หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ตำนานท่าเตียน

โพสท์โดย Sayuri

“ยักษ์วัดโพธิ์” ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป (หอไตรจตุรมุข)


ตำนาน “ยักษ์วัดแจ้ง-ยักษ์วัดโพธิ์”
และตำนานกำเนิดท่าเตียน



“ยักษ์” เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่ง มีกล่าวถึงทั้งในทางศาสนาและวรรณคดี
เป็นความเชื่อของไทยที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ
โดยเชื่อว่ายักษ์มีหลายระดับขึ้นอยู่กับบุญบารมี ยักษ์ชั้นสูงจะมีวิมานเป็นทอง
มีรูปร่างสวยงาม ปกติไม่เห็นเขี้ยว เวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมา
ยักษ์ชั้นกลางส่วนใหญ่จะเป็นบริวารของยักษ์ชั้นสูง
ส่วนยักษ์ชั้นต่ำที่บุญน้อยก็จะมีรูปร่างน่ากลัว ผมหยิกตัวดำผิวหยาบ นิสัยดุร้าย

จะเห็นได้ว่าในวัดวาอารามต่างๆ มักจะมียักษ์มาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของวัด
หรือโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นยักษ์แบกพระเจดีย์ในวัดพระแก้ว
รูปปั้นยักษ์แบกองค์พระปรางค์ในวัดแจ้ง หรือยักษ์วัดโพธิ์ เป็นต้น
ซึ่งตามตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าได้เทศน์สั่งสอนยักษ์ให้ลดทิฐิมานะ
ยักษ์ที่ได้ฟังและเข้าใจในพระธรรม จึงได้กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา
หรืออีกนัยหนึ่งก็หมายถึง ผู้แบกสรวงสวรรค์ และทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองสถูปสถาน
และอาคารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการค้ำชูพระพุทธศาสนาให้มั่งคงและเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา

ตำนานเรื่องเล่า หลายคนคงเคยได้ยินตำนานกำเนิดท่าเตียน
ที่เล่าปากต่อปากกันมาว่า บริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนั้น
เป็นผลจากการต่อสู้ของ “ยักษ์วัดแจ้ง” กับ “ยักษ์วัดโพธิ์”
โดยมี “ยักษ์วัดพระแก้ว” เป็นผู้ห้ามทัพ

ตำนานกำเนิดท่าเตียน มีว่า ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์
และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ ฝั่งตรงข้ามนั้น
ทั้ง ๒ ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน
จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง พร้อมทั้งนัดวันที่จะนำเงินไปส่งคืน
เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่ายหนี้ เบี้ยวเอาเสียดื้อๆ
ยักษ์วัดแจ้งเมื่อรอแล้วรอเล่าจนทนไม่ไหว
จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืน แต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้

ดังนั้น ในที่สุดยักษ์ทั้ง ๒ ตนจึงเกิดการทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน
แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมาและมีกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง ๒ ตน
เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายลงหมด
หลังจากที่เลิกต่อสู้กันแล้วบริเวณที่ยักษ์ทั้งสองประลองกำลังกันนั้น
จึงราบเรียบเป็นหน้ากลองกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย
ซึ่งตามตำนานเรื่องเล่าดังกล่าวยังสรุปไม่ได้ว่า ยักษ์วัดไหนเป็นฝ่ายชนะ

ครั้นเมื่อพระอิศวร (พระศิวะ) ได้ทราบเรื่องราวการต่อสู้กัน
ทำให้บรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้นเดือดร้อน
จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้ง ๒ กลายเป็นหิน
แล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ วัดโพธิ์
และให้ยักษ์วัดแจ้ง ทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหาร วัดแจ้ง เรื่อยมา

ส่วนฤทธิ์จากการสู้รบของยักษ์ทั้งคู่ที่ทำชุมชนละแวกนี้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง
ทำให้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ท่าเตียน” เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้



เมื่อคาดคะเนจากตำนานการต่อสู้ ยักษ์ทั้งสามน่าจะมีขนาดใกล้เคียงกัน
หลายคนเลยเข้าใจผิดคิดว่า “ลั่นถัน นายทวารบาล”
หรือตุ๊กตาสลักหินรูปทหารนักรบจีนขนาดใหญ่ที่ยืนถือศาสตราวุธ
เฝ้าซุ้มประตูเข้า-ออกในเขตพุทธาวาสของวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์)
ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดรวม ๓๒ ตัวนั้น คือ ยักษ์วัดโพธิ์
แต่โดยแท้จริงแล้ว “ยักษ์วัดโพธิ์” มีเพียง ๒ คู่ ๔ ตนเท่านั้น คือ
ยักษ์กายสีแดง, ยักษ์กายสีเขียว, ยักษ์กายสีเทา และ ยักษ์กายสีเนื้อ
ประติมากรรมรูปร่างเป็นยักษ์ไทย เขี้ยวแหลมโง้ง มือทั้งสองกุมไม้กระบองเป็นอาวุธ
ซึ่งทั้งหมดมีลักษณะคล้ายกับยักษ์ในวรรณคดีสำคัญเรื่องรามเกียรติ์
เช่นเดียวกับ “ยักษ์วัดพระแก้ว” หากแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก
เล็กจนสามารถตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป (หอไตรจตุรมุข) ได้

ส่วนประวัติการสร้างเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้รื้ออสูรที่ยืนเฝ้าประจำประตูทั้ง ๔ ประตูของวัดออกไป
แล้วนำ “ลั่นถัน นายทวารบาล” หรือรูปตุ๊กตาสลักหินรูปทหารนักรบจีนขนาดใหญ่มาตั้งแทน
กาลนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อรูปยักษ์ปูนปั้นขนาดเล็ก สูงประมาณ ๑๗๕ เซนติเมตร
จำนวน ๘ ตน ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป (หอไตรจตุรมุข)
ทั้ง ๔ ด้าน ด้านละ ๑ คู่ เพื่อให้ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาหอพระไตรปิฎก
(พระมณฑปหรือหอไตรจตุรมุข ใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก เรียกว่าหอพระไตรปิฎกก็ได้)

เมื่อครั้งทำระเบียงพระมหาเจดีย์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ได้โปรดเกล้าฯ ให้รื้อซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป (หอไตรจตุรมุข) ออกไป ๒ ซุ้ม
ปัจจุบันจึงปรากฏรูปยักษ์วัดโพธิ์เหลืออยู่เพียง ๒ คู่ ๔ ตนเท่านั้น คือ

ยักษ์กายสีแดง มีชื่อว่า “พญาแสงอาทิตย์” กับ ยักษ์กายสีเขียว มีชื่อว่า “พญามัยราพณ์”
ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ยักษ์กายสีเทา มีชื่อว่า “พญาขร” กับ ยักษ์กายสีเนื้อ มีชื่อว่า “พญาสัทธาสูร”
ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ส่วนซุ้มประตูทางเข้าฯ ด้านที่รื้อออกไป ๒ ซุ้มนั้น
แต่เดิมเป็นยักษ์มีชื่อว่า “สหัสเดชะ” กับ “ทศกัณฐ์”
ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
และยักษ์มีชื่อว่า “อินทรชิต” กับ “สุริยาภพ”
ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

คนโบราณเชื่อว่ายักษ์ที่ยืนเฝ้าซุ้มประตูมีอิทธิฤทธิ์ในการขับไล่ภูตผีปีศาจทั้งหลาย
จึงมีหน้าที่ปกปักรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมีค่าที่อยู่ด้านใน



สำหรับ “ยักษ์วัดแจ้ง” นั้น ก็ถือว่าเป็นยักษ์ชื่อดัง
ที่ทุกคนรู้จักกันดีจากวรรณคดีสำคัญเรื่องรามเกียรติ์ นั่นก็คือยักษ์ทศกัณฐ์

ด้านหน้า “ประตูซุ้มยอดมงกุฎ” ก่อนเข้าสู่พระอุโบสถ วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง)
มีพญายักษ์หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ยักษ์วัดแจ้ง” ยืนเฝ้าอยู่ ๒ ตน
รูปร่างเป็นยักษ์ไทยตัวใหญ่ เขี้ยวแหลมโง้ง ตัวมีขนาดใหญ่กว่ายักษ์วัดโพธิ์
มือทั้งสองกุมไม้กระบองสีขาวเป็นอาวุธ ยืนอยู่บนแท่น มีความสูงประมาณ ๓ วา
โดยยักษ์ด้านเหนือกายสีขาว มีชื่อว่า “สหัสเดชะ” ยักษ์ด้านใต้กายสีเขียว มีชื่อว่า “ทศกัณฐ์”
ยักษ์ทั้งสองตนเป็นยักษ์ปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายและเครื่องแต่งตัว
ของเดิมสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ทำหน้าที่เป็น “นายทวารบาล” ตามคติความเชื่อเทพผู้พิทักษ์รักษาประตู
เพื่อให้เทพได้ปกปักรักษาสถานที่สำคัญทางศาสนา
ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการปั้นรูปยักษ์ยืนในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ในเวลาต่อมา



ในส่วนของ “ยักษ์วัดพระแก้ว” นั้น มีทั้งหมดรวม ๑๒ ตน
เนื่องจากประตูวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) มี ๗ ประตู
โดย ๖ ประตูมีรูปยักษ์ยืนปูนปั้นกายสูงใหญ่ถึง ๖ เมตร
ประดับเคลือบสีประณีตงดงาม เป็น “นายทวารบาล” ยืนเฝ้าอยู่ประตูละ ๒ ตน
ยักษ์มีชื่อเรียกต่างกันไป ซึ่งแม้จะคุ้นตาแต่ก็ไม่ค่อยมีใครรู้จักว่าเป็นยักษ์อะไร

ยักษ์ทั้ง ๖ คู่ เหล่านี้ต่างก็มีที่มาจากวรรณคดีสำคัญเรื่องรามเกียรติ์ทั้งสิ้น
เริ่มตั้งแต่คู่แรกที่ยืนเฝ้าประตูพระฤๅษี มีชื่อว่า จักรวรรดิ และอัศกรรณมารา
คู่ที่ยืนเฝ้าประตูเกยเสด็จ (หน้า) มีชื่อว่า สุริยาภพ และอินทรชิต
คู่ที่ยืนเฝ้าประตูหน้าวัว มีชื่อว่า มังกรกัณฐ์ และวิรุฬหก
คู่ที่ยืนเฝ้าประตูวัดพระแก้ว มีชื่อว่า ทศคีรีธร และทศคีรีวัน
คู่ที่ยืนเฝ้าประตูเกยเสด็จ (หลัง) มีชื่อว่า ทศกัณฐ์ และสหัสเดชะ
และคู่สุดท้ายที่ยืนเฝ้าประตูสนามไชย มีชื่อว่า มัยราพณ์ และวิรุฬจำบัง

ประตูที่ ๗ ประตูสุดท้าย คือประตูวิหารยอด อยู่ตรงข้ามกับวิหารยอด
เป็นประตูเดียวที่ไม่มีรูปยักษ์ทวารบาล มีแต่ภาพยักษ์และภาพวานรเขียนไว้เท่านั้น



“ลั่นถัน นายทวารบาล”
หรือตุ๊กตาสลักหินรูปทหารนักรบจีนขนาดใหญ่
ที่ยืนถือศาสตราวุธเฝ้าซุ้มประตูเข้า-ออกในเขตพุทธาวาส
ของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็น “ยักษ์วัดโพธิ์”





“ยักษ์วัดโพธิ์” มีเพียง ๒ คู่ ๔ ตนเท่านั้น คือ
ยักษ์กายสีแดง, ยักษ์กายสีเขียว, ยักษ์กายสีเทา และยักษ์กายสีเนื้อ
ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป หรือหอไตรจตุรมุข
ซึ่งใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎกของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
“ยักษ์วัดโพธิ์” ตัวจริงมีลักษณะเช่นเดียวกับยักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์



“ยักษ์วัดแจ้ง” มี ๒ ตนคือ ยักษ์ด้านเหนือกายสีขาว มีชื่อว่า “สหัสเดชะ”
ส่วนยักษ์ด้านใต้กายสีเขียว มีชื่อว่า “ทศกัณฐ์”
ยืนเฝ้าที่ประตูซุ้มยอดมงกุฎทางเข้าพระอุโบสถ วัดอรุณราชวราราม



“ยักษ์วัดพระแก้ว” นายทวารบาลเฝ้าประตู ๒ ตน
รูปยักษ์ยืนในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ : dayoffmagazine.com
เคยได้ยินตำนานการตีกันระหว่างยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ กันมั้ยเอ่ย...
 


จากคำบอกเล่าของคนรุ่นเก่าก่อน..มีอยู่ว่า
เนื่องจากวัดทั้งสองอยู่ตรงข้ามกันพอดี มีแม่น้ำเจ้าพระยากั้นกลาง
วันหนึ่งยักษ์ทั้งสองเกิดพูดจาท้าทายกัน (ไม่รู้ว่าดูถูกสีผิวกันรึป่าว)
จนเป็นเหตุให้เกิดการต่อสู้ตะลุมบอนกันจนบ้านเมืองราบเตียนเป็นหน้ากลอง
ต่อมาจึงเรียกบริเวณนั้นว่า “ท่าเตียน”
ร้อนถึงยักษ์วัดพระแก้วต้องเข้ามาเป็นกรรมการเพื่อยุติ “ศึกมวยยักษ์” ดังกล่าว


เคยมีคนเอาเรื่องราวการตีกันของยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ มาทำเป็นหนังเหมือนกันชื่อหนังว่า “ท่าเตียน”  แต่ยักษ์วัดโพธิ์ ที่เอามาตีกับยักษ์วัดแจ้งในหนังนั้นเป็นยักษ์จีน


แท้จริงแล้ว ยักษ์จีนนั้น เป็นแค่เพียงลิ่วล้อเฝ้าประตูวัด หรือทวารบาลที่ชื่อ "ลั่นถัน" เท่านั้น ซึ่งมีอยู่ประมาณ 32 ตน แต่จำไม่ได้ว่าในหนังใช้ตัวไหนไปรบกับยักษ์วัดแจ้ง


ยักษ์วัดโพธิ์แท้จริงแล้ว มีเพียงแค่ตัวเดียว มีผิวกายสีแดงขนาดประมาณศอกเท่านั้น ก็คือตัวที่เห็นในภาพนี่แหละหน้าตาอย่างเนี้ย.


หลายคนเคยมีคำถามว่า “แล้วยักษ์ฝ่ายไหนชนะ”จากการที่ได้เดินสำรวจวัดทั้งสองในช่วงสงกรานต์ เราขอฟันธงว่า... การศึกครั้งนี้ฝ่ายยักษ์วัดแจ้งชนะ...ค่ะ


ทำมั้ยน่ะเหรอ...เพราะเราไปเจอหลักฐานชิ้นสำคัญ นั่นคือ เหล่าเฉลยศึกที่ยักษ์วัดแจ้งจับมาขังไว้ภายในวัดเหล่านี้ไงล่ะ


ยักษ์วัดแจ้งจะจับเฉลยศึกที่จับมาได้จากวัดโพธิ์มาขังที่นี่  ตัวไหนมีอาวุธก็ทำการริบอาวุธซะ..อย่างตัวนี้โดนริบกระบี่


ตัวนี้ด้วย..


ตัวนี้ถูกตัดแขนด้วนเลย..


ตัวไหนซ่ามาก...ขัดขืนไม่ยินยอมจำนนแต่โดยดี ก็จะถูกทุบด้วยกระบองเสียหัวแบะ อย่างนี้แหละค่ะ


ครุฑสัญชาติจีนตัวนี้ก็ด้วย ท่าจะขาโจ๋ไม่เบา ถือว่าตัวเองบินได้ เลยถูกตะบองพี่ยักษ์ทุบซะมือหักบินหนีกลับวัดโพธิ์ไม่ไหว กลายเป็นนกพิการ ถูกจับให้ยืนตากแดดตากฝน อยู่ในกรงเขียวไปเลย


สำหรับคำถามที่ ทำมั้ยพี่ยักษ์วัดแจ้งจึงเก่งจังน่ะรึ... นี่งัยเหล่าลูกสมุนของพี่ยักษ์วัดแจ้ง ของเรา มีทั้ง ลิงและ ยักษ์


แถมมีเทวดาคอยช่วยอีกต่างหาก จะไม่ชนะได้ไง


แต่ถ้านับจำนวนกันจริงๆ แล้วทางฝั่งยักษ์วัดโพธิ์น่าจะได้เปรียบเพราะลำพัง ลั่นถัน ยักษ์จีนเฝ้าประตูก็ 32 ตนแล้ว ยังมีพระเจ้าตาฤาษีดัดตน อีกตั้ง 80 ตนอีกด้วย  แต่พระเจ้าตาไม่เล่นด้วยเนื่องจากเป็นผู้ทรงศีล


ขนาดไม่ได้ออกรบกับเขายังดัดตัวเองซะเกือบร้อยกระบวนท่า ถ้าออกรบด้วยแล้วเกิดพลาดพลั้งโดนตะบองยักษ์เข้าไป คงต้องออกแบบท่ากายภาพบำบัดอีกแหงมๆ..

 
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Sayuri's profile


โพสท์โดย: Sayuri
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
28 VOTES (4/5 จาก 7 คน)
VOTED: a rms, Tabebuia, เทวาพญามาร, ginger bread, Sayuri
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวนถล่มอุโมงค์ลับ เนิน 350 ทัพฟ้าส่ง F-16 เสิร์ฟไข่ 6 รอบติดคลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติเครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจวอลเลย์บอลชายไทย เฉือนชนะ อินโด คว้าทองซีเกมส์ในรอบ 8 ปีไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญสถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่นเลขเด็ด "หวยปฏิทินจีน" งวดวันที่ 2 มกราคม 69..คอหวยอย่าพลาด!ไฟในอย่าน่าออก ไฟนอกอย่าน่าเข้าย้อนวันวาน “ศูนย์อาหารมาบุญครอง พ.ศ. 2535” ต้นแบบฟู้ดคอร์ทไทย จากคูปองเงินสด สู่ยุคสแกนจ่ายในปลายนิ้วชาวบ้านรู้! เพจดังแฉบ่อนพนันสารคาม เปิดเล่นโจ๋งครึ่ม 3 วันแล้ว ไม่กลัวกฎหมาย
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
หุ้น Facebook ลงเกือบ 30% ในคืนเดียวอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีให้คะแนนไทยในการจัดซีเกมส์ 100 เต็ม 10 พร้อมส่งกำลังใจถึงทีมชาติช้างศึกหลังพลาดเหรียญทองเลขเด็ด "คำชะโนด (ปกเขียว)" งวดวันที่ 2 มกราคม 69 มาแล้ว!..ส่องเลย เลขไหนมาแรง!!ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน
ตั้งกระทู้ใหม่