เกษตรอินทรีย์ การเกษตรแห่งความยั่งยืน
แปลและเรียบเรียง โดย Supang Chatuchinda
ภาพรวมพื้นที่เกษตรอินทรีย์ของไทยในปีที่ผ่านมาถือว่าขยายตัวอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีแนวโน้มในการทำเกษตรโดยวิธีอินทรีย์มากขึ้น มีหลายประเทศในซีกโลกตะวันออกที่กำลังตื่นตัวกับการทำเกษตรอินทรีย์ เช่น ประเทศอินเดีย รัฐบาลอินเดียมีนโยบายสนับสนุนการทำเกษตรกรรมแบบอินทรีย์ ส่วนในประเทศจีน รายงานของสถาบัน หลุยส์ โบล์ค เปิดเผยว่าในปีพ.ศ. 2550 จีนมียอดผลผลิตจากการเกษตรแบบอินทรีย์ราว ๆ 3 ล้านตันและมีมูลค่าการส่งออกผลผลิตเหล่านี้ถึง 350 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของจีนยังคาดหวังว่าในปีถัด ๆ ไป (พ.ศ.2559) ตลาดการเกษตรอินทรีย์จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20-30 ต่อปี
เกษตรกรชาวจีนกำลังเก็บใบชาอินทรีย์
ส่วนทางฝั่งตะวันตกก็ไม่น้อยหน้าเพราะตลาดผลผลิตเกษตรอินทรีย์ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง รายงาน The World of Organic Agriculture ได้เผยถึงผลการศึกษาเกี่ยวกับตลาดเกษตรอินทรีย์ในยุโรป (และทั่วโลก) ผู้นำตลาดด้านการเกษตรอินทรีย์ในโลกตะวันตกนี้หนีไม่พ้น 3 ยักษ์ใหญ่อย่าง สหรัฐอเมริกา เยอรมนีและฝรั่งเศส ยิ่งไปกว่านั้นในปี พ.ศ.2557 ตลาดเกษตรอินทรีย์ของสวีเดนยังขยายตัวมากถึงร้อยละ 38
ตลาดผักผลไม้อินทรีย์ในฝรั่งเศส
เพราะอะไรที่ทำให้การเกษตรอินทรีย์ได้รับความนิยมจนสามารถครองพื้นที่ตลาดได้ขนาดนี้?
สาเหตุการขยายของตลาดเกษตรอินทรีย์อาจเป็นเพราะผลกระทบจากการทำเกษตรอุตสาหกรรมรวมถึงการเพาะปลูกพืชดัดแปลงพันธุกรรม
ยกตัวอย่างกรณีของสหรัฐอเมริกาที่เราอาจเรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายของเกษตรกร เป็นที่รู้กันดีว่าประเทศในทวีปอเมริกาอย่างสหรัฐอเมริกาและอาเจนตินานั้นมีการผลักดันนโยบายการเกษตรอุตสาหกรรมอย่างหนักและสนับสนุนการใช้พืชดัดแปลงพันธุกรรมหรือที่เรารู้จักกันในนามพืชจีเอ็มโอ
พืชจีเอ็มโอเหล่านี้ถูกตัดต่อพันธุกรรมให้ทนทานต่อยาฆ่าแมลง (ทั้งเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอและยาฆ่าแมลงที่พืชจีเอ็มโอต้านทานผลิตโดยบริษัทเดียวกัน) และบทเรียนที่เปรียบเสมือนฝันร้ายของประเทศเหล่านี้ได้รับก็คือความผลกระทบอันเลวร้ายทั้งต่อสุขภาพ สังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนี้
- ปัญหาเรื่องสารเคมีปนเปื้อนคือ เมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอมีการตัดต่อยีนส์ให้ทนต่อยาฆ่าหญ้า การใช้สารเคมีจึงมากขึ้นตาม เช่นการตัดต่อยีนส์ให้ทนต่อไกลโฟเซตมีผลทำให้เกษตรกรใช้ไกลโฟเซตมากขึ้น
- ภัยพิบัติการสูญเสียชีวิตสัตว์ป่าและพืชพันธุ์พื้นบ้าน พืชจีเอ็มโอมีส่วนรับผิดชอบต่อการตายของผึ้ง ผีเสื้อและค้างคาวอีกด้วย
- ความเจ็บป่วยของมนุษย์ซึ่งมีสาเหตุเชื่อมโยงถึงพิษของยาฆ่าแมลง เช่น การศึกษาถั่วจีเอ็มโอในบราซิลกับสารก่อภูมิแพ้
- ปัญหาทางด้านสังคม เช่นการผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอของบริษัทเจ้าของสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้
อ่านเพิ่ม: 20 ปีแห่งความล้มเหลว จีเอ็มโอกับคำสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ
นอกจากผลกระทบข้างต้นแล้ว ปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าแท้จริงแล้วพืชจีเอ็มโอปลอดภัยพอสำหรับการบริโภคหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่แล้วการศึกษาวิจัยพืชจีเอ็มโอมักได้รับเงินทุนจากบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพข้ามชาติ แทบจะไม่มีการศึกษาวิจัยที่เป็นอิสระและเป็นการศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับพืชจีเอ็มโอผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์เลย
นักกิจกรรมกรีนพีซเก็บตัวอย่างเมล็ดพันธ์ข้าวโพดภายในฟาร์มแห่งหนึ่งของประเทศเยอรมนี
ปัจจุบัน ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะก้าวเดินไปในเส้นทางของจีเอ็มโอ เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดจีเอ็มโอซึ่งจำหน่ายโดยบริษัทสัญชาติอเมริกัน ‘ มอนซานโต’ เติบโตในตลาดยุโรปเพียงร้อยละ 0.1 ของพื้นที่การทำเกษตรในยุโรป เมื่อเปรียบเทียบกับการทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งกินพื้นที่ถึงร้อยละ 5.7 ของพื้นที่การทำเกษตรในยุโรป (เปรียบเทียบข้อมูลจากรายงานของ ไอซาร์ (ISAAA)และ ยูโรสแต็ท(Eurostat))
เกษตรกรรมที่ยั่งยืนเป็นมิตรต่อเราและสิ่งแวดล้อม
ฟาร์มผักและผลไม้อินทรีย์ในสโลวาเกีย
เพราะการเกษตรอุตสาหกรรมและพืชจีเอ็มโอไม่ใช่ทางออกของการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน ตรงกันข้ามกลับส่งผลเสียต่อสุขภาพ สังคมและสิ่งแวดล้อม การทำเกษตรอินทรีย์ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งสารเคมีและพืชจีเอ็มโอจึงเป็นทางเลือกที่ดีและยั่งยืนยิ่งกว่า
เราคงทราบกันอยู่แล้วว่าเกษตรอินทรีย์นั้นคือการปลูกพืชให้เป็นไปตามระบบนิเวศ ปราศจากสารเคมีหรือสิ่งแปลกปลอมที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันวัชพืชและแมลงศัตรูพืช ไม่ใช้ฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ รวมถึงการนำภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ประโยชน์
การผลิตอาหารด้วยวิธีนี้ช่วยพัฒนาความเป็นอยู่และสุขภาพของเกษตรกรมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือช่วยป้องกันการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรจากการเข้ามาผูกขาดโดยบริษัทข้ามชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่าอีกด้วย
และยังมีอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เชื่อมโยงถึงผู้บริโภคอย่างเราด้วยนั่นคือ พลังของผู้บริโภค
ร้านขายผลผลิตอินทรีย์ในเมือง ซาน ฟรานซิสโก ซึ่งก่อตั้งโดยชาวเกษตรกรที่ปลูกพืชอินทรีย์เพื่อจำหน่ายอาหารให้กับผู้บริโภคโดยตรง
หากมองเผิน ๆ แล้วผู้บริโภคอย่างเราซึ่งอยู่ปลายทางของสายพานการผลิตอาหารไม่น่าจะมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงที่มาของอาหารที่เราบริโภคได้ แต่รู้หรือไม่ว่าผู้บริโภคคือพลังสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงต้นทางสายพานการผลิตอาหารเลยทีเดียว
กฎที่เป็นจริงของอุปสงค์และอุปทานยังใช้ได้อยู่เสมอ เมื่อใดที่ความต้องการซื้อมากขึ้นเมื่อนั้นความต้องการขายก็จะมากขึ้นตามไปด้วย หากผู้บริโภคทยอยเลือกบริโภคผลิตผลที่มาจากการทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น แน่นอนว่าความต้องการขายอาหารที่มาจากเกษตรอินทรีย์มากขึ้นตาม เพียงแค่เลือกจับจ่ายอาหาร ผลิตภัณฑ์ที่มีที่มาจากการเกษตรอินทรีย์ หรือเลือกซื้อผักผลไม้อินทรีย์จากเกษตรกร และชักชวนให้ญาติพี่น้องมาร่วมกันสนับสนุนผลิตผลเหล่านี้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรกร และเพื่อสุขภาพที่ดีของพวกเขาเอง