เส้นทางการลดน้ำหนักขจัดไขมันทิ้งไปเกือบ 200 ปอนด์ในวัย 42 ปี
Photo Courtesy of Living Life Weight Loss Story
ความสุขเรียบง่ายของคนทั่วไปอย่างเช่น การขับรถ การนั่งในภัตตาคาร หรือแม้แต่การไปเดินเล่นนั้นเป็นสิ่งที่ เคลลี่ สมิธ คุณแม่ลูกหนึ่งไม่สามารถทำได้ หลายปีแล้วที่เคลลี่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมาคอยควบคุมชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งเธอรู้สึกเบื่อหน่ายและทนไม่ไหวจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาปฏิบัติการลดน้ำหนัก
เคลลี่ซึ่งตัดสินใจลดน้ำหนักในวัย 42 ปี โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งเล็กๆน้อยๆ เธอต้องการดูแลตัวเองและมีความสุขกับชีวิต ที่สำคัญนี่อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เธอสามารถย้อนกลับเวลากลับไปได้ “การลดน้ำหนักแม้แต่ในช่วงอายุ 40 ปีรวมถึงการมีน้ำหนักเกินอย่างรุนแรงหรือโรคอ้วนสามารถแก้ไขได้โดยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะวิธีใดขอแค่ลงมือทำ!
Photo Courtesy of Living Life Weight Loss Story
แผนการ
ง่ายพอๆกับแรงบันดาลใจ เคลลี่เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและออกกำลังกาย เช่น การรับประทานอาหารสดใหม่และเนื้อไร้มันในปริมาณที่เหมาะสม รวมทั้งการออกกำลังกายที่ทำให้เธอรู้สึกสนุก
การเปลี่ยนแปลง
จากน้ำหนัก 355 ปอนด์เหลือ 161 ปอนด์ตั้งแต่ปี 2012-ปัจจุบัน เคลลี่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว การออกกำลังกายของเธอคือการเดินหรือวิ่งจ็อกกิ้งวันละ 5 ไมล์ นอกจากนี้เธอยังเริ่มไปออกกำลังกายที่โรงยิมเมื่อต้นปีที่ผ่านมาด้วย เคลลี่กล่าวว่า “ทุกวันนี้ฉันนั่งเครื่องบินโดยไม่ต้องคาดเข็มขัดที่ขยายใหญ่เป็นพิเศษ หรือไม่ต้องกลัวว่าจะถูกห้ามไม่ให้ขึ้นเครื่องเพราะน้ำหนักเกินอีกต่อไป ที่สำคัญฉันสามารถก้มลงหยิบของหรือผูกเชือกรองเท้าได้แล้วด้วย รวมถึงการนั่งรถไฟตีลังกา ขี่ม้า พายเรือแคนู และปีนเขา ซึ่งฉันสามารถทำให้ทั้งหมดกลายเป็นจริงได้แล้ว”
“เรื่องที่น่าอายคือฉันอาศัยอยู่ที่อีสต์เทนเนสซี่มานานกว่า 20 ปีแต่ไม่เคยมองเห็นความสวยงามของเทือกเขาเกรตสโมกกี้เลยจนกระทั่งวันที่ฉันเริ่มลดน้ำหนัก”
ความดันโลหิตของเคลลี่ลดจาก 175/95 เหลือ 108/60 ขณะที่ดัชนีมวลกายหรือ BMI ซึ่งเมื่อครั้งที่ยังเป็นโรคอ้วนอยู่ที่ 57 แต่ปัจจุบันต่ำกว่า 25 แล้ว รอบเอวของเธอลดลงปีละ 10 นิ้วและยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป เคลลี่กล่าวว่า “ปัจจุบันฉันสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องเอาแต่หลบอยู่ในเงามืดแล้วค่ะ”
“ฉันจำได้ตอนที่เห็นรูปก่อน-หลังการลดน้ำหนักของคนอื่นและคิดว่า ‘ถ้าเขาทำได้ ฉันก็ต้องทำได้สิ’ และนั่นเองคือใบเบิกทางให้ฉันกลายเป็นคนใหม่ หวังว่าฉันจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้เช่นกัน เพราะฉันเชื่อว่า ถ้าฉันทำได้..ใครๆก็ต้องทำได้!”
Blogger : Amanda Palmer
Source : skinnymom.com