9 เรื่องเซ๊กส์บนโลกใบนี้มีบิดๆเบี้ยวๆ เสียวจริงหนอ
รวบรวมเรื่องเซ๊กส์สุดเแปลกแหกขนบธรรมเนียมที่เราเคยรู้ แต่มันก็มีอยู่จริงบนโลกใบนี้นะครับ
เริ่มต้นที่
1. ประเพณีเทพเจ้ามิน festival of the god Min
เกิดจากนิทานปรัมปราอียิปต์ แสดงถึงกษัตริย์ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ช่วยตัวเองในที่สาธารณะ คือ ปล่อยอสุจิลงแม่น้ำไนล์ ที่จัดว่าเป็นสิ่งดีงามเพื่อบูชาเทพเจ้าและบันดาลให้มีน้ำไว้บริโภค และมีหลักฐานลงบนกำแพงหินด้วย
2. ชาววูดูที่ไตฮีติ จะเดินทางไปอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่น้ำตก waterfalls of Saut d'Eau ในเดือน ก.ค. ของทุกปี แต่ไม่ได้แค่เปลือยกายอาบน้ำหรอกนะ ชาววูดูต้องเกลือกกลิ้งตนเองไปกับพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดสัตว์บูชายัญ ทั้งวัว แพะ และสัตว์อื่นๆ
3. ชนเผ่า Mardudjara ในออสเตเรีย มีธรรมเนียมให้เด็กชายได้กลายเป็นแมนเต็มตัว ด้วยการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยเพศ ซึ่งจะให้เด็กยืนดูและจับกระปู๋ของตนไว้ ขณะที่ผู้ใหญ่บรรจงมีดเฉือนฉับๆ ที่หนังหุ้มปลาย หลังจากแผลแห้งดีแล้วจะมีการเฉือนอีกครั้ง เป็นการตัดตามแนวยาวด้านข้างกระปู๋ และใช้ไฟประคบไปที่รอยแผงเพื่อฆ่าเชื้อและไม่เป็นรอยแผลเป็น
หลายๆครั้งต้องใช้คนช่วยจับไม่ให้ดิ้น
4. บนเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล ถ้าบ้านไหนมีลูกชายมากกว่า 1 คน แต่มีพื้นที่จำกัด ไม่อาจจะแบ่งให้ได้ทุกคนในปริมาณมากได้ ทางแก้ของปัญหานี้คือ จำเป็นต้องหาเมียให้ลูกทุกคน แต่หาเมียเพียงคนเดียวเท่านั้น เพื่อจะได้อยู่กันเป็นครอบครัวขยายต่อไป และฝ่ายหญิงจะคนกำหนดตารางสลับเองว่า วันนี้คืนนี้จะเป็นเมียของใคร
5. ชนเผ่า Wodaabe tribe ประเทศไนเจีย แอฟริกาตะวันตก มีเทษกาลประจำปีชื่อ Gerewol Festival โดยผู้ชายเผ่านี้จะเมคอัพ แต่งตัวให้เริ่ดที่สุดเพื่อจะสร้างความประทับใจให้สาวๆ ที่เป็นเมียของคนอื่น และถ้าสาวเลือกผู้ชาย เธอจะกลายเป็นเมียใหม่ของเขาทันที
ทั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้หญิงชายได้เลือกคู่ครองของตนเอง หลังจากที่ถูกคลุมถุงชนในตอนเยาว์ ซึ่งพ่อแม่จะเลือกให้ไปเป็นเมียของบ้านไหนก้ต้องยอมทำตาม หลายครั้งเป็นผัวเมียทางสายเลือด และอายุต่ำกว่าเกณฑ์ด้วย
เรียกเทศกาลนี้ว่า แย่งเมียชาวบ้าน steal each other's wives
6. ย้อนไปสมัยอารยธรรมกรีกรุ่งเรืองฟูเฟื่องนั้น การเป็นเกย์ไม่ได้น่ารังเกียจ น่ากลัวและตกต่ำแต่อย่างใด กลับเป็นว่า เป็นเพศหนึ่งที่ทรงอิทธิพลมากต่อการปกครอง ผู้ชายยุคนั้นมีเพศสัมพันธ์ได้ทั้งกับชายและหญิง เช่นเดียวกับหญิงก็มีเซ๊กส์กับชายและหญิงได้ ไม่ถือว่าได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัน มีการใช้เซ็กส์เป็นบันไดก้าวสู่ความสำเร็จและโอกาสในชีวิต เพราะชนชั้นสูงย่อมอยู่ดีกินดีกว่าชนชั้นอื่น ทำให้ชนชั้นอื่นต้องบำเรอความสุขและอาจจะก้าวหน้าได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้มีการระบุว่าผู้เป็นฝ่ายรุก นั้นมักจะแมนๆ อยู่ในชนชั้นสูง และอายุมากกว่า
ส่วนฝ่ายรับนั้น จะตุ้งติ้ง มีสถานภาพทางสังคมด้อยกว่า และเด็กกว่า
ซึ่งมีปรากฎตามภาพโบราณต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์ เช่น
7. และในยุคกรีกนั้น ยังมีคำศัพท์เรียกเพศที่สามว่า "paiderastia" มีความหมายว่า "boy love รักของเด็กชาย" โดยลักษณะของเด้กชายนั้นคือยังโตไม่เต็มที่ ไม่พร้อมจะเป็นแมน ยังไม่มีหนวดเคราเต็มหน้า
ส่วนลักษณะของผู้ใหญ่คือ ผู้รู้ดีกว่า มีความรู้มากกว่า มีประสบการณ์ด้านรักมาแล้ว และปกป้องคุ้มครองได้
การเป็นผู้ใหญ่ของกรีกนี้ ยังรวมถึงการแนะนำ ชี้แนวทางอื่นๆ ถ่ายทอดความเป้นแมนให้เด็กชาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบครู-ลูกศิษย์ , พี่ชาย-น้องชาย, อา-หลาน, เจ้านาย-ทาส, และอื่นๆ แล้ว ยังสามารถมีเซ็กส์ได้ด้วย
ซึ่งจากรูปภาพโบราณนั้นทำให้คนในยุคนี้กังขาความเหมาะสมว่าอุบาทว์ไปไหมที่มีอะไรกับเด็กชายวัย 11-12 ขวบ แต่ไม่มีข้อมูลจากสมัยนั้นว่า ตั้งกฎเกณฑ์อายุเท่าไรจึงเหมาะสมกับความสัมพันธ์แบบนี้
8. เด็กชายจากชนเผ่า Sambians บนเกาะปาปัวนิวกินี ถูกแยกตัวออกจากเพศหญิงเมื่ออายุ 7 ขวบ ไปใช้ชีวิตแบบผู้ชายล้วนถึง 10 ปี ในระยะเวลานั้นพวกเขาต้องเรียนรู้การล่าสัตว์ หาปลา ดำน้ำ ติดไฟ ใช้หอกและอาวุธอื่นๆ รวมทั้งเจาะและสักตามใบหน้าและตัว รวมทั้งใช้ต้นอ้อยเสียบทะลุจมูกให้มีเลือดออก
ที่แปลกกว่าเผ่าอื่นๆ คือ พวกเขาต้องดื่มน้ำอสุจิจากผู้ใหญ่หรือรุ่นพี่ทั้งหลายในที่นั้นด้วย จึงถือว่าสำเร็จหลักสูตรการเป็นแมนเต็มตัว
สุดท้าย 9. ชนเผ่า Trobriand ในเกาะปาปัวนิวกินีแห่งนี้ไม่ถือว่าเด็กหญิงวัย 6-8 ขวบ และเด็กชายวัย 10-12 ขวบ จะเริ่มมีเซ็กส์ได้แล้ว เด็กหญิงจะเปิดหน้าอกเพื่อส่งสัญญาณว่า "ฉันพร้อมแล้วนะ รีบๆมา" ซึ่งเด็กๆจะมีเซ็กส์ได้บ่อยและมากตามที่ต้องการ ไม่มีใครห้ามหรือดุด่าว่ากล่าว
แต่ถ้าเด็กชายจะชวนฝ่ายหญิงไปดินเนอร์ทานอาหารกันนั้นไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่ห้าม ต้องแต่งงานกันแล้วเท่านั้นถึงจะไปกินอาหารด้วยกันได้