สาเหตุที่คนเหนือ (และลูกศิย์ทั่วไทย) นับถือหลวงปู่แหวนก็เพราะ?
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ตะก่อนจื่อว่า ญาณ หรือ ยาน รามศิริ เกิดวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2430 วันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ ปีกุน ตี๋บ้านนาโป่ง เตื่อก่อว่า บ้านหนองบอน ตำบลหนองใน (บ่าเด่วเป็น ตำบลนาโป่ง) อำเภอเมือง จังหวัดเลย เป็นลูกคนที่ 2 (คนสุดท้อง) ของ นายใส หรือ สาย กับ นางแก้ว รามศิริ มีปี๋สาวร่วมท้องเดียวกัน 1 คน
หลวงปู่แหวน ได้บวชเป๋นเณร ในปี๋ พ.ศ. 2439 ในขณะนั้นมีอายุได้ 9 ปี ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาโป่ง ตำบลนาโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย โดยมีพระอาจารย์คำมา เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์อ้วน เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย เป็นพระพี่เลี้ยง เมื่อบวชเป๋นเณรแล้วก่อได้เปลี่ยนจื่อใหม่เป๋น แหวน อยู่จำพรรษาที่วัดโพธิ์ชัย ต๋อนอยู่วัดนี้บ่าได้เฮียนหนังสือ วิ่งเล่นตามประสาเณรน้อยทั่วไป เลยถูกส่งไปเฮียนตี๋ วัดสร้างก่อ อำเภอหัวสะพาน จังหวัดอุบลราชธานี หลวงปู่แหวนเฮียนอยู่ที่นี่หลายปี๋ จนอายุครบบวชพระ ก่อได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ตี๋วัดสร้างก่อนอก อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระอาจารย์แว่น เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2451
จากนั้น ท่านก็ได้ออกธุดงค์มุ่งสู่สำนักของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดยผ่านม่วงสามสิบ คำเขื่อนแก้ว ยโสธร เลิงนกทา มุกดาหาร คำชะอี นาแก สกลนคร พรรณานิคม สว่างแดนดิน หนองหาน อุดรธานี บ้านผือ นับเป็นการเดินทางไกลและเมินนานเป๋นครั้งแรกจ๋นได้ป๊ะกับหลวงปู่มั่น ที่ดงมะไฟ บ้านค้อ หลังจากนั้นก่อได้เดินทางไปแสวงบุญต๋ามตี๋ต่างๆ ทั้งในประเทศแล้วก่อนอกประเทศ จ๋นมาแสวงบุญตี๋ภาคเหนือ นับตั้งแต่ขึ้นมาภาคเหนือแล้ว ท่านก็บ่าเกยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นแหมเลย ท่านเกยอยู่บนดอยสูงกับชาวเขาเกือบทุกเผ่า อยู่ในป่าเขาภาคเหนือตอนบน เช่น เจียงฮาย เจียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ส่วนภาคเหนือตอนล่าง เช่น แพร่ น่าน ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก ท่านเคยจาริกไปครั้งคราว นับได้ว่า วัดดอยแม่ปั๋ง เป็นสถานที่ที่ หลวงปู่แหวนอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 จวบจนมรณภาพ
หลวงปู่แหวนเกยอู้ว่า “ อากาศทางภาคเหนือถูกแก่ธาตุขันธ์ดี ฉันอาหารได้มาก ไม่มีอาการอึดอัด ง่วงซึม เวลาภาวนาจิตก็รวมลงสู่ฐานสมาธิได้เร็ว นับว่าเป็นสัปปายะ ”
หลวงปู่แหวน มีโรคประจำตัว คือ เป็นแผลเรื้อรังตี๋ก้นกบยาวประมาณ 1 ซม. มีอาการคัน ถ้าอักเสบก็จะเจ็บปวดมาก และอีกโรคหนึ่งคือ เป็นต้อกระจกนัยน์ตาด้านซ้าย เป็นต้อหินนัยน์ตาด้านขวา หมอได้เข้าไปรักษาเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2518 เมื่อรักษาแล้วสุขภาพก็ยังแข็งแรงตามวัย แต่ต่อมาปี 2519 ร่างกายเริ่มซูบผอม อ่อนเพลีย ฉันอาหารได้น้อย ขาทั้ง 2 เป็นตะคริวบ่อย ต่อมา 2520 สุขภาพทรุด ค่อนข้างซูบเหนื่อยอ่อน เวียนศีรษะถึงกับเซล้มลง และประสบอุบัติเหตุขณะครองผ้าจีวรในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2522 ซึ่งเป็นวันที่ทางวัดจัดงานผูกพัทธสีมา ส่งผลฮื้อเจ็บบั้นเอวและกระดูดสันหลัง ลุกบ่าได้ ต้องนอนอยู่กับตี๋ รักษาอยู่เดือนหนึ่ง ก็หายเป็นปกติ แต่เนื่องจากหลวงปู่แหวนอายุนักแล้ว ก่อได้มีอาการอาพาธมาโดยตลอด คณะแพทย์ก็คอยฮื้อก๋านฮักษาด้วยดี จ๋นกระทั่งใน วันอังคารที่ 2 กรกฏาคม พ.ศ.2528 เวลา 21.53 น. การหายใจครั้งสุดท้ายก็มาถึง หลวงปู่แหวน ท่านได้ละร่างอันเป็นขันธวิบากไปด้วยอาก๋านสงบ สิริรวมอายุได้ 98 ปี
หลวงปู่แหวน เป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตาบารมีธรรม เป็นปูชนียบุคคล ชาวพุทธให้ความเคารพสักการะอย่างนัก เมตตาบารมีธรรมของท่าน ยังผลให้กุลบุตรกุลธิดาใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรม สืบสร้างความมั่นคงให้แก่พระศาสนา ทำฮื้อเกิดมีก๋านก่อสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น โรงบาล วัด อาคาร ท่านได้อำนวยคุณประโยชน์ต่าง ๆ แก่สังคมสืบมาจนถึงปัจจุบัน ชีวิตร่างกายของท่านได้ดับสลายไป แต่คุณงามความดีของท่านยังตรึงแน่นอยู่ในจิตสำนึกของพุทธศาสนิกชนอย่างไม่มี วันเสื่อมคลาย เพราะท่านเป็นพระผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบในฐานะพุทธชิโนรส เป็นเนื้อนาบุญของผู้ต้องการบุญในโลกนี้