เรียกร้องนายกฯ จับสึกเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ตามพระลิขิตสังฆราชองค์ก่อน
เช้านี้ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล พระสอาดปุญญผโล พร้อมคณะสงฆ์ปกป้องพุทธศาสนาและสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เข้ายื่นหนังสือพร้อมรายชื่อพระจำนวนกว่า 1,000 รูป เรียกร้องนายกฯ ให้ความกระจ่าง กรณีพระธัมมชโยที่ทำผิดพระธรรมวินัย จนกระทั่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระลิขิตตัดสินไปแล้ว แต่ผ่านมาเป็นแวลา 17 ปีแล้วยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องการลงโทษพระธัมมชโย โดยเครือข่ายดังกล่าวเรียกร้องให้จับพระธัมมชโยสึก
พระรูปหนึ่งที่มาด้วยในครั้งนี้แถลงกับผู้สื่อข่าวว่า หากพระธัมมชโยไม่ถูกลงโทษ ก็จะสึกตัวเองด้วยการเผาตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนมีความมั่นคงต่อพระธรรมวินัยเพียงใด
พระธัมมชโย ถูกกล่าวหาให้ปาราชิก และตามลิขิตของพระสังฆราชฯ ระบุว่าความผิดชัดแจ้งที่ถือเป็นปาราชิก คือ การที่พระธัมมชโยไม่คืนทรัพย์สินและที่ดินให้กับวัดพระธรรมกาย ซึ่งต่อมามีการตรวจสอบว่า พระธัมมชโย ได้คืนทรัพย์สินและที่ดินกว่า 900 ล้านบาทให้กับวัดพระธรรมกายแล้ว
กรณีนี้มีความขัดแย้งทางความเห็นจากหลายฝ่ายในสังคม และแม้สมเด็จพระสังฆราชเคยมีพระลิขิตแล้วเมื่อราว 17 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เคยอธิบายว่า หลังจากตรวจสอบเอกสารตามมติมหาเถรสมาคมเมื่อปี พ.ศ. 2542 ตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก แต่การจะหยิบยกพระบัญชาขึ้นมาอีกครั้ง ต้องเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมอีกครั้ง
ความใกล้ชิดระหว่างพระธัมมชโยกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วงเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งมติมหาเถรสมาคมเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชองค์ต่อไปนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่มีหลายฝ่ายออกมาต่อต้านมติดังกล่าว นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนอาวุโสที่มีความเชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์เมื่อไม่นานมายืนยันในประเด็นนี้ “ถ้าสมเด็จช่วงได้ขึ้นเป็นพระสังฆราช ธรรมกายจะเฟื่องฟู” ซึ่งความเห็นของเขาระบุว่าไม่ต้องการให้มีการแต่งตั้งสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราช แต่ถ้าพิจารณาตามกฎหมาย ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ก็ต้องตั้งสมเด็จช่วงตามลำดับอาวุโส
บีบีซีไทยแลนด์