5 ภัยในน้ำตาลเทียม
แปลและเรียบเรียง : เทพพิทักษ์ มณีพงษ์
แอสปาร์แตม (Aspartame) หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ถูกใช้ในอาหารชนิดต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ต้องการควบคุมน้ำหนัก เป็นสารเคมีที่เป็นที่ถกเถียงในประเด็นของความปลอดภัยมาอย่างยาวนานตั้งแต่มันถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1965
หลายๆ คนอาจมองว่าแอสปาร์แตมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ปลอดภัยในการบริโภค เนื่องจากมันได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐบาลอย่างถูกต้อง ทว่า 5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแอสปาร์แตมต่อไปนี้อาจทำให้เราต้องหันกลับมาคำนึงถึงความเสี่ยงในการบริโภคของมันอีกครั้ง
1. สารประกอบในแอสปาร์แตมสามารถเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็ง
แอสปาร์แตมเป็นสารให้ความหวานที่เกิดขึ้นจากการรวมสารเคมี 3 ชนิดเข้าด้วยกัน นั่นคือกรดแอสปาร์ติก (Aspartic Acid) ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) และเมธานอล (Methanol) แม้ว่าสารทั้งสามจะสามารถกำจัดออกจากร่างกายได้ตามปกติ แต่หากรับประทานในปริมาณมากเกินไปอาจจะก่ออันตรายต่อร่างกาย
โดยเฉพาะเมธานอล ที่สามารถแตกตัวให้กลายเป็นฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) และกรดฟอร์มิก (Formic Acid) ได้ ซึ่งเมธานอลที่อยู่ในแอสปาร์แตมมีความแตกต่างกับเมธานอลที่พบในอาหารตามธรรมชาติทั่วๆ ไปเช่นในผักและผลไม้ เนื่องจากการผลิตเมธานอลไม่ได้มีการเติมเอธานอล (Ethanol) ลงไปเพื่อป้องกันความเป็นพิษของเมธานอล ดังนั้นหากได้รับในปริมาณที่มากเกินจนร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้หมด อาจจะไปทำลายเนื้อเยื้อที่มีชีวิตและทำให้ DNA ในเซลล์ได้รับความเสียหาย จนอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งต่างๆ ได้
2. แอสปาร์แตมก่อให้เกิดโรคอ้วนและความผิดปกติเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ
ก่อนหน้านี้น้ำตาลเทียมเคยถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยในการบริโภคแทนน้ำตาล เมื่อเวลาผ่านไป ผู้บริโภคเริ่มรับรู้ว่าหากรับประทานน้ำตาลเทียมในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและก่อให้เกิดเบาหวานได้
อย่างไรก็ตาม รายงานทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นได้ทำการศึกษาและพบว่า แอสปาร์แตมทำให้น้ำหนักตัวของผู้รับประทานเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับปริมาณที่รับประทานเข้าไปแต่อย่างใด
เมื่อเปรียบเทียบแอสปาร์แตมกับน้ำตาลซูโครสซึ่งเป็นสารให้ความหวานที่ได้จากธรรมชาติ พบว่าแอสปาร์แตมมีผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า และจากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านชีววิทยาและการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเยล รายงานว่า แอสปาร์แตมทำให้ระดับการผลิตฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้อยากอาหารและต้องการน้ำตาลในปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม
3. ได้รับอนุญาตให้ใช้แม้จะมีรายงานเกี่ยวกับอันตราย
แอสปาร์แตมเป็นสารเคมีที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญระหว่างการพัฒนายาเพื่อรักษาแผลเปื่อยของบริษัท G.D. Searle & Company (ต่อมาถูกซื้อกิจการโดยบริษัท Monsanto ในปี 1985) เมื่อค้นพบว่าสารดังกล่าวให้รสชาติหวานที่ใช้ทดแทนน้ำตาลได้ บริษัทจึงเข้ายื่นขอรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ทันที
นักวิทยาศาสตร์ที่ FDA ทำการตรวจสอบสารเคมีดังกล่าวกับสัตว์ทดลองและพบว่า เมื่อให้ลิงบริโภคเข้าไปทำให้เกิดอาการชักอย่างรุนแรงและเสียชีวิต การทดลองดังกล่าวจึงถูกระงับโดย FDA ขณะที่บริษัท G.D. Searle & Company ใช้วิธีการรอจนกว่าคณะกรรมการ FDA ชุดใหม่ที่แต่งตั้งโดย โรนัลด์ เรแกน จะเข้าทำงาน และส่งแอสปาร์แตมเข้ากระบวนการอนุมัติอีกครั้ง
ด้วยกระบวนการในการคอรัปชั่นและเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทเหล่านี้ ทำให้แอสปาร์แตมกลายเป็นสารเคมีที่แม้จะไม่ได้รับการยืนยันว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถใช้ผสมในอาหารได้อย่างถูกกฎหมายกว่า 9,000 ชนิด
4. วัตถุดิบได้จากของเสียที่เกิดจากแบคทีเรีย E.coli ตัดต่อพันธุกรรม
ในการผลิตแอสปาร์แตม องค์ประกอบที่ขาดไม่ได้เลยคือฟีนิลอะลานีน ฟีนิลอะลานีนที่ใช้ในการผลิตแท้จริงแล้วมาจากของเสียที่เกิดจากการขับถ่ายของแบคทีเรีย E.coli ที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมด้วยยีนชนิดพิเศษซึ่งทำให้ตัวมันสร้างเอนไซม์ในปริมาณสูงกว่าปกติเพื่อให้ได้ฟีนิลอะลานีนมาใช้ผลิตต่อไป
การเปิดเผยที่มาของฟีนิลอะลานีน เกิดจากการรับรองสิทธิบัตรแอสปาร์แตมที่ได้รับการรับรองในสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 1999 ซึ่งได้รับการเผยแพร่ในหลายสื่อเมื่อปลายปี 2013 ที่ผ่านมา
5. สามารถผ่านเข้าสู่เซลล์สมองและก่อให้เกิดอันตรายได้
เนื่องจากแอสปาร์แตมประกอบด้วยสารเคมี 3 ชนิดในปริมาณแตกต่างกัน โดยมีกรดแอสปาร์ติก (Aspartic Acid) มากที่สุดคือร้อยละ 40 ซึ่งกรดชนิดนี้เป็นกรดอะมิโนที่สามารถเดินทางผ่านตัวกรองที่กั้นระหว่างเลือดและสมอง (Blood-Brain Barrier) หากได้รับกรดแอสปาร์ติกเข้าสู่เซลล์สมองในปริมาณมากๆ จากการบริโภคน้ำตาลเทียม จะส่งผลให้เซลล์สมองได้รับความเสียหายจากปริมาณแคลเซียมที่สูงเกินไป และอาจทำให้เซลล์ประสาทเสียหายจนเกิดความผิดปกติกับสมองได้
ในกรณีร้ายแรงที่สุด การได้รับสารชนิดนี้ในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคทางระบบประสาทอย่างลมบ้าหมูหรืออัลไซเมอร์ ยังรวมไปถึงโรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis: MS – โรคที่เกิดจากปลอกไมอีลินรอบเซลล์ประสาทได้รับความเสียหาย ทำให้การเดินทางของกระแสประสาทไม่ดีเท่าเดิม) ภาวะสมองเสื่อม และความผิดปกติของต่อมไร้ท่อที่อาจทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติอีกด้วย
ที่มา: naturalnews.com
วิเคราะห์หวยงวดวันที่ 2 มกราคม 69 โดยใช้ AI..เลขไหนมีสิทธิ์ถูกรางวัล
เจ้าของบริษัทขายกิจการ แจกโบนัสพนักงานคนละ 443,000 ดอลลาร์
5 จอมโจรขมังเวทแห่งที่ราบสูง: ตำนานเสือร้ายภาคอีสานที่โลกต้องจดจำ
ปิดตำนานรถ EV ราคาถูก ทิ้งลูกค้า, ดีลเลอร์ หอบเงินจากภาครัฐฯ กลับจีนหน้าตาเฉย
ไขข้อสงสัย! ลืมอุ่นอาหารจาก 7-11 เอากลับไปขอเวฟที่ร้านทีหลังได้หรือไม่? เปิดคำตอบจาก "น้องเปาเซเว่น"
"ซินแสดัง" เผยดวงเมืองประเทศไทย ปี 2569..ยิ่งรบ ยิ่งแข็งแกร่ง ศัตรูแพ้ราบคาบ
เปิดแฟ้มลับ 5 อันดับคดีมนต์ดำสะเทือนราชสำนักไทย
เจาะเทรนด์ปี 2026! นิสัยและไลฟ์สไตล์ผู้ชายแบบไหนที่ "ดึงดูดใจ" สาวๆ ยุคใหม่มากที่สุด
10 พรรณไม้สวยพิษร้าย: ความงดงามที่ต้องแลกด้วยอันตรายถึงชีวิต
เปิดตำนานอาถรรพ์ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" แห่งวัดกุฎีดาว: ความลี้ลับที่อยู่คู่แผ่นดินอยุธยา
ใครที่ยังตั้งรหัสผ่านง่ายๆ รีบเปลี่ยนด่วน! เพราะไม่ปลอดภัยอาจโดนเจาะได้
บุรีรัมย์เดือด! ศึกชิงเก้าอี้ สส. วันแรกคึกคัก 'ไหม ศิริกัญญา' บุกถิ่นพรรคสีน้ำเงิน ท้าชนกลุ่มอำนาจเดิม
หลังหยุดยิง จีนบริจาคเงินและของให้เขมร มูลค่า 20 ล้านหยวน
พระสงษ์ชาวเวียดนาม ผู้เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องศาสนา