ลิซซี่ เวลาเกวซ เธอคือนักพูดผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างแรงบันดาลใจ
หากใครที่กำลังท้อแท้หรือสิ้นหวัง เราขอให้คุณลองอ่านเรื่องราวจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในโลก ลิซซี่ เวลาเกวซ แล้วคุณจะพบว่าชีวิตของคุณนั้นโชคดีมากมายเหลือเกิน ฉะนั้นไม่มีเวลาให้คุณคร่ำครวญอีกต่อไป คุณต้องมุ่งไปข้างหน้า สร้างกำลังใจให้กับตัวเอง รวมถึงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ค่ะ ไม่มีใครโชคร้ายตลอดไป และเราสามารถมีความสุขได้ด้วยการปรับทัศนคติของเราซะใหม่ แล้วยิ้มสู้ไปกับมัน^^
มาทำความรู้จักกับลิซซี่ได้ในวีดีโอนี้
คุณลองจินตนาการดูสิว่า หากมีใครมอบตำแหน่งบุคคลผู้ซึ่งอัปลักษณ์ที่สุดในโลกให้แก่คุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร และเชื่อว่าหลายคนอาจจะจมอยู่ในความทุกข์ ไม่ต้องการออกไปเจอหน้าใคร แต่มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งซึ่งนำเอาคำว่า “อัปลักษณ์” ผลักดันตัวเองจนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
อลิซาเบ็ธ แอน ลิซซี่ เวลาเกวซ เกิดเมื่อ 13 มีนาคม ปี 1989 เป็นหญิงสาวชาวอเมริกันผู้มีรูปร่างที่ปราศจากไขมันในร่างกายอย่างสิ้นเชิง ลิซซี่เป็นลูกสาวของ ริต้า กับ กัวดาลูป เวลาเกวซ และมีพี่น้อง 3 คนโดยเธอเป็นพี่คนโต เนื่องจากเกิดก่อนกำหนดเป็นเวลา 4 สัปดาห์ทำให้ลิซซี่มีน้ำหนักแรกเกิดเพียง 1,219 กรัม และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เธอเป็นโรคประหลาดที่หายากมากที่มีเพียงเธอกับอีก 2 คนในโลกที่ป่วยเป็นโรคนี้
ร่างกายของลิซซี่ไม่มีไขมันแม้แต่นิดเดียวและเธอก็ไม่เคยหนักเกิน 29 กิโลกรัม ที่สำคัญแม้ลิซซี่จะไม่ได้เป็นโรคอะนอเร็กเซียแต่เธอก็ไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักตัวได้มากกว่านี้อีกแล้ว แถมยังต้องรับประทานอาหารมื้อเล็กๆและของว่างตลอดทั้งวันเพื่อให้มีพลังงานอย่างเพียงพอ ความโหดร้ายยังไม่หมดเพียงแค่นั้นเมื่อพบว่าตาข้างขวาของลิซซี่ก็บอด โดยเธอเริ่มมองเห็นไม่ชัดตั้งแต่เธออายุเพียง 4 ขวบ นอกจากนี้ระบบภูมิคุ้มกันของเธอก็อ่อนแอมาก อาการของเธอคล้ายคลึงกับอาการของโรคอื่นๆหลายโรค โดยเฉพาะโรคชราในเด็ก
เธอต้องรับประทานอาหารมื้อเล็กๆและของว่างตลอดทั้งวันเพื่อให้มีพลังงานอย่างเพียงพอ
นักวิจัยคณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส เซาท์เวสเทิร์น ให้ความเห็นว่านี่อาจเป็นอาการของโรคไร้ไขมัน แต่อย่างน้อยเธอก็มีกระดูก, อวัยวะต่างๆรวมถึงฟันที่แข็งแรง ด้วยอาการของโรคนี้ทำให้เธอมีปลายจมูกแหลมและผิวหนังที่เหี่ยวย่นคล้ายคนชรา แต่ปัญหาที่เธอประสบอยู่ไม่ใช่แค่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น เธอยังถูกรังแกจากผู้คนรอบข้างอีกด้วย
ลิซซี่เริ่มกลายเป็นที่รู้จักหลังจากที่คำปราศรัยสั้นๆของเธอถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะในประเด็นเรื่องของการถูกรังแก และมีผู้ชมบน YouTube มากถึง 5.7 ล้านคนเลยทีเดียว ลิซซี่กล่าวว่า
“ฉันรู้ดีว่าการถูกรังแกนั้นมันเป็นอย่างไร รวมถึงการถูกย่ำยีในโลกออนไลน์ด้วย
และฉันอยากปกป้องผู้ที่เอาแต่คิดว่ามันไม่มีทางดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
โลกของลิซซี่เปลี่ยนไปเมื่อเธอเห็นตัวเองในวิดีโอบน YouTube “แทนที่จะจมอยู่ในกองน้ำตา ฉันขอเลือกที่จะมีความสุขและมองว่าโรคนี้ไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นคำอวยพรให้ฉันสามารถพัฒนาตัวเองรวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น”
ลิซซี่มีความตั้งใจที่จะถ่ายทอดคำพูดของเธอออกสู่สาธารณชนทั่วโลกโดยการสร้างภาพยนตร์ชื่อ “The Lizzie Project” ซึ่งระดมทุนผ่านเว็บไซต์ชื่อดัง Kickstarter ซาร่า บอร์โด ผู้อำนวยการสร้างและทำงานร่วมกับลิซซี่กล่าวว่า
“เราทุกคนล้วนมีปัญหาในชีวิต แต่ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งที่ลิซซี่เผชิญมา
ทัศนคติในแง่บวกของเธอช่วยเพิ่มกำลังใจให้กับทุกคนบนโลก”
ลิซซี่ยกความดีความชอบเรื่องความแข็งแกร่งของเธอให้กับพ่อแม่ผู้ซึ่งแสดงความรักต่อลูกๆทั้ง 3 คนได้อย่างเท่าเทียมกัน “ท่านทั้ง 2 เป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุดในโลกค่ะ ทั้งให้ความรักและเลี้ยงดูฉันเท่ากับน้องทั้ง 2 คน ถ้าไม่มีพวกท่าน ฉันก็คงมาไม่ถึงจุดนี้” พ่อของลิซซี่เล่าว่าเธอรู้ตั้งแต่วันแรกที่ไปโรงเรียนว่าเธอแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ และเธอก็ถูกรังเกียจโดยที่ไม่มีใครเล่นด้วย แต่ลิซซี่ก็แสดงความเป็นผู้ใหญ่นับตั้งแต่นั้นมา เมื่อโตขึ้นลิซซี่ก็เลิกสนใจที่จะตามหาวิธีรักษาเนื่องจากโรคนี้คือส่วนหนึ่งของเธอไปแล้ว
“ถ้ามาถามฉันตอนอายุ 13 ฉันก็คงตอบว่า “เอาสิฉันจะลองรักษาดู”
แต่มาถึงตอนนี้ฉันยอมรับได้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร
ถ้าฉันเปลี่ยนแปลงอะไรไป มันก็คงไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ลิซซี่คนนี้ค่ะ”
ผลงานการเขียนเล่มแรกของลิซซี่คือหนังสืออัตชีวประวัติ ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษและภาษาสเปน ออกวางจำหน่ายในปี 2010 ส่วนผลงานเล่มที่ 2 คือ Be Beautiful และ Be You ปี 2012 ซึ่งใจความสำคัญของหนังสือคือ คนเราไม่ควรตัดสินกันที่รูปลักษณ์ภายนอกแต่ควรมองไปถึงตัวตนที่แท้จริง และล่าสุดกำลังจะมีภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของลิซซี่อีกด้วย อย่างไรก็ตามด้วยรูปลักษณ์ของลิซซี่ที่หลายคนมองว่าช่างอัปลักษณ์เหลือเกิน แต่มันกลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เธอกลายเป็นนักเขียนและนักพูดที่สร้างกำลังใจให้กับผู้คนมาแล้วทั่วโลก
Credit: From Internet