร์ฝ่ายอิรักที่ชื่อว่ามุสตาฟาจริงๆ เช่นเดียวกับไคลน์ฝีมือของเขาได้รับการกล่าวขานในหมู่ขบวนการต่อต้านของอิรัก มุสตาฟาสามารถยิงได้ถูกเป้าหมายได้จากระยะ 800 เมตร(สถิติของคริสนั้นยิงได้ไกลสูงสุดถึง 2,000 เมตร)แต่คริสกลับไม่เคยพูดถึงสไนเปอร์ชาวอิรักคนนี้ในหนังสือของเขาเลย เมื่อเจสันถามคริสว่าทำไมจึงไม่พูดถึงสไนเปอร์คนนี้ ทางคริสตอบว่า "เขายิงเพื่อนของผม ผมจะไม่เอาชื่อของเขามาใส่ในหนังสือที่ผมเขียน"
ในฉบับภาพยนตร์ เราจะได้เห็นคริสออกตามล่ามุสตาฟาในหลายๆทัวร์รบและสังหารมุสตาฟาได้ในที่สุด ในความเป็นจริงแล้วคริสไม่ค่อยแน่ใจว่าคนที่เขายิงนั้นใช่มุสตาฟาหรือปล่าวด้วยเพราะระยะที่เขายิงนั้นไกลมากๆ และหลังจากนั้นเขาก็ยังได้ยินข่าวลือมาบ้างเหมือนกันว่ามุสตาฟายังมีชีวิตอยู่
"คริสถูกโจมตีระหว่างที่กำลังคุยโทรศัพท์กับภรรยาของเขาอยู่"
ข้อเท็จจริง: เรื่องจริง
เมื่อเทย่าโทรหาคริสเพื่อที่จะบอกว่าลูกของพวกเขานั้นเป็นผู้ชาย ในขณะเดียวกันนั้นเองขบวนรถของคริสได้ถูกโจมตีจากฝ่ายต่อต้านของอิรัก ในช่วงหนึ่งเทย่าได้ยินเพียงแค่เสียงปืนเพียงอย่างเดียว ต่างจากฉบับภาพยนตร์ที่เทย่าไม่ได้ข่าวจากคริสนานถึง 5 วันและคิดว่าสามีของเธอได้ตายไปแล้ว
"คริส ไคลน์ถูกตั้งค่าหัวจากฝ่ายต่อต้านของอิรักโดยใช้รอยสักเป็นสัญลักษณ์ระบุตัวตนของเขา"
ข้อเท็จจริง: จริงเป็นส่วนใหญ่
คริสถูกตั้งค่าหัวเป็นเงิน 20,000 ดอลล่าห์และเหล่าศัตรูจะใช้การสังเกตุรอยสักที่แขนเป็นจุดสังเกตว่าใช่คริสหรือปล่าว อย่างไรก็ดีคริสได้ให้สัมภาษณ์ในรายการของโคแนน โอไบรอันว่าถึงแม้เขาจะออกจากการเป็นสไนเปอร์ของกองทัพสหรัฐเพราะรอยสักที่แขน เงินรางวัลค่าหัวของเขาก็ยังคงเป็นข้อเสนอสำหรับฝ่ายต่อต้านสำหรับการสังหารสไนเปอร์คนอื่นๆของกองทัพสหรัฐ
"คริส ไคลน์และทีมหน่วยซีลตามล่าวายร้ายนาม"เดอะ บุชเชอร์"
ข้อเท็จจริง: เรื่องแต่ง
คริสไม่เคยกล่าวถึงคนที่ชื่อว่า"เดอะ บุชเชอร์"เลยสักนิดในหนังสือของเขา ตัวละครตัวนี้ถูกสร้างขึ้นในภาพยนตร์เพื่อเสริมเรื่องราวเท่านั้น
"คริส ไคลน์ถูกสังหารโดยทหารที่เขาพยายามจะช่วยเหลือ"
ข้อเท็จจริง: คดีกำลังดำเนินการอยู่
หลังจากกลับมาจากทัวร์รบที่ 4 คริสได้ตั้งบริษัทเพื่อให้ความช่วยเหลือเหล่าทหารผ่านศึก คริสจะใช้เวลาร่วมกับพวกเขาในการพากันไปยิงปืนและพูดคุยกันเกี่ยวกับชีวิตในสมรภูมิและการใช้ชีวิตที่บ้าน ทหารหลายๆคนที่เข้าร่วมกิจกรรมกับคริสต่างก็ได้รับการบำบัดที่ดีและช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจหลังสงคราม จนกระทั่งแม่ของเอ็ดดี้ เรย์ เราท์ได้มาขอให้คริสช่วยดูแลลูกชายของเธอด้วยเพราะเขาเป็นทหารผ่านศึกที่มีอาการสะเทือนจิตใจหลังสงคราม คริสก็ได้รับเอ็ดดี้เขามาดูแลและพากันไปยิงปืนและพูดคุยบำบัดกันตามโปรแกรม จนในปี 2013 คริสและเพื่อนของเขาถูกฆาตกรรมและเอ็ดดี้ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมในครั้งนั้น
และนี่คือข้อเท็จและจริงทั้งหมดที่ผมเอามาบอกให้คุณทราบกันครับ ส่วนตัวแล้วก็รู้สึกเสียดายที่คนอย่างคริสต้องจากไปก่อนเวลาอันควร ด้วยเพราะเขาเป็นชายที่ได้รับประสบการณ์ที่มีค่าจากสงครามและเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ถ่ายทอดประสบการณ์ที่ว่านั้นให้กับคนอื่นๆ แต่น่าใจหายที่เขากลับต้องมาจากไปด้วยน้ำมือของคนที่พยายามปกป้องมาตลอดชีวิตการเป็นทหารหน่วยซีลของเขา