ทำไปได้! 6 วิธีการหาเงิน สุดสยองที่สุดในประวัติศาสตร์!! ดูแล้วรู้สึกอายแทน
ทำไปได้! 6 วิธีการหาเงิน สุดสยองที่สุดในวงการประวัติศาสตร์!!
ด้วยเศรษฐกิจในปัจจุบัน คนอาจจะเห็นได้ว่ามีองค์กรณ์และมิจฉาชีพที่หาเงินโดยวิธีการที่ไม่ชอบธรรมนัก แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในอดีตกาลมีวิธีการหาเงินที่หัวหมอด้วยวิธีการที่คนธรรมดาไม่กล้าทำกัน และเชื่อว่าต่อให้คุณจะมีหนี้สิ้นท่วมหัวซักเท่าไหร่ คุณก็ไม่กล้าที่จะเลียนแบบพวกเขาอย่างแน่นอน
เบลล์ กันเนส กับการฆาตรกรรมเพื่อเอาเงินประกัน
เบลล์ กันเนส คือผู้หญิงที่คิดหาเงินด้วยวิธีการสุดต่ำช้าที่อาจเห็นได้ว่าปัจจุบันนั้นก็มีเรื่องราวแบบนี้ นั่นคือ การฆ่าเอาเงินประกันตัว
เธออพยพย้ายมาจากประเทศนอร์เวย์มายังสหรัฐฯในปี 1881 และแต่งงานกับสามีก่อนที่จะซื้อบ้านหวังที่จะครองชีวิตคู่อย่างสงบสุข แต่ทว่าโชคร้ายที่บ้านเธอไฟไหม้ทั้งๆที่อยู่มาได้เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น แต่ยังดีที่เธอได้เงินประกันบ้านและเธอได้นำเงินนั้นมาซื้อบ้านอีกหลังหนึ่ง ในปี 1898 แต่ใครจะเชื่อล่ะว่าบ้านของเธอเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้อีกครั้งและเธอก็ใช้เงินประกันบ้านนั้นซื้อบ้านอีกหลังในปี 1900 ต่อมา ซึ่งเรื่องร้ายคงยังไม่จบ บ้านหลังนี้ก็เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้อีกครั้งและในครั้งนี้สามีเธอก็ติดอยู่ในกองเพลิงและเสียชีวิตลง
แน่นอนว่าในครั้งนี้เธอได้เงินประกันที่มากกว่าทุกครั้ง เธอนำเงินน้ำซื้อฟาร์มใน La Porte,Indiana พร้อมกับแต่งงานกับสามีคนใหม่ และที่น่าแปลกคือสามีคนที่สองของเธอก็เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุที่น่าสงสัยคือเครื่องบดไส้หล่นใส่หัวของเขา ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงได้เงินประกันอย่างต่อเนื่อง
เธอประกาศหาสามีจากในหนังสือพิมพ์และเธอก็ได้แต่งงานใหม่อีกหลายต่อหลายครั้ง แต่จุดจบของผู้ชายเหล่านั้นก็จบเหมือนกับสามีคนแรกๆของเธอ พวกเขาเสียชีวิตลงและหายตัวไปอย่างลึกลับ
จนในปี 1908 หลายคนเริ่มสงสัยกับพฤติกรรมแปลกๆนี้และทำการบุกค้นไร่และบ้านของเธอ จนในที่สุดก็พบศพคนมากมายกว่า 12 ร่างที่ถูกฆ่าเสียชีวิตในสภาพที่ไร้หัวรวมถึง ศพของสามีคนใหม่และลูกๆของเธออีกด้วย ซึ่งเธอได้ชิงฆ่าตัวตายพร้อมกับบ้านของเธอก่อนที่ทุกคนจะกระจ่างในความจริงที่ว่า เธอนั้นได้ฆ่าคนเพื่อหารายได้จากเงินประกันของพวกเขา โดยเงินประกันเสียชีวิตที่ได้จากสามีของเธอแต่ละคนนั้นตกอยู่ที่ $30,000 และสำหรับประกันบ้านที่ถูกไฟไหม้ตกหลังละ $250,000 เลยทีเดียว
แฮร์ และ เบิร์คกับวิธีการหาเงินด้วยการดักฆ่าคนและนำศพไปขายให้กับนักศึกษาแพทย์
ในช่วงศตวรรษที่ 19 อังกฤษอยู่ในช่วงพัฒนาด้านกาารผ่าตัดเพื่อรักษาและแน่นอน จำเป็นต้องใช้ศพเพื่อศึกษารายละเอียดของร่ายการมนุษย์ด้วยวิธีการชำแหละ แต่ศพที่จะใช้มาศึกษาได้นั้นอนุญาตให้แค่ศพผู้ตายที่เสียชีวิตลงในคดีอาชญากรรมเท่านั้น ทำให้ใครหลายคนหาผลประโยชน์จากการขุดศพจากหลุมมาหลอกขายนักศึกษาแพทย์ซึ้งได้เงินประมาณ 7 ปอนด์ ต่อน้ำหนักตัว
แต่สำหรับแฮร์และเบิร์ค เขาเลือกวิธีที่แตกต่างและง่ายกว่าการขุดศพ เขาเลือกที่จะฆาตรกรรมผู้คนด้วยการดักฆ่าและสวมรอยว่าศพเหล่านั้นเป็นศพที่ขุดขึ้นมาจากหลุม ซึ่งเขาได้กระทำอยู่แบบนี้อย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานานกว่า 18 เดือน ซึ่งเขาได้ทำศพไปมากกว่า 16 ศพ และบางแหล่งข่าวบอกว่าพวกเขาทำศพได้มากถึง 30 ศพด้วยกัน
ซึ่งการกระทำนี้ต้องจบลงด้วยการหักหลังจากแฮร์ เขาร่วมมือกับตำรวจเพื่อต้องการไถ่โทษความผิดและส่งผลให้เบิร์คต้องโทษประหารชีวิต เขาถูกแควนคอด้วยเชือกที่มีความยาวที่สั้น เบิร์คตายลงอย่างช้าๆด้วยความทรมาน และศพของเขาเองก็ถูกนำส่งไปให้ยังเหล่านักศึกษาแพทย์เหมือนกับศพอื่นๆที่เขาเคยทำ
ว่ากันว่าสองคนนี้ทำรายได้ตกศพละ 10 ปอนด์เลยทีเดียว ซึ่งการคาดคะเนศพสูงสุดที่แฮร์และเบิร์คได้ทำการฆาตรกรรมนั้นตกอยู่ที่ 30 ศพ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยและก็ได้รับรายได้ที่ถือว่าเยอะมากในสมัยก่อน
มาร์คัส ลิซินิอัส แครซซัสกับผลประโยชน์กับอาชีพพนักงานดับเพลิง
มาร์คัสเป็นนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่งในสมัยยุคโรมันและเขาเป็นคนแรกที่ผุดไอเดียสร้างหน่วยนักดับเพลิงหน่วยแรกของโลก
หน่วยดับเพลิงของเขานั้นประกอบด้วยกองทหารของเขาส่วนหนึ่งและทาสจำนวนกว่า 500 คนที่เขาหาซื้อมาเพื่อรวมกันเป็นหน่วยนักดับเพลิงหน่วยแรกของเขา และแน่นอน สมัยก่อนกรุงโรม เมืองหลวงของอิตาลีก็มีเหตุการณ์ไฟไหม้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และนั่นเองทำให้ผู้คนเห็นด้วยกับความคิดของเขา
แต่แครซซัสกับหัวหมอ เขาไม่ได้ให้หน่วยดับเพลิงของเขาทำงานด้วยความจริงใจ ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงินทอง เขาจะไม่อนุญาตให้หน่วยดับเพลิงทำหน้าที่ใดๆทั้งสิ้นถ้าไม่มีค่าจ้างเกิดขึ้น ซึ่งค่าจ้างจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆ ในราคาตั้งแต่ 10 Talents จนถึง 72 Talents เลยทีเดียว
ประชาชนไม่สามรถเลี่ยงที่จะไม่จ้างเหล่านักดับเพลิงพวกนี้ได้ และด้วยค่าจ้างที่แพงหูฉีกในสมัยนั้น ทำให้หลายต่อหลายคนต้องเป็นลูกหนี้เขา ด้วยความงกและความเห็นแก่ตัวของแครซซัสทำให้ประชาชนเกิดการรวมตัวกันขึ้นเพื่อดักทำร้ายเขา เขาถูกจับตัวมัดและทรมานด้วยการกรอกปากด้วยทองคำหลอม เขาค่อยๆต่ายอย่างช้าๆด้วยความทรมาน
ยอดเงินสะสมที่เขาได้จากการขูดรีดประชาชนนั้น เป็นจำนวนเงินดอลลาร์มากกว่า 200 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบันเลยทีเดียว
ยอมพิการเพื่อแลกกับเงินค่าประกัน
ตำรวจที่ Townsfolk ต้องหัวร้อนกันถ้วนหน้า เนื่องจากประชาชนต่างพร้อมใจกันเสียอวัยวะต่างๆไม่ว่าจะเป็นแขนหรือขาของพวกเขาเพื่อเรียกร้องเงินประกันที่มีการตกลงกันไว้ในกฎหมาย โดยมีจำนวนประชาชนมากกว่า 50 คนที่เรียกร้องความเป็นธรรมนี้จากจำนวนประชากรทั้งหมด 780 คนในพื้นที่
L.W Burdershaw ตัวแทนของบริษัททำประกันเผยว่า ในช่วงปี 1982 นั้น มีลูกค้าหลายต่อหลายคนยอมเสียอวัยวะของพวกเขาด้วยการอ้างว่าเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน บางคนลุงทุนถึงขั้นยอมเสียมือทั้งสองขา หรือแม้แต่การตัดแขนตัดขาของตัวเองออกพร้อมกับบอกเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น
ซึ่งทางบริษัทประกันเองก็ไม่สามารถเลี่ยงใดๆได้ทั้งสิ้น บริษัทประกันมากกว่า 38 บริษัทต้องยอมจ่ายค่าประกันให้กับลูกค้าจอมหลอกลวงของพวกเขา ในบางทีเหล่าบริษัทประกันอาจเห็นว่าพวกเขาลงทุนถึงขนาดยอมเสียอวัยวะตัวเองเพื่อแลกกับเงินชนาดนี้เลยทำใจยอมรับและจ่ายให้กับพวกเขาไป
หมอวิปริตเอชเอชโฮล์ม
เอช จบจากมหาวิทยาลัยของมิชิแกนในปี 1884 เขาเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็ค เขาน่ารัก หล่อและอัธยาศัยดีอีกด้วย เขาย้ายมาอาศัยอยู่ที่เมืองชิคาโก ทำงานเภสัชฯ ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี แต่กลับไม่เป็แบบนั้น
ปี 1888 หมอโฮล์มได้ฆาเจ้านายของเขาพร้อมกับยึดร้านเพื่อเป็นใบเบิกทางในการหาเงินและกว้านซื้อพื้นที่รอบๆบริเวณหวังที่จะทำโรงแรมขนาดใหญ่ โรงแรมมี่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เข้าไปอาจจะไม่มีโอกาสออกมาได้อีก
ความฝันของเขาเป็นจริง เขาได้เปิดโรงแรมสุดหรูพร้อมกับต้อนรับแขกของเขาด้วยตัวของเขาเอง แต่การต้อนรับของเขานั้นจะแตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง ใช่ เขาฆ่าเหล่าลูกค้าที่เข้ามาพักอาศัยด้วยวิธีสุดแปลกและทรมานให้เหล่าลูกค้าตายลงอย่างช้าๆ โรมแรงของเราประกอบไปด้วยส่วนลับต่างๆไม่ว่าจะเป็นหอลับ ประตูลับ กำแพงลับ ห้องปฎิบัติการวิทยาศาสตร์ลับ ห้องทรมานและห้องใต้ดินส่วนตัวของเขาที่มีเครื่องยึดร่างมนุษย์อยู่อีกด้วย
ผู้คนจำนวนมากต้องมาจบชีวิตลงที่นี้ โดยที่หมอโฮล์มนำกระดูกของพวกเขาไปขายพร้อมกับนำข้าวของเครื่องใช้ของคนเหล่านั้นมาใช้ซะเอง แต่หลังจากปี 1893 โรงแรมก็ขาดแคลนลูกค้าแขกผู้มาเข้าพัก หมอโฮล์มตัดสินใจร่วมมือกับผู้ชายเพื่อลักฆ่าผู้ช่วยคนนึงของเขาเพื่อหวังจะเรียกเงินค่าประกัน และฆ่าเหล่าลูกๆของผู้ชายคนนั้นถึง 3 คน แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็ถูกจับและได้รับโทษประหารชีวิต
ในส่วนของรายได้ของหมอวิปริตคนนี้ไม่มีการถูกเปิดเผยใดๆ แต่คาดว่าเขาทำเงินได้เป็นจำนวนมหาศาล สิ่งเดียวที่เรารู้อย่างแน่ชัดคือเขาได้ค่าประกันจากการฆ่าผู้ชายของเขา $10,000
ด็อกเตอร์มาร์เซล ปดิท หมอโรคจิต
ในช่วงปี 1942 ช่วงเวลาแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 หมอมาร์เชลได้ย้ายเข้าสู่เมืองหลวงของฝรั่งเศส เขาตั้งใจที่มาเพื่อรักษาและช่วยเหลือเหล่าชาวฝรั่งเศสด้วยความจริงใจ
แต่ใครจะเชื่อหล่ะว่าการช่วยเหลือของเขานั้นแตกต่างออกไป เขาค้าขายยาบ้ารวมถึงทำแท้งเถื่อนอีกด้วย ซึ่งในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น มีผู้คนจำนวนมากมาใช้บริการของเขา
ด้วยความโลภของเขาที่ทำให้เกิดความคิดสกปรก เขาเห็นโอกาสที่สามารถทำให้เขาทำเงินได้เพิ่ม เนื่องจากชาวยิวจำเป็นที่จะต้องหนีนาซี แต่พวกเขาไม่สามารถหนีไปไหนได้พ้นเพราะในเวลานั้นมีแต่ชาวนาซีครอบครองทั้งประเทศ มาร์เชลเลยเสนอตัวที่จะช่วยเหลือชาวยิวด้วยการอาสาพาพวกเขาหนีไปต่างประเทศ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องจ่ายค่าเหนื่อยให้เขาเป็นจำนวน 25,000เหรียญฝรั่งเศสต่อคนเลยทีเดียว
ลูกค้าชาวยิวจำนวนมากไม่มีทางเลือก พวกเขาต่างกลัวตายและยอมจ่ายให้โดยไร้ความสงสัยใดๆ หมอมาร์เซลยังหลอกให้พวกเขาทิ้งสิ่งของมีค่าติดตัวไว้ที่บ้านของเขาก่อนที่เขาจะหลอกคนเหล่านั้นให้เชื่อใจต่อว่าเขาสามารถพาพวกเขาออกจากประเทศนี้ได้
นั่นยังไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวสุดหลอกลวงนี้ เหล่าลูกค้าชาวยิวไม่ได้ถูกให้การช่วยเหลือด้วยการพาหนีข้ามประเทศแต่อย่างไร แต่พวกเขาต้องจบชีวิตลงที่นี่ด้วยการที่คุณหมอมาร์เซลหลอกให้เขาทำการฉีดยารักษาตัวก่อน แต่แท้จริงแล้วพวกเขากำลังจะโดนคุณหมอโรคจิตคนนี้ฆ่าจนเสียชีวิตอยู่อย่างไม่รู้ตัว
จนในที่สุดหลังจากพวกนาซีโดนขับไล่ออกจากประเทศฝรั่งเศสในปี 1944 ตำรวจได้บุกค้นบ้านของหมอมาร์เซลและพบกับซากขี้เถ้าเผาไหม้ที่ยังไม่มีการผสมน้ำใดๆ โดยในซากนั้นประกอบไปด้วยชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์ที่โดนหั่นอย่างละเอียดพร้อมกับศพต่างๆที่สภาพแย่จนไม่สามารถนึกถึงร่างของพวกเขาได้ อีกทั้งในห้องใต้ดินขนาดใหญ่ยังพบกับที่ซ่อนศพพร้อมกับเตาสำหรับทำลายซากศพไม่มีหัวและอวัยวะของศพอีกด้วย หลังจากนั้นหมอมาร์เซลถูกสั่งประหาดชีวิตด้วยการตัดหัว
หมอโรคจิตคนนี้โกยเงินนับไม่ถ้วนจากค่าหลอกลวงชาวยิว ยังมีของมีค่าติดตัวของชาวยิวที่ถูกทิ้งไว้ให้กอบโกย ซึ่งตีเป็นเงินแล้วตกมากกว่า 200 ล้านเหรียญฝรั่งเศส