หลวงพี่ไพรวัลย์ วรรณบุตร ไม่เบาเลยจริงๆ ครับ ฉะ ส.ศิวลักษณ์ ที่ด่าอดีตนายกสองพี่น้อง
จม.ถึงอาจารย์ สุลักษณ์ จาก พระภิกขุไพรวัลย์ วรรณบุตร กรณี เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์และด่าทออดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่น้องทั้งสอง
ถึงท่านอาจารย์สุลักษณ์ที่นับถือ
เห็นท่านอาจารย์ สุลักษณ์ เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์และด่าทออดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่น้องทั้งสองแล้วนั้น ก็ให้รู้สึกเวทนาแทน ไม่ใช่เพราะในฐานะที่ว่าเขาทั้งสองไม่สมควรถูกด่า แต่เป็นเพราะในฐานะที่ว่าเขาทั้งสองเป็นผู้ได้รับความอยุติธรรมอยู่ฝ่ายเดียว โดยเฉพาะก็ผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงอย่างโยมยิ่งลักษณ์ ที่ท่านอาจารย์สุลักษณ์ใช้คำเรียกเธอว่า เจ้าหล่อน ทั้งยังดูถูกหนังสือของเธออีกว่า คนอย่างเธอนี่หรือจะเป็นผู้ที่คิดอะไรเป็น
แม้ว่าอาตมาจะเห็นว่า การวิพากษ์วิจารณ์อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ จะดูเป็นเรื่องปกติ และเป็นสิทธิ์ของท่านที่จะพึงกระทำได้ แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะของความเป็นปัญญาชนสยาม และเป็นผู้ที่ผ่านเรื่องราวทางการเมืองในอดีตมามากต่อมาก อาตมาก็ยังคาดหวังว่า ทุกครั้งของการแสดงความคิดเห็น หรือเขียนบทความ ท่านอาจารย์สุลักษณ์จะมีกรุณาคุณ อย่างไร้ซึ่งความอคติและมีความกล้าหาญทางจริยธรรม เหมือนอย่างที่ตัวท่านเองชอบเอื่อนเอ่ยอยู่บ่อยครั้ง แล้วกล้าที่จะพูดถึงส่วนดีหรือชื่นชมรัฐบาลซึ่งท่านมองว่า อัปรีย์ สักครั้ง แต่มันก็หาได้เป็นอย่างนั้นไม่ ไหนจะเรื่องที่ท่านอาจารย์กล่าวหาสื่อแห่งหนึ่งว่าเป็นทาสรับใช้หรือรับเงินของนักการเมือง แต่แห่งเดียว โดยมิได้ให้ความเป็นธรรมกับเขาเลย และไม่มองถึงสื่ออื่นๆ ที่เสนอข่าวอย่างไร้จรรยาบรรณและใส่ร้ายโจมตีผู้อื่นอย่างสุดสุด บางสำนัก เช่นกัน
อาตมามองไม่เห็นอะไรเลย จากการวิพากษ์วิจารณ์ของท่านอาจารย์สุลักษณ์ในครั้งนี้ ที่เปรียบเปรยและเสียดสีอดีตผู้นำซึ่งเป็นผู้หญิงอย่างเจ็บแสบ ทั้งยังเขียนข้อความให้ดูเหมือนว่าคณะผู้ยึดอำนาจมีความดีเลิศกว่ารัฐบาลของพลเรือน นี่ไม่เท่ากับว่า ตัวท่านเองกำลังตอกย้ำมายาคติที่ว่า เผด็จการ ดีกว่า ประชาธิปไตย หรอกหรือ ? หรืออาจจะกำลังบอกว่า ทหารมือสะอาดกว่านักการเมือง ?
ถ้าว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของท่านอาจารย์สุลักษณ์ในครั้งนี้ จะเป็นแต่เพียงการด่าทออดีตผู้นำ เท่านั้น อย่างที่ท่านเองชอบทำอยู่เสมอเสมอ โดยมิได้มีการเปรียบเปรยหรือเทียบเคียงกับคณะของผู้ยึดอำนาจที่ทำรัฐประหาร อาตมาจะไม่รู้สึกว่า การแสดงความคิดเห็นของท่าน เป็นการตกขอบหรือออกจะเผยความอคติภายในหัวใจเลย คือ ท่านจะด่าทออดีตผู้นำว่าอัปปรีย์ไม่มีหัวคิด อย่างไรก็ได้ แต่อย่างน้อยถ้าท่านเป็นปราญช์ผู้มีความยุติธรรมอยู่ในหัวใจบ้าง ท่านก็ควรที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าจัญไรพอพอกัน อย่างนี้มันจึงจะถูกมิใช่หรือ หรือถ้าไม่กล้าหาญพอที่จะด่าอีกฝ่าย ก็ไม่ควรเปรียบเปรยให้ใครได้เจ็บช้ำน้ำใจ มิใช่หรือ
การยึดเอาอำนาจของประชาชน แลการปกครองประเทศ ในสภาวะซ้ายหันขวาหัน ที่เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย การห้ามมิให้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานหรือการนำเสนอข่าว ในแง่ลบ การคุกคามนักศึกษาตลอดจนถึงนักวิชาการ นี่ไม่เรียกว่า จัญไร อีกหรือ อยากถามว่า ในรัฐบาลสมัยก่อน อดีตผู้นำซึ่งท่านอาจารย์เรียกเธอว่า เจ้าหล่อนและอัปปรีย์ มีการใช้อำนาจเช่นเดียวกันแบบนี้หรือไม่
สรุปแล้วท่านอาจารย์เองผู้ซึ่งอาตมาให้ความนับถืออยู่มาก ในฐานะของนักอนุรักษ์นิยมรุ่นเก่า ที่มีแนวคิดอันพอจะเป็นประชาธิปไตยในสังคมสมัยใหม่อยู่บ้าง กลับเป็นผู้ที่คอยผลิตซ้ำภาพมายาคติและวาทะกรรม เรื่อง ประชาธิปไตยแต่รูปแบบ หรือเผด็จการโดยธรรม อยู่เรื่อย นี่คงไม่แปลก ที่ว่าทำไมตลอดระยะกว่า ๘๐ ปี ของการมีประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่ลงหลักปักฐานในบ้านนี้เมืองนี้ไม่ได้เสียที นั่นก็เพราะว่ามันมีคนอย่างท่านอาจารย์นี่ไง ที่คอยให้ท้ายพวกจัญไรอยู่
อาตมาพูดในฐานะของกัลยาณมิตรที่ให้ความนับถือท่านอาจารย์สุลักษณ์ และแม้ว่าอาตมาจะเห็นไม่ตรงกับท่านในเรื่องนี้ แต่ก็มิได้หมายความว่าอาตมาก็จะเสื่อมความนับถือในตัวของท่าน เพราะอาตมายังแลเห็นว่า คนอย่างท่านอาจารย์สุลักษณ์เป็นคนที่หาได้ยากและจำต้องปรารถนาคนหนึ่งในสังคมอันเต็มไปด้วยอสัจจธรรมแห่งนี้
ไพรวัลย์ วรรณบุตร