วิวัฒนาการแต่งหน้าของผู้หญิงในรอบ 5,000 ปี
ไม่ใช่แค่เพื่อสวยงาม แต่เพื่อบอกบทบางทางสังคมด้วย
การแต่งหน้าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงมานานหลายพันปี มีวิวัฒนาการกันมากมายหลายเวอร์ชั่น กว่าจะเป็นลักษณะที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ได้มีการทดลองใช้สารเคมีต่างๆ มาแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า รวมทั้งสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัยก็มีผลต่อลักษณะการแต่งหน้าของผู้หญิงอย่างน่าสนใจ ตามเราไปดูกันว่าความสวยของสุภาพสตรีในวันนั้น กับหญิงงามในวันนี้ต่างกันแค่ไหน!
อียิปต์โบราณ (3100-332 ปีก่อนศริสตกาล)
สังคมอียิปต์โบราณเป็นสังคมที่เปิดรับการใช้เครื่องสำอางมาก ผู้คนจากทุกชนชั้น ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็แต่งหน้ากันทุกวัน ผู้หญิงในยุคอียิปต์โบราณมีอิสรภาพในการทำสิ่งต่างๆ เมื่อเทียบกับยุคอื่น พวกเธอสามารถรับมรดกที่ดิน หรือมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้ ดังนั้นการแต่งหน้าจึงเป็นสิ่งที่พวกเธอสามารถทำได้ตามใจตนเองด้วย!
กรีกโบราณ (800-600 ปีก่อนคริสตกาล)
ถึงแม้ว่าในยุคนี้ผู้หญิงจะสามารถแต่งหน้าได้ แต่ไม่นิยมแต่งให้จัดจนเห็นเครื่องสำอางชัดเจน โดยเฉพาะในสังคมชั้นสูงซึ่งเชื่อว่าหน้าที่หลักของผู้หญิงคือการครองตัวเป็นพรหมจรรย์ อยู่บ้านและดูแลครอบครัว ผู้หญิงในสมัยนี้จึงแต่งหน้าบางๆ โดยใช้เพียงแป้งฝุ่นสีขาว และเติมสีสันให้ใบหน้าอย่างบางเบาด้วยสีที่ได้จากพืชหรือผลไม้อย่างเช่นสตรอเบอรี่ บางคนอาจเลือกใช้สีย้อมที่มีส่วนผสมของสารอันตรายอย่างตะกั่วและปรอท นอกจากนั้นยังเขียนคิ้วด้วยไม้อัดเผาให้ยาวจนจรดกันกลางหน้าผาก
ยุคกลาง (ศตวรรษที่ 5- ศตวรรษที่15)
ยุคนี้ศาสนาคริสต์เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในสังคมยุโรป บรรดานักเขียนชาวคริสเตียนสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเครื่องสำอางและการหลอกลวง ส่งผลให้ในสมัยนี้การแต่งหน้ามิได้เป็นเพียงสิ่งที่ไร้รสนิยมแต่ยังเป็นบาปอีกด้วย ผู้หญิงจึงปรุงเครื่องประทินผิวขึ้นใช้เองที่บ้านเพื่อพยายามทำให้ผิวขาวเนียนใสไร้จุดด่างดำ
ช่วงศตวรรษที่ 16
ในสมัยนั้นเวนิสเป็นเมืองหลวงแห่งแฟชั่น ปาร์ตี้ และความบันเทิงต่างๆ ทำให้สตรีชั้นสูงในเวนิสต้องแต่งหน้าจัดเพื่อปกปิดร่องรอยการอดนอนเพราะไปรื่นเริงอยู่ในงานปาร์ตี้กันจนเช้า รองพื้นที่นิยมใช้กันชื่อว่า เวนีเชี่ยน เซอรูส (Venetian Ceruse) ซึ่งราคาแพง มีฤทธิ์ทำให้ผิวขาวเหมือนหยวกกล้วย แต่มันมีส่วนผสมของผงตะกั่วขาวซึ่งอันตรายมาก นอกจากจะทำลายสุขภาพผิวและทำให้ผมร่วงแล้ว หากใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานรองพื้นตัวนี้อาจมีผลจนถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนที่ปัดแก้มนิยมใช้สีแดงสด ทำมาจากผงปรอทซัลไฟด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวและร่างกายเช่นกัน
กลางศตวรรษที่ 18
ยุคนี้เมืองหลวงแห่งแฟชั่นของยุโรปย้ายมาอยู่ที่กรุงปารีส ลักษณะการแต่งหน้าที่โดดเด่นในสมัยนี้คือการปัดแก้มให้เห็นสีสันชัดเจน ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ชนชั้นสูงแตกต่างจากชนชั้นกลาง ตามหนังสือประวัติศาสตร์มักแสดงภาพมาดาม เดอ ปอมปาดูร์ (Madame de Pompadour) สนมเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 พร้อมแก้มสีชมพูฉ่ำ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสี ปอมปาดูร์พิงค์ (Pompadour Pink)
ยุควิตอเรียน (ศตวรรษที่ 19)
ยุคนี้เป็นช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่มีกฎเกณฑ์สังคมที่เคร่งครัดที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะพระนางวิคตอเรียเป็นพระราชินีที่เคร่งศาสนาและมีจริยธรรมสูง พระองค์มีพระราชดำรัสว่าการแต่งหน้าเป็นสิ่งหยาบคายและไม่เป็นกุลสตรี การแต่งหน้าเมื่อเข้าสังคมถือเป็นเรื่องไม่สุภาพ เพราะฉะนั้นในสมัยนี้ผู้หญิงแทบจะไม่แต่งหน้าเลย การเติมสีสันบนใบหน้าสามารถทำได้โดยใช้ลิปบาล์มที่มีสีอ่อนๆ การหยิกแก้มและการกัดรัมฝีปากเท่านั้น บางคนอาจเลือกใช้กระดาษสีแดง ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ชุบน้ำพอหมาดและนำมาถูริมฝีปาก
ศตวรรษที่ 20
ในยุคที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์เริ่มเฟื่องฟู ทำให้ผู้คนเริ่มหลงไหลในความงามของดาราฮอลีวูด ไม่ว่าสาวคนไหนก็อยากจะมีหน้าตาสวยเหมือนพวกเธอ ประกอบกับเป็นช่วงที่รณรงค์เรื่องสิทธิสตรีอย่างแพร่หลาย ทำให้การแต่งหน้าได้รับความนิยมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บุคคลทั่วไปเริ่มหาซื้อเครื่องสำอางได้ง่ายขึ้น และความงามของหญิงสาวกลายเป็นเครื่องแสดงถึงพลังของพวกเธอ ช่วงศตวรรษที่ 20 นี้เป็นช่วงที่ผู้หญิงมีอิสระในการแต่งหน้าตามที่ตัวเองต้องการโดยไม่ถูกปิดกั้นจากสังคม
นับได้ว่าการแต่งหน้าถือเป็นสิ่งที่สะท้อนบทบาทของผู้หญิงและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องของความงามแล้วถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าการแต่งหน้าของผู้หญิงในแต่ละยุคสมัยดูจะมีความเกี่ยวพันไม่มากก็น้อยกับสถานะทางสังคมของผู้หญิงเองด้วย
Source: www.lisaeldridge.com
เซียนหวยคึกคัก ม้าสีหมอกปล่อยแนวทางเลขเด็ด งวด 2 มกราคม 2568
"ซินแสดัง" เผยดวงเมืองประเทศไทย ปี 2569..ยิ่งรบ ยิ่งแข็งแกร่ง ศัตรูแพ้ราบคาบ
วิเคราะห์หวยงวดวันที่ 2 มกราคม 69 โดยใช้ AI..เลขไหนมีสิทธิ์ถูกรางวัล
ทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจาย
"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชน
AI วิเคราะห์เลขท้าย 2 ตัว งวดวันที่ 2 มกราคม 69..โดยใช้สถิติย้อนหลัง 20 ปี
หลังหยุดยิงได้ไม่กี่ชั่วโมง พบเครื่องบินปริศนา บินเข้าสู่กรุงพนมเปญ
เจ้าของบริษัทขายกิจการ แจกโบนัสพนักงานคนละ 443,000 ดอลลาร์
เขมรวิเคราห์ "จุดอ่อนของ T-50TH คืออะไร?"
ปิดตำนานรถ EV ราคาถูก ทิ้งลูกค้า, ดีลเลอร์ หอบเงินจากภาครัฐฯ กลับจีนหน้าตาเฉย
เสธ.เดือด มีแต่พื้นที่ของกูกับของมึง..เท่านั้น
10 พรรณไม้สวยพิษร้าย: ความงดงามที่ต้องแลกด้วยอันตรายถึงชีวิต
สาวปริศนาปล่อยอึในร้านมินิมาร์ท พนง.เก็บกวาดปล่อยโฮ เพราะต้องตามเช็ด (เหตุเกิดที่ไทย)
วัฒนธรรมของ สัตว์เลื้อยคลาน ที่มันคือกิ้งก่าขนาดใหญ่
นี่หน่ะหรือ ขนมที่ใช้ในพิธีขันหมาก