มรสุมรุมเร้า บ้านถูกยึด หนี้สินบานเบอะ ออกจากงานมาค้าขายกลายเป็นสร้างหนี้เพิ่มค่ะ
Q: "เมื่อ 6 ปีก่อน เริ่มต้นที่ครอบครัวมีฐานะปานกลางครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมี4คนคือ ยาย แม่ น้องชายและตัวนู๋
นู๋ได้มีโอกาสมาเรียนอยู่กทม. แม่ทำงานเปิดร้านอาหารในห้างต้องทำงานแต่เช้าเลิกงานก็ค่ำ มีวันนึงพี่ชายของแม่ มาหายายหลังจากที่ไม่เคยเจอกันมาหลายสิบปีเพื่อมาขอเงิน แต่ยายไม่มีให้ จึงต้องเอาที่ดินและบ้านไปให้กับนายทุนรายหนึ่ง
เราโดนโกง ทั้งที่แม่และนู๋ไม่รู้เรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราต้องย้ายออกจากบ้านหลังนั้นแล้วมาเช่าบ้านอยู่ ร้านอาหารแม่เริ่มแย่ลง ทุกอย่างเราต้องใช้เงินเพราะนู๋และน้องกำลังเรียนทั้งคู่ เรามีหนี้สินที่พอกพูนขึ้นจากที่ต้องกู้ยืมมาเพื่อช่วยเหลือทุกคนในบ้าน
ตอนนี้นู๋ยังไม่มีบ้าน แม่ใช้หนี้ยังไม่หมด นู๋ต้องออกจากงานเดิมเพื่อมาเริ่มต้นใหม่ ออกมาค้าขายเพราะทางฝั่งแฟนคอยช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่ก็ต้องหาใช้คืนอยู่ดีเพราะเกรงใจและเป็นกังวลไปหมด
นู๋รู้สึกท้อมากเลยค่ะ กังวลต้องจ่ายหนี้ตัวเองและจ่ายหนี้ทางฝั่งแฟน กังวลหารายได้ไม่ทันเพราะตอนนี้นู๋เหมือนคนตกงาน ร้านที่เราเริ่มทำกันมันเหมือนมรสุมที่เข้ามาไม่มีวันหมด นู๋เหนื่อยและท้อใจสุดๆเลยค่ะ นู๋ควรทำยังไงดีคะ"
A: หนูควรเริ่มจากสะกดคำว่า "หนู" ให้ถูกก่อน
คล้ายกับที่หนูต้องสะกดคำว่า "สติ" ให้เป็น
เรามีงานค้าขาย มีร้านที่ทำอยู่ ทำไมถึงคิดว่าตัวเองตกงานล่ะ
คำว่ามีงานทำ ไม่ได้แปลว่าหมายถึงการเป็นลูกจ้างเขาเท่านั้นนะ
พี่ก็ออกจากงานประจำ มาทำงานเป็นวิทยากรฝึกอบรม
มาเป็นโค้ชแนะนำการปรับทัศนคติ เปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ผู้คน
ไม่มีออฟฟิศ ไม่มีนายจ้าง ทำงานไม่เป็นเวลา
พี่ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองว่างงานนะ เพราะพี่ก็พัฒนาหลักสูตรตัวเองเรื่อยๆ
ตอนหนึ่งในคอร์ส "ออมสุข ล้างทุกข์" ที่พี่จัดอบรม
พี่จะเล่าถึงคำพูดของดาไล ลามะ ที่ท่านบอกว่า
ปัญหาในโลกนี้มีแค่สองแบบ คือปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้
ปัญหาไหนแก้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์หรือกังวล เพราะมันแก้ได้
ก็เอาเวลา เอาสติปัญญาไปแก้ซะ
ปัญหาไหนแก้ไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์หรือกังวล
เพราะจะกังวลไป มันก็ยังแก้ไม่ได้อยู่ดี
ฉะนั้น ปัญหาที่สมควรจะกังวลหรือทุกข์ใจ ในโลกนี้ ไม่มีนะ
ถ้าเข้าใจความจริงข้อนี้ ก็จะมีแค่ปัญหาที่แก้ได้ หรือไม่ได้
แต่ไม่มีอะไรที่ใจสมควรต้องทุกข์
เพราะพี่ก็บอกเสมอๆว่า ปัญหา ไม่ใช่ความทุกข์ มันเป็นคนละส่วน
ที่น่าประหลาดใจคือ ถ้าเรามีสติ มีปัญญา
เราจะสามารถเห็นความจริงว่า
ปัญหาหลายๆอย่าง ที่เราเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตเหมือนโลกแตก
พอเวลาผ่านไป เราได้สติ กลับกลายเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว
ที่ชวนขำเวลานึกถึง ว่าเราดราม่ากับปัญหานั้นยังไง
ยกตัวอย่าง ตอนเป็นเด็กประถม ปัญหาใหญ่ที่สุดของเรา
คือการไม่ได้ทำการบ้านมาส่ง แล้วกำลังจะโดนครูตี
ช่วงเวลาน่ากลัว สยองขวัญที่สุดในตอนเด็ก
คือการปวดฉี่จนตื่นขึ้นมากลางดึก ในท่ามกลางความมืด แล้วดันนึกถึงเรื่องผี
หรือถ้าเคยกลับไปโรงเรียนที่เราเรียนตอนอนุบาล หรือ ป. ๑
ที่ตอนสมัยนั้น เรารู้สึกว่ามันเป็นสถานที่ใหญ่โตราวกับพระราชวังบั๊กกิ้งแฮม
ถ้าวันนี้เรากลับไป เราอาจจะพบว่า
มันเล็กจนน่าประหลาดใจ จนอดอมยิ้มไม่ได้
ปัญหาที่เราเจอตอนนี้ ก็คล้ายๆกันครับ วางใจให้ดี มีสติ แล้วอย่าดราม่า
สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่เรื่องยังมีหนี้ ยังไม่มีบ้าน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้ คือการคิดลบ คือความกลัวและกังวลจนขาดสติ
เพราะมีหนี้ได้ ก็หมดหนี้ได้ ถ้ายังมีชีวิต มีสติ มีปัญญา ก็ยังมีโอกาส
บ้าน ยังไม่มี ก็ไม่เป็นไร อยู่บ้านเช่า ห้องเช่าไปก่อน พอมีที่นอนพัก
ที่จริง เราไปเชื่อกันเองว่า เช่าบ้านคือไม่มีบ้าน ไม่ใช่หรอก
ฝรั่งในอังกฤษ อเมริกาส่วนมาก เขาก็เช่าบ้านอยู่กันทั้งนั้น
เพราะช่วงวัยทำงาน มันอาจจะต้องย้ายไป ย้ายมา ตามหน้าที่การงาน
จนใกล้ๆเกษียณ มีเงินเก็บเยอะๆ ค่อยคิดเรื่องซื้อบ้าน
อย่าไปคิดลบว่า เช่าบ้านคือความล้มเหลวนะ
เศรษฐกิจไม่ดีก็ชั่วคราวนะ มันเคยดีได้ ก็แย่ได้เป็นธรรมดา
มันเคยดี เคยไม่ดีมาก่อน แล้วก็ดีขึ้น แล้วก็แย่ลงอีกเป็นวงจรแบบนี้เอง
อย่ามองแต่ส่วนที่เราติดลบ ให้รู้จักมองส่วนดีที่เรายังมี
เศรษฐีหลายๆคน ก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบเดียวกับเรามานี่แหละ
ช่วงที่ต้องหมุนเงิน ต้องกระเบียดกระเสียร อดมื้อกินมื้อ
ค่อยๆใช้หนี้ไป ตามกำลัง อย่าสร้างหนี้ใหม่ ยังไงก็หมด
สิ่งที่ดีของคนที่เจอปัญหาหนักๆ แต่มีสติ คือบทเรียน และภูมิคุ้มกัน
ผ่านตรงนี้ไปได้ เราจะแข็งแรงขึ้น กลัวลำบากน้อยลง เพราะเคยลำบากมาแล้ว
ชีวิตพี่ช่วงหนึ่ง ก็เคยมีอารมณ์แบบเรา ชนิดที่เหลือยี่สิบบาทในกระเป๋า
แต่ต้องเอาชีวิตรอดอีกหลายวัน ขนาดจะขึ้นรถเมล์ยังไม่กล้าขึ้น ต้องเดินเอา
พี่ถึงพูดได้ว่า ถ้าไม่ยอมแพ้ เราก็ไม่ลำบากตลอดไปหรอก
ไม่ต้องรอให้พี่ให้กำลังใจหรอก เราให้กำลังใจตัวเองน่ะ ดีที่สุด
สู้นะ www.dhamma.com