เธอคนนี้ดื่มน้ำแครอททุกเช้าติดต่อกัน 8 เดือน มาดูกันว่าจะเป็นอย่างไร
แอน คาเมรอน (Ann Cameron) เธอเป็นนักเขียนหนังสือเด็ก ที่กลายเป็นคนมีชื่อเสียงมากขึ้น หลังจากที่เธอได้ตรวจพบว่าเธอนั้นเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เธอเป็นมะเร็งในระยะที่สามแล้ว กว่าที่เธอนั้นจะได้เข้ารับการรักษาตัว
เธอทราบดีเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโรคนี้ นับตั้งแต่ที่สามีของเธอเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอด แม้ว่าเขาจะได้เข้ารับการทำเคมีบำบัดแล้วก็ตาม เพราะว่าแอนรู้ดีถึงปัญหานั้น ทำให้เธอตัดสินใจทำการรักษาเคมีบำบัดในแบบฉบับของตัวเธอเอง โดยเธอตัดสินใจปฎิเสธในการทำการรักษาแบบดั้งเดิม
แอนจัดการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ของเธอด้วยวิธีทางเลือก และเธอได้บอกเล่าประสบการณ์ลงบนบล็อกส่วนตัว เพื่อแชร์ให้ผู้คนได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องราวการเป็นมะเร็งของเธอเอง หลังจาก 6 เดือนที่ได้เข้ารับการผ่าตัด คุณหมอของแอนบอกกับเธอว่า มะเร็งในตอนนี้เข้าสู่ระยะที่สี่ และมันได้แพร่กระจายไปยังปอดของเธอแล้ว
ณ จุดนี้ แอนตัดสินใจค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เพื่อหาวิธีการรักษาทางเลือกอื่นๆ แล้วเธอก็ประหลาดใจมากเมื่อเธอนั้นได้มาอ่านเรื่องราวของราล์ฟ โคล (Ralph Cole) ผู้ซึ่งหายจากโรคมะเร็งผิวหนังด้วยการดื่มน้ำแครอท เขาได้ทำน้ำผลไม้กว่า 2.5 กิโลกรัมจากแครอทในทุกๆ วัน เพื่อไว้สำหรับดื่ม จากนั้นมาแอนจึงเริ่มต้นดื่มน้ำแครอทในทุกๆ วัน โดยเธอจะดื่มในปริมาณที่เท่ากันตลอดทั้งวัน
น่าประหลาดใจมาก หลังจากนั้นอีก 2 เดือน โรคมะเร็งของแอนได้หยุดการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายเธอ เนื้องอกในปอดของเธอมีอาการหดตัว และอาการบวมในต่อมน้ำเหลืองที่ปอดของเธอนั้นได้ลดขนาดลงไป อีกเพียง 2 เดือนต่อมา แอนก็กลับมากลายเป็นปกติอย่างสมบูรณ์ ขนาดของเนื้องอกก็มีการลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อครบ 8 เดือน นับตั้งแต่ที่แอนได้เริ่มต้นทำการดื่มน้ำแครอท
คอมพิวเตอร์เอกซเรย์ไม่พบสัญญาณใดๆ ของโรคมะเร็งในร่างกายของแอนอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่า แครอทนั้นมีปริมาณที่สูงของแอลกอฮอลไขมันและแคโรทีน แคโรทีนช่วยป้องกันการก่อตัวของเนื้องอก ดังนั้นการดื่มน้ำแครอทจึงมีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็งที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้ แอนได้ทำการตีพิมพ์หนังสือ วิธีการที่เธอเอาชนะโรคมะเร็งด้วยการดื่มน้ำแครอท โดยหนังสือเล่มนี้นั้นได้ออกวางจำหน่ายให้ซื้อกันได้แล้วทางอินเตอร์เน็ตในเวลานี้
** บทความนี้ได้แปลจากเว็บต่างประเทศ ซึ่งเป็นกรณีศึกษาหนึ่ง การรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ยังต้องได้รับการปรึกษา และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย
ที่มา : popcornfor2