หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

"จิตนิพพาน"

โพสท์โดย อายาเมะ

วันหนึ่งท่านว่ายทวนน้ำเล่าเกี่ยวกับนิพพานให้ฟัง โดยท่านเอื้อมมือไปหยิบหมอนมาหนึ่งใบ แล้วชี้ไปที่หมอนใบนั้น

ว่ายทวนน้ำ : นี่คืออะไร?

โยม : หมอนครับ

ว่ายทวนน้ำ : เอาล่ะ ทีนี้โยมลองมองดูสิ่ง ๆ นี้อีกครั้งแล้วไม่ต้องคิดว่ามันเป็นหมอน ไม่ต้องคิดว่ามันเป็นอะไรดูสิ คือให้เห็นเฉย ๆ แล้วไม่คิดน่ะ เสร็จแล้วลองตอบฉันมาว่ามันคืออะไร?

พวกโยมจึงจ้องดูมันอีกครั้งแล้วทำตามที่ท่านว่ายทวนน้ำบอก เสร็จแล้วจึงตอบไปว่า

โยม : ไม่รู้จะบอกว่ามันคืออะไรครับ ไม่มีคำพูดใด ๆ จะสื่อออกมาได้

ว่ายทวนน้ำ : ถ้าโยมไม่คิดหมอนจะไม่มี แต่ถ้าโยมคิดหมอนจะมี ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ในจักรวาลนี้ก็เป็นเช่นหมอนใบนี้ ถ้าโยมไม่คิด ทุกสิ่งจะไม่มี บุคคลผู้เข้าถึงภาวะแห่งความ "ไม่คิด" หรือ "หยุดคิด" ตรงนี้ได้นั่นแหละคือนิพพาน

โยม : ยังไม่ค่อยเข้าใจครับ

ว่ายทวนน้ำ : คือไอ้สิ่ง ๆ เนี๊ยะ (นิ้วชี้ที่หมอน) ถ้าโยมไม่คิดว่ามันเป็นอะไร มันคืออะไร เห็นมันเฉย ๆ แต่ไม่ต้องปรุงแต่งว่ามันคืออะไรขึ้นมา มันก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น หลวงปู่เทสก์จะเรียกสิ่ง ๆ นี้ว่า "ธาตุ" ท่านเคยมาบอกเทคนิคการเข้าถึงธรรมในนิมิตเมื่อปี 39 ว่า "ทุกสิ่งเป็นแค่ธาตุ เราดำริ (คิด) ขึ้นมาเอง"

โยม : ทุกสิ่งเป็นแค่ธาตุ เราดำริขึ้นมาเอง?

ว่ายทวนน้ำ : จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ธาตุ เพราะคำว่า "ธาตุ" ก็เกิดจากความคิดหรือความปรุงแต่งของเรา เพียงแต่เวลาเราใช้สื่อสารกันด้วยภาษาก็เลยเรียกมันว่า "ธาตุ" ซะก็แล้วกัน

จริง ๆ แล้วท่านพุทธทาสเรียกสิ่ง ๆ นี้ว่า "ตถตา" คือ ไอ้สิ่ง ๆ นี้มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง การไม่เป็นอะไร ไม่ใช่อะไร จึงเรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นตถตาหรือมันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง

สรุปว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นเพียงแค่ธาตุหรือเป็นเพียงตถตาเท่านั้น ทรัพย์สินเงินทอง พ่อ แม่ พี่ น้อง วงศาคณาญาติ ร่างกาย ทุกอย่างเป็นเพียงธาตุหรือตถตาทั้งหมด แต่การที่ธาตุต่าง ๆ มันกลายเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งขึ้นมาก็เพราะคุณไปคิดไปนิยามว่ามันคืออะไร เป็นอะไร ถ้าคุณคิดว่าสิ่ง ๆ นี้เป็นหมอน มันก็เป็นหมอนขึ้นมา ถ้าคุณไปคิดว่าคน ๆ นี้เป็นญาติของคุณ มันก็เป็นญาติของคุณขึ้นมา พอเข้าใจไหม?

โยม : เริ่มจะเข้าใจแล้วครับ แล้วยังไงต่อ?

ว่ายทวนน้ำ : ที่ฉันบอกให้คุณมองดูหมอนแล้วไม่คิดว่ามันเป็นหมอนเมื่อกี๊ นั่นแหละคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนพาหิยะว่าให้ "สักแต่ว่า" กรณีนี้คือ "เห็นแล้วสักแต่ว่าเห็น" คือเห็นแล้วไม่ปรุงว่ามันคืออะไร แค่เห็นเฉย ๆ ตรงนี้ครูบาอาจารย์จะใช้คำพูดต่างกันไปแต่ความหมายเดียวกัน หลวงพ่อคำเขียนจะพูดว่า "รู้ซื่อ ๆ" ดังนั้น คำสอนที่สอนว่ารู้ซื่อ ๆ เพียงแค่รู้ รู้อยู่เฉย ๆ ก็คือคำเดียวกับคำว่า "สักแต่ว่า" แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้คำใดมาใช้ในการสื่อสารด้วยภาษา

โยม : ผลของการ "สักแต่ว่า" คืออะไรครับ?

ว่ายทวนน้ำ : พระพุทธองค์บอกพาหิยะว่า "เมื่อใดเธอสักแต่ว่ากับทุกสิ่ง เมื่อนั้นเธอก็ไม่มี ไม่มีอยู่ในโลกนี้หรือโลกไหนทั้งสิ้น" นั่นแหละคือสภาวะนิพพาน มันไม่รู้จะใช้คำพูดยังไงมันคือโบ๋เบ๋ องค์เหลาจื๊อก็ค้นพบตัวนี้แต่ก็ไม่รู้จะเรียกมันเป็นคำพูดว่ายังไงเลยเรียกสิ่งที่ค้นพบว่า "เต๋า" ซะก็แล้วกัน ถ้าพระพุทธเจ้าก็เรียกว่า "นิพพาน" ถ้าพวกสายเซ็นก็เรียกว่า "จิตเดิมแท้" "ความว่าง" แต่สำหรับฉันมันคือความโบ๋เบ๋จากสิ่งทั้งปวง

ผลของการที่โยมโบ๋เบ๋จากสิ่งใดได้ โยมจะไม่ทุกข์ ไม่วุ่นวายกับสิ่งนั้น จิตจะดำรงความเป็นปกติไม่เกิดการกระเพื่อมหวั่นไหวไปกับสิ่งนั้น เช่น เมื่อโยมเจ็บป่วย หากโยมไปจับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น ไปปรุงว่าสิ่งที่เจ็บป่วยคือร่างกายของโยม โยมก็จะวิตกกังวล จิตจึงเสียความปกติ เมื่อจิตเสียความปกติวิมุติก็ถูกทำลาย แต่ถ้าโยมไม่ไปจับความเจ็บป่วย เจ็บก็รู้แต่เราไม่ปรุงว่าร่างกายนี้คือเรา ความเจ็บป่วยนั้นก็เป็นเพียงสภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นซึ่งไม่มีเราเข้าไปอยู่ในความเจ็บป่วยนั้น โยมจะไม่เป็นทุกข์ จิตใจไม่วุ่นวาย ทีนี้แม้ว่าจะเจ็บป่วยหนักแค่ไหน จะตายหรือไม่ก็ไม่มายด์แล้วเป็นเรื่องของวิบากกรรม ซึ่งไม่มีโยมเข้าไปเป็นผู้รับวิบากนั้น นี่คือ "การอยู่เหนือวิบากกรรม"

โยม : แล้วการที่ผมกราบไหว้พระพุทธรูป ร่วมสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาล่ะครับ?

ว่ายทวนน้ำ : โยมเคยกราบไหว้ก้อนหินที่ตกอยู่ตามพื้นไหม?

โยม : ไม่เคยครับ

ว่ายทวนน้ำ : ที่โยมไม่กราบไหว้ก้อนหินที่ตกอยู่ที่พื้นเพราะโยมไม่ไปให้ค่าหินก้อนนั้น ไม่ไปคิดว่าหินก้อนนั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือตัวแทนของใคร โยมเลยไม่บ้าไม่วุ่นวายกับมัน พระพุทธรูป รูปปั้น รูปเหมือน ก็คือการที่โยมเอาก้อนหินก้อนดินเหล่านั้นมาปั้นขึ้นมาให้ดูเป็นรูปคน แล้วใส่ความคิดของโยมลงไปในนั้นว่าคือพระพุทธรูป ว่าคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่าคือตัวแทนของพระพุทธเจ้า จริง ๆ คือมันไม่ใช่อะไรเลย แต่มันกลายเป็นพระพุทธรูปขึ้นมาเพราะความคิดของโยม การที่โยมกราบไหว้นั้นโยมไม่ได้ไหว้พระพุทธเจ้าหรอก โยมไหว้ความคิดไหว้ทิฐิตัวเอง พระพุทธเจ้าที่แท้จริงคือความว่างในตัวโยมเองนั่นแหละแต่โยมกลับไปกราบไหว้สิ่งอื่น ท่านพุทธทาสจึงบอกว่า "พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า" แปลว่า พระพุทธรูปบังนิพพานหรือความว่าง นี่แหละคือ "สมมติบังวิมุติ" ความคิดบังความความว่าง สมมติกับความคิดคือสิ่งเดียวกัน ถ้าไม่มีสมมติ (ไม่คิด) วิมุตติมันก็มีของมันอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่โยมมีสมมติ (มีความคิด) ขึ้นมา วิมุตติจะหายไป

การสร้างพระพุทธรูปจึงเป็นการทำให้คนเกิดความคิดต่อสิ่งที่สร้างขึ้นมา เมื่อคนเกิดความคิดต่อสิ่งเหล่านั้นจึงทำให้เกิดการกราบไหว้บูชาบนบานศาลกล่าวตามมา ยิ่งสร้างจึงยิ่งบดบังความว่าง เพราะยิ่งเป็นการทำให้คนเข้าสู่ความคิด ไม่ใช่เข้าสู่ความไม่ต้องคิดหรือหยุดคิด นี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาที่แท้จริงถูกบดบัง

โยม : แล้วยังไงต่อครับ?

ว่ายทวนน้ำ : โยมเคยได้ยินคำว่า "อัตตา" และ "อนัตตา" ใช่ไหม?

โยม : เคยครับ

ว่ายทวนน้ำ : ขอให้เข้าใจว่า ธาตุนั้นคือ "อัตตา" ส่วนความคิดที่เกิดขึ้นคือ "อนัตตา" ภาวะของนิพพานนั้นจะอยู่เหนืออัตตาและอนัตตา ไม่ใช่อัตตาและอนัตตา พอหยุดคิดในเรื่องใดในสิ่งใด มันก็ว่างก็โบ๋เบ๋จากสิ่งนั้นจากเรื่องนั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสถามพระสารีบุตรว่า "เธอมีวิหารธรรมใดเป็นเครื่องอยู่?" แล้วพระสารีบุตรตอบว่า "สุญญตาวิหาร" นี่แหละคือภาวะของสุญญตาวิหาร คือว่างจากสิ่งทั้งปวง เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสก็สักแต่ว่าลิ้มรส สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส รู้สึกนึกคิดก็สักแต่ว่ามันเกิดขึ้น นั่นแหละคือสุญญตาวิหาร ก็คือสักแต่ว่า เพียงแค่รู้ รู้อยู่เฉยๆ รู้ซื่อ ๆ รู้แต่ไม่สนใจ ผลของสุญญาตาวิหารคือไม่ทุกข์ ไม่กระวนกระวาย ไม่วุ่นวายกับมัน เป็นจิตที่ปกติ

จิตที่ปกตินั้น เมื่อสะสมกำลังความปกติอย่างต่อเนื่องมันจะก่อให้เกิดปัญญาขึ้นมาในจิตเรื่อย ๆ ธรรมะมันจะเกิดขึ้นในจิตเอง ธรรมที่เกิดในจิตนั้นแหละคือธรรมะที่แท้จริงที่โยมจะสัมผัสได้ว่าอ๋อ ธรรมะจริง ๆ เป็นแบบนี้ ส่วนที่โยมศึกษาธรรมะจากตำราหรือฟังจากครูบาอาจารย์พูดมันจะเป็นกลายเพียงแค่ความจำของโยมเท่านั้น แต่ธรรมที่แท้จริงจากตัวโยมยังไม่เกิดขึ้น โยมจะเพียงรู้จำ ไม่ใช่รู้ธรรม เพียงแค่อ่านมาเยอะ ฟังมาเยอะ จดจำสิ่งที่อ่านที่ฟังมาได้ อย่าเข้าใจว่าตัวเองรู้ธรรม มันยังไม่มีธรรมอะไรเกิดขึ้นในจิตโยมเลย เพราะจิตโยมผิดปกติทั้งวัน ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส รู้สึกนึกคิดอะไรก็ไปจับไปเสพมันตลอดทั้งวัน

การมองโลกของพระอริยะกับปุถุชนนั้นจะต่างกัน คือ "พระอริยะจะเห็นทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความคิด แต่ปุถุชนจะเห็นทุกอย่างเป็นของจริง" เช่น ถ้าแม่ตาย ปุถุชนจะมองเห็นว่าแม่ตายจริง ๆ แต่พระอริยะจะมองเห็นว่าแม่ตายเป็นแค่ความคิด ไม่ใช่ของจริง

(ผู้อ่านบทความนี้ลองหยิบหมอนหรือหยิบอย่างอื่นมาทำตามเนื้อเรื่องที่เขียนไปด้วยและลองอ่านหลาย ๆ รอบจะเข้าใจมากขึ้น)

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
อายาเมะ's profile


โพสท์โดย: อายาเมะ
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
12 VOTES (4/5 จาก 3 คน)
VOTED: njack, Endymion
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
จำได้ไหม? "พุฒ เดชอุดม" จากยูทูบเบอร์เสียงเพี้ยน สู่สาวสวยสุดlซ็กซี่ปิดตำนานไร่ชื่อดังที่วังน้ำเขียว ลานกางเต็นท์ยอดนิยมได้ประกาศหยุดดำเนินการแล้วเพจดังแฉหัวหน้าแก๊งค์ “น้ำไม่อาบ” ไม่ทน ออกแถลงการณ์ลั่นปิดท้าย “ผมด่ากลับ แล้วรับให้ได้
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เปิดวาร์ป "นางฟ้าลอตเตอรี่"! สวยจนโซเชียลสงสัย อาชีพจริงหรือแค่คอนเทนต์?Kawaguchi Ayaka นักแสดง A.V วัย 25 ปี จะ "แต่งงาน" ในเดือนธันวาคมนี้ที่ฮ่องกง
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
เปิดตำนาน "ยุทธหัตถี" วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเปิดตำนาน "กวนอู" เทพเจ้าแห่งสงคราม ผู้ซื่อสัตย์และเกรียงไกรใครคือยอดนักรบที่เก่งที่สุดในสามก๊ก?โรงแรมร้อยศพ: เรื่องหลอนที่ไม่ควรพลาด
ตั้งกระทู้ใหม่