ฮาเร็มในเรือนไทย 2
ต่อจากกระทู้ที่แล้ว
https://board.postjung.com/912378.html
ยังมีเมียอีกแบบหนึ่ง ที่กฎหมายลักษณะผัวเมียไม่ยักระบุประเภทเอาไว้ นั่นคือผู้หญิงที่ถูกฉุดมาโดยไม่เต็มใจ เข้าทำนองรักน้องต้องปล้ำนั่นเอง เมื่อกฎหมายไม่กำหนดประเภท คนไทยเราจึงมักจะเหมารวมหญิงโชคร้ายเหล่านี้เป็นเมียน้อย เพราะเมื่อถูกฉุดมาก็แน่นอนว่าย่อมไม่มีการสู่ขอให้ผู้ใหญ่รับรู้ตามประเพณี ยกเว้นแต่ฝ่ายชายจะยังไม่ได้แต่งงาน ก็อาจยกผู้หญิงที่ถูกุดให้เป็นเมียหลวงในภายหลัง
กรณีฉุดผู้หญิงไปเป็นเมียนี้ พ่อแม่ของฝ่ายหญิงสามารถไปร้องเรียนให้จับผู้ชายมาลงโทษตามกบิลเมืองได้ เพียงแต่ถ้าคนฉุดเป็นเจ้าหนุ่มลูกเศรษฐีมีทรัพย์ หรือเป็นลูกท่านหลานเธอ ครอบครัวผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะปล่อยเลยตามเลย เพราะจนปัญญาจะไปเอาเรื่องคนที่มีอำนาจ แต่ในกรณีที่ผู้ชายนั้นเป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นใจชาวบ้าน ว่าคงจะไม่กล้ามาร้องทุกข์ หรือถึงร้อง ตุลาการก็อาจจะไม่เอาเรื่อง จึงทรงบัญญัติบทลงโทษไว้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อไม่ให้พวกพระเจ้าลูกเธอไปเบียดเบียนอาณาประชาราษฎร ใจความว่า
"ถ้าเจ้านายทำผิดกฎหมายใดๆ เช่น เสพสุราจนเหลือเกิน แล้วเสด็จออกไปนอกวัง เที่ยวทุบตีรังแกราษฎร หรือเสด็จไปเที่ยวแย่งชิงทรัพย์สิ่งของราษฎร หรือสูบฝิ่นสูบกัญชา ก็ให้เจ้ากรม ปลัดกรม สมุหบัญชี พี่เลี้ยงจางวางในเจ้าตั้งกรมแล้ว และเจ้ายังไม่ตั้งกรมในพระบรมมหาราชวัง นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ถ้ามิได้กราบบังคมทูลด้วยเกรงเจ้ามากกว่าราชการ จนมีผู้อื่นมากล่าวความชั่วความผิดของเจ้า ทราบถึงพระเนตรพระกรรณก่อน จะลงพระราชอาญาเจ้ากรม ปลัดกรม สมุหบัญชี พี่เลี้ยงจางวางตามโทษมากและน้อย แล้วจะปรับไหมหักเบี้ยหวัดด้วย"
แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าอยู่หัวของไทยนั้นทรงมีพระกรุณาต่อราษฎรอยู่เสมอ แม้แต่ลูกหลานของท่านเองทำผิด ก็ยังทรงตั้งเป็นกฎว่าพี่เลี้ยง และคนใกล้ชิดของพระเจ้าลูกยานั้นจะต้องนำความผิดมากราบทูลให้ทรงลงพระอาญา ถ้าไม่ทูลหรือช่วยปกปิด แล้วมีผู้อื่นมาฟ้อง จะมีโทษหนักทั้งนายทั้งบ่าว ที่ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ความยุติธรรมกับอาณาประชาราษฎร์ และอบรมนิสัยเหล่าพระเจ้าลูกยาให้เป็นคนดี เพื่อให้เป็นที่พึ่งของพสกนิกรต่อไป
แต่ถ้าจะมองกันจริงๆ พวกผู้หญิงที่ถูกเจ้าฉุดไปนั้น จะว่าเป็นความโชคดีในโชคร้ายก็ว่าได้ เพราะเจ้านายทั้งหลายท่านทรงมีเงินทองมากพอที่จะเลี้ยงดูเมียๆ ให้สุขสบาย ผู้หญิงที่ถูกฉุดไปเป็นหม่อมห้ามจึงได้อยู่ดีกินดี สุขสบายกว่าสมัยอยู่กับพ่อแม่เสียอีก ตัวอย่างเช่นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเรื่องเล่าว่าลูกสาววัยรุ่นของเจ้าเมืองปทุมฯ ก็ถูกเจ้านายองค์หนึ่งฉุดไปขณะกำลังอาบน้ำที่ท่าน้ำ ต่อมาสาวน้อยนางนั้นก็กลายเป็นหม่อมห้ามมีโอรสธิดากับพระสวามีหลายองค์ และพระสวามีก็เลี้ยงดูอย่างดี ไม่เคยให้ต้องลำบากเลย พ่อแม่บางคนกลับถือเป็นบุญวาสนาที่ลูกสาวมีคนใหญ่คนโตมารักชอบถึงกับชวนวิวาห์เหาะเพราะจะอย่างไรลูกสาวก็ได้ดิบได้ดี มีหน้ามีตากว่าเป็นเมียผู้ชายจนๆ มากนัก
สำหรับสาวๆ ที่ถูกชายชาวบ้านฉุดคร่าไปนั้น กฎหมายบัญญัติว่าหลังจากได้เสียเป็นเมียผัวกันแล้ว ถ้าฝ่ายหญิงเกิดชอบระบบตบจูบ สมัครใจจะอยู่กินกับพ่อหนุ่มมือฉุด ความผิดเรื่องฉุดคร่าก็ถือว่าให้เลิกแล้วต่อกันไป จะมาฟ้องร้องเป็นคดีความในภายหลังไม่ได้ แต่ถ้าฝ่ายหญิงไม่สมัครใจ ท่านให้ถือว่าฝ่ายชายมีโทษหนักเทียบผู้ร้ายคดีปล้นฆ่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือชายสามัญก็ให้ลงโทษเสมอกันหมด
แต่ในกรณีที่ผู้หญิงเป็นฝ่านก๋ากั่นหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามผู้ชายไปเอง กฎหมายไทยให้ถือว่าหญิงนั้นเป็นผู้หญิงไม่ดี ถึงจะอยู่กินกันแล้ว ผู้ชายจะนับว่าเป็นเมียไม่ได้ ถ้าหากวันข้างหน้าหญิงสาวรายนี้จะทิ้งผัวกลับไปอยู่กับพ่อแม่หรือหนีตามผู้ชายอื่นไปอีก ชายที่เป็นผัวก็ไม่มีสิทธิ์จะไปลากเอาตัวกลับมา แม้แต่ถ้าผู้หญิงมีชู้แล้วพาชู้ขึ้นมาเสพสมกันบนเรือน สามีก็ฟ้องร้องเอาผิดชายชู้ไม่ได้ เพราะหญิงนั้นไม่ใช่เมียตน ถ้าเป็นในสมัยนี้ก็อาจจะมองว่าผู้หญิงประเภทนี้มีอิสระเสรีน่าอิจฉาสุดๆ แล้ว แต่ในสมัยนั้นวิธีนี้ถือว่าเป็นการดูถูกผู้หญิงที่ไม่รักนวลสงวนตัวว่าเป็นของสาธารณะไม่มีเจ้าของ หรือก็คือไม่มีค่านั่นเอง ดังที่กฎหมายอธิบายไว้ว่า "มันมาฉันใด ให้มันไปฉันนั้น"
ผู้หญิงที่ยึดหนีตามชายไปจะกลับมามีเกียรติเป็นผู้เป็นคนได้อีกครั้ง ก็ต่อเมื่อครอบครัวของหญิงนั้นให้อภัยลูกสาวที่หยามหน้าพ่อแม่และให้การอุปถัมภ์ด้วยดี เช่น ปลูกเรือนให้ ให้ข้าวของเงินทองใช้ และยอมรับผู้ชายเป็นเขย โดยเฉพาะข้อหลังนี้กฎหมายไทยให้น้ำหนักไว้มากที่สุด วันใดที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงยอมรับผู้ชายเป็นเขยด้วยวิธีต่างๆ ตามธรรมเนียมสมัยนั้น เช่น เจ้าหนุ่มเอาพานพุ่มมากราบขอขมาแล้วพ่อแม่ยอมรับพานพุ่มไว้ หรือประกาศยอมรับลูกเขยต่อหน้าผู้คน ท่านให้ถือว่าหญิงชายคู่นี้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องทันที
เมื่อชายไทยสามารถมีเมียนับไม่ถ้วน ลูกเศรษฐีมีทรัพย์บางคนจึงนิยมไปซื้อหญิงสาวหน้าตาผุดผ่องจากพ่อแม่ของผู้หญิงเอง เพื่อมาเป็นเมียน้อย โดยไม่ต้องสนใจว่าฝ่ายหญิงจะเต็มใจหรือไม่ เพราะลงว่าถ้าพ่อแม่เห็นแก่เงินเสียอย่าง ลูกสาวก็ไม่แคล้วถูกขายไปเหมือนเป็นผักเป็นปลา เหตุการณ์ทำนองนี้มาสิ้นสุดเอาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับฎีการ้องเรียนจากลูกสาวชาวบ้านที่พ่อแม่บังคับขายให้คนรวยหลายคดี เมื่อทรงรับฎีกานั้นแล้วก็มีพระราชวินิจฉัยให้หญิงสาวเลือกคู่เอาเองโดยใจสมัคร และทรงกำหนดเป็นบทบัญญัติว่าห้ามพ่อแม่เอาลูกไปขายกินอีกหรือถ้าจะขายไปเป็นทาส (ไม่ใช่เป็นเมีย) ก็ต้องผ่านความสมัครใจของลูกก่อน ลูกตั้งราคาค่าตัวเท่าไรก็ขายได้เพียงนั้น
ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงตรากฎหมายเอาไว้อย่างนี้ เพราะพ่อแม่ในสมัยโบราณนั้น ไอ้ที่รักลูกดังแก้วตาดวงใจก็มีมาก แต่ที่เห็นลูกสาวเป็นแม่ไก่ เลี้ยงไว้ให้ออกไข่ให้กินก็มีไม่น้อย ดังเช่นคดีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่าชาวบ้านรายหนึ่งได้พาลูกสาวไปขายให้แก่พระยาสิงหราชฤทธิไกร ผู้เป็นบิดาของหลวงเสนาภักดี ตั้งแต่ลูกสาวนั้นยังเป็นเด็กๆ ต่อมาเด็กหญิงคนนั้นโตมาเป๋นสาวสวยวัยกำดัดก็ไปผูกสมัครรักใคร่กับหลวงเสนาภักดีจนได้เสียเป็นผัวเมียกัน
แต่แล้ววันหนึ่ง พ่อของสาวน้อยก็เอาเงินมาไถ่ตัวลูกสาวกลับไปอยู่บ้าน แล้วเอาสาวเจ้าไปขายต่อให้กับลูกเศรษฐีอีกคน ทั้งๆ ที่ลูกสาวไม่สมัครใจยินยอม และหลวงเสนาภักดีเองก็รักเมียมาก พร้อมจะจ่ายเงินให้เป็นค่าตัวเธอ เสียแต่จำนวนเงินที่คุณหลวงจะให้นั้น น้อยกว่าเงินที่พ่อของสาวน้อยจะได้จากลูกเศรษฐีมากนัก ผู้เป็นพ่อจึงยืนกรานจะขายลูกกินให้ได้ เมื่อคดีนี้รู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงตัดสินให้ตามใจหญิงชายที่รักใคร่กัน ไม่ใช่ตามใจบิดามารดา และให้ใช้คดีนี้เป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีต่อๆ ไป เพื่อไม่ให้หญิงสาวถูกพ่อแม่หิวเงินจับไปร่อนขายฮาเร็มโน้นทีฮาเร็มนี้ทีเหมือนผักปลาอีก
มาถึงปี พ.ศ.2410 เกิดมีคดีผัวหน้าเงินเอาเมียไปขายเป็นเมียคนอื่นขึ้มาอีกหลายคดี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงทรงโปรดให้มีพระราชบัญญัติว่าถ้าผัวจะขายเมีย โดยที่เมียนั้นมิใช่เมียทาสที่ผัวมีกรมธรรม์ถืออยู่ในมือแล้ว ต้องให้ผู้เป็นเมียลงลายมือยินยอมต่อหน้าพยานเสียก่อนจึงจะขายได้ จะเห็นได้ว่าพระองค์ท่านทรงมีพระทัยกรุณาต่อคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะผู้หญิงว่าจะถูกข่มเหงรังแกจากพ่อแม่หรือผัวตัวแสบทั้งหลาย ในรัชสมัยของพระองค์จึงมีการแก้ไขกฎหมายลักษณะผัวเมียหลายข้อ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับราษฎรเพศหญิงนั่นเอง
อย่างไรก็ตามมีผู้หญิงอยู่ประเภทหนึ่งที่พระองค์ท่านไม่ทรงอนุญาตให้เลือกคู่เองตามใจรัก นั่นก็คือสตรีที่มีศักดิ์สูง หากสตรีมีตระกูลไปรักกับชายสามัญ ท่านทรงยินยอมให้พ่อแม่กักตัวลูกไว้ มิให้ไปเกลือกกลั้วกับคนที่ต่ำศักดิ์กว่า หรือถ้าชายหญิงมีใจผูกสมัครรักใคร่กัน ก็ให้นำบรรดาศักดิ์ของพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมาเปรียบเทียบกัน ถ้าฝ่ายหญิงมีศักดินาสูงตั้งแต่ 400 ไร่ขึ้นไป และตระกูลฝ่ายชายไล่ขึ้นไปถึงปู่มีศักดินาสูงเสมอฝ่ายหญิงหรือสูงกว่า ถ้าพ่อแม่ตกลงกันไม่ได้ จึงจะให้สิทธิหญิงนั้นเลือกว่าจะอยู่กินกับเจ้าหนุ่มหรือไม่ แต่ถ้าฝ่ายชายมีศักดิ์ต่ำกว่า ให้พ่อแม่ของหญิงเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะยกลูกสาวให้ไหม ฝ่ายหญิงไม่มีสิทธิตัดสินใจเอง แม้แต่ถ้าฝ่ายหญิงเสียตัวให้ชายไปแล้ว ก็อนุญาตให้บิดามารดาสามารถไปชิงตัวลูกสาวมากักขังไว้ได้ เพื่อรักษาบรรดาศักดิ์ของตระกูล หรือจะยกให้ชายใดไป ตามแต่ใจของพ่อแม่
ที่ทรงบัญญัติไว้อย่างนี้เพราะเห็นใจพ่อแม่ของฝ่ายหญิงที่มีชาติตระกูลสูง ซึ่งย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาเกียรติยศที่บรรพบุรุษสั่งสมมา ถ้าหากลูกสาววึ่งยังเยาว์วัยเกิดหลงคารมชาย ไปผูกสมัครรักใคร่กับชายที่มีศักดิ์ต่ำกว่า ก็มีโอกาสที่ลูกเขยจะทำลายเกียรติของวงศ์ตระกูลให้เสื่อมเสียได้ ท่านจึงให้ถือเอาหลักว่า คนแก่อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมจะมองการณ์ไกลกว่า จึงให้พ่อแม่เป็นคนเลือกคู่ครองให้ลูกเสียเอง
ถ้ามองจากกฎหมายข้อนี้คงต้องบอกว่าหญิงสาวที่เกิดมาในตระกูลผู้ดีนั้น จะว่าเป็นโชคก็ใช่ หรือจะว่าเป็นเคราะห์ก็ไม่ผิดอีกเหมือนกัน โชคดีเพราะเกิดมาในบ้านที่มีฐานะ มีความเป็นอยู่สุขสบาย แต่โชคร้ายที่เลือกทางเดินชีวิตหรือเลือกคู่ครองตามใจตนเองไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ต้องรักษาเกียรติยศของตระกูลเทียบเท่าชีวิตของตัวเองเลยทีเดียว