เมื่อพูดถึงการถ่ายทำภาพยนต์สักเรื่องให้เสร็จสมบูรณ์ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยและองค์ประกอบหลายสิ่งเข้าด้วยกัน ทั้งงบประมาณ เวลา หรือแม้กระทั้งความพร้อมของนักแสดง ที่ต้องให้ตรงตามแผนที่วางไว้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้แผนที่วางไว้จะดีหรือรอบครอบแค่ไหน เหตุการณ์หรือเรื่องไม่คาดฝันก็อาจะเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อนักแสดงคนสำคัญเกิดเสียชีวิตในช่วงระหว่างหนังถ่ายทำ จนส่งผลให้ต้องเลื่อนการถ่ายทำหรือยกเลิกภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ไป วันนี้เรามาย้อนรอยดูอดีต 8 นักแสดงชื่อดัง ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์…
โรบิน วิลเลียมส์ (Robin Williams)
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2014 สำนักข่าว The Guardian รายงานการเสียชีวิตของ โรบิน วิลเลียมส์ ว่ามีสาเหตุจากการฆ่าด้วยตายด้วยภาวะซึมเศร้า โดยภารกิจที่เขายังสานต่อไม่จบคือการถ่ายทำหนังภาคต่อ Night at the Museum 3 ในบทประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ที่เขารับหน้าที่มาตั้งแต่ภาคแรก ซึ่งผู้กำกับและทีมงานใช้เทคนิคการตัดต่อเพื่อปิดฉากการแสดงของเขาอย่างสมบูรณ์
ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน (Philip Seymour Hoffman)
นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน เสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยวัย 46 ปี โดยสำนักข่าว Reuters รายงานว่าการใช้ยาเกินขนาดคือสาเหตุของการจากไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2014 ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังจะเสร็จสิ้นการถ่ายทำหนังภาคต่อ The Hunger Games : Mockingjay Part 2 โดยทีมงานใช้เทคนิคคอมพิวเตอร์ มุมกล้อง และนักแสดงแทน เพื่อแก้ปัญญา แบบไม่ต้องแก้บทหรือเลื่อนกำหนดเข้าฉายให้วุ่นวาย
พอล วอล์คเกอร์ (Paul Walker)
การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2013 ส่งผลให้การถ่ายทำ Fast & Furious 7 ต้องเผชิญภาวะสุญญากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในขณะนั้น พอล วอล์คเกอร์ เพิ่งถ่ายทำหนังเรื่องนี้ได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามทางออกของปัญหานี้คือการใช้เทคนิค CGI ที่นำใบหน้าจากภาคก่อนของ พอล วอล์คเกอร์ มาแปะบนร่างกายของนักแสดงแทน โคดี้ วอล์คกอร์ (Cody Walker) และเคเลบ วอล์คเกอร์ (Caleb Walker) ซึ่งเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเขาเอง
ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger)
ถึงแม้หนังเรื่อง The Dark Knight จะถูกจดจำในฐานะผลงานชิ้นสุดท้ายของ ฮีธ เลดเจอร์ แต่การเสียชีวิตเนื่องจากการใช้ยาเกินขนาดเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2008 ก็ส่งผลกระทบถึงโปรเจคท์ The Imaginarium of Doctor Parnassus ที่กำลังจะเปิดกล้องในอีกไม่กี่สัปดาห์ถัดมา โดยทีมงานตัดสนใจแก้ปัญหาด้วยการปรับบทและทาบทาม จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp), จู๊ด ลอว์ (Jude Law) และโคลิน ฟาร์เรล (Colin Farrell) มารับบทมิติต่าง ๆ ของคาแรคเตอร์ โทนี่
ริชาร์ด แฮร์ริส (Richard Harris)
ในช่วงแรกที่ ริชาร์ด แฮร์ริส เซ็นสัญญาเพื่อรับบทศาสตราจารย์ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ เขายอมรับว่าเป็นกังวลที่ต้องผูกติดกับหนังชุด Harry Potter อีกอย่างน้อย 7 ภาค อย่างไรก็ตามโชคร้ายกลับมาเยือนเมื่อนักแสดงวัย 72 ปี ต้องจบชีวิตเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าหนังภาค 2 จะเข้าฉายในปี 2002 ด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน ตามการรายงานของหนังสือพิมพ์ The Telegraph ส่งผลให้บทดังกล่าวต้องหาตัวนักแสดงใหม่อีกครั้งจนกระทั่งตกเป็นของ ไมเคิล แกมบอน (Michael Gambon) นักแสดงชาวไอริชที่มีประสบการณ์โชกโชนไม่แพ้กัน
ริชาร์ด กริฟฟิธส์ (Richard Griffiths)
ถือเป็นอีกครั้งที่หนังชุด Harry Potter ต้องสูญเสียดาราคนสำคัญในระหว่างการถ่ายทำ ซึ่งคราวนี้คือการจากไปของนักแสดงวัย 65 ปี ริชาร์ด กริฟฟิธส์ เจ้าของบทคุณลุง เวอร์นอน เดอร์สลีย์ ที่เสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อนขณะผ่าตัดหัวใจ ตามการรายงานเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2013 โดยหนังสือพิมพ์ The New York Times ซึ่งการจากไปของเขาเกิดขึ้นในระหว่างการถ่ายทำ Harry Potter and the Deathly Hallows : Part 1
แบรนดอน ลี (Brandon Lee)
การจากไปแบบช็อกวงการของพระเอก แบรนดอน ลี เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง The Crow ในเดือนมีนาคม 1993 โดยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อปืนที่ใช้ประกอบฉากกลับบรรจุด้วยกระสุนจริง ซึ่งผู้กำกับ อเล็กซ์ โพรยาส (Alex Proyas) รับมือกับปัญหานี้ด้วยการใช้นักแสดงแทนและวิชวลเอฟเฟกต์เพื่อเติมเต็มฉากที่เหลือของ แบรนดอน ลี
โครี มอนทีธ (Cory Monteith)
ใครที่เป็นแฟนของซีรีส์ Glee น่าจะคุ้นเคยกับใบหน้าของ โครี มอนทีธ เจ้าของบทหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ฟินน์ ฮัดสัน แต่โชคร้ายที่อนาคตของนักแสดงวัย 31 ปีอยู่กับเราได้ไม่นานนัก เพราะเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2013 สำนักข่าว CNN รายงานการเสียชีวิตของ โครี มอนทีธ ที่ถูกพบเป็นศพในห้องพักโรงแรมแฟร์มอนท์ แปซิฟิก ริม ประเทศแคนาดา ซึ่งผลการชันสูตรศพถูกเปิดเผยภายหลังว่า เขาเสียชีวิตเนื่องจากเสพเฮโรอีนและแอลกอฮอล์เกินขนาด หลังจากนั้นไม่นานทีมผู้สร้าง Glee ได้สร้างตอนพิเศษเพื่ออุทิศแด่เขาโดยเฉพาะ
