ทางออกชีวิต คิดดี เรื่องดีๆจะตามมา
ความคิดของคนเรามีอยู่สองทาง
คือ “คิดดี” กับ “คิดไม่ดี”
ไม่มีใครบอกกับตัวเองได้ ว่าวันนี้…เมื่อชีวิตเปิดรับเรื่องราวจากภายนอก จะคิดดีได้เท่าไหร่ คิดไม่ดีได้เท่าไหร่ จะมีทัศนคติมุมมองลายหลากได้เพียงใดต่อเรื่องๆ เดียวกัน เพราะบ่อยครั้งความคิดก็เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ มันเกิดขึ้นมาเองจากจิตใต้สำนึกภายในจิตใจ จากส่วนที่ลึกเกินหยั่งของจิตใจเราเอง
“การคิดดี” ไม่ได้ช่วยให้เรากลายเป็นคนดีสมบูรณ์แบบจนใครต่างพากันพร้อมใจสรรเสริญเยินยอในทันทีทุกครั้งที่เราคิด แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ความคิดดีจะช่วยเปิดใจเราให้กว้างขึ้นและยกจิตใจเราให้คลายตัวจากความกดดัน ในความเกลียดชังจากความคิดที่ติดลบต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือหลายๆ เรื่อง
“ความคิดที่เกิดขึ้นมา ก็เหมือนเราแบกสิ่งๆ หนึ่งไว้ในใจ ไม่แบกก็ไม่หนัก ไม่บีบก็ไม่เจ็บ
การคิดลบก็เหมือนกับการที่เรากำลังแบกมันเอาไว้ พร้อมกับบีบมันด้วยความเจ็บปวด
เอาความคิดลบ ความเกลียดทิ่งแทงตัวเองอยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่ย้อนกลับมาจากสิ่งเหล่านั้นที่เราแสดงออกไป
มันก็จะย้อนกลับมาฝังในร่างกายจิตใจเราโดยไม่รู้ตัว
และไม่สามารถห้ามมันได้ เมื่อชีวิตนั้นอุดมไปด้วยอคติ”
ชีวิตเราจะดีจะร้าย
มันก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง
ไม่ใช่การกระทำของคนอื่น
หรือจากสิ่งไม่ดีของคนอื่นที่เราคิดลบไว้
การคิดดี ทำดี และมีมุมองดี ต่อรูปแบบชีวิตที่หลากหลายต่อเรื่องราวมากมายที่วิ่งสวนเข้ามา มันจะทำให้เรามีความสบายใจต่อการดำเนินชีวิตตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องทนกับน้ำหนักในการแบกรับเรื่องร้ายๆ เอาไว้ในหัว
การสร้างความคิดดีๆ ทำได้ไม่ยากเลย เพียงแค่เราเปิดใจยอมรับความไม่ดี ความผิดพลาดของคนอื่น หรือแม้กระทั่งความผิดพลาดของตัวเราเองที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะหากเราเจอเรื่องไม่ดี เราก็เริ่มคิดไม่ดี และชีวิตเราก็เริ่มจะไปในทางที่ไม่ดี เพราะจิตใจติดลบในการคิดไม่ดีออกไป
ชีวิตไม่ได้มีอะไรมากมาย
มันไม่ได้ยากอย่างที่เราคิด
แม้มันจะไม่ได้ดั่งใจเราไปบ้าง
แต่ความคิดดีๆ จะทำให้เราเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
และที่สำคัญ ความคิดดีๆ จะทำให้เราเข้าใจชีวิตตัวเราเอง
และนำพามันออกไปจากมุมมืด
ก้าวเดินไปข้างหน้า ยิ้งให้กับตัวเองในวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านเข้ามา
“เพียงแค่เราคิดดีเท่านั้น
ชีวิตเราก็จะเต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ
เพียงแค่เราคิดลบเท่านั้น
ชีวิตเราก็จะมีแต่ความมืดมนไปตลอดชีวิต”
จาก “ทางออกชีวิต Exit For Life” โดย สราวุธ สิงห์ลา