เรียนสูงๆ แล้วได้เป็นเจ้าคนนายคนจริงหรือ?
แรงงานคือปัจจัยในการพัฒนาประเทศที่สำคัญมาก เพราะไม่ว่าประเทศจะร่ำรวยทรัพยากรขนาดไหนก็ยังมีวันใช้หมดไป แต่แรงงานหมายถึงสังคม ประเทศ และผู้คนที่จะช่วยกันทำมาหากินให้ประเทศเจริญต่อไปได้ในอนาคต เมื่อพูดถึงแรงงานหลายคนมักนึกถึงภาพ “ผู้ใช้แรงงาน” หรือ “กรรมกร” ซึ่งเป็นแรงงานที่ใช้ทักษะน้อย แต่ในความจริงแล้วแรงงานหมายถึงประชากรทั้งหมดในประเทศที่ยังอยู่ในวัยทำงาน ซึ่งนับรวมปลัดอำเภอ CEO ทนายความ วิศวกร แพทย์ ชาวประมง หรือคนขับรถแท็กซี่เข้าไปด้วยทั้งหมด
คนไทยสมัยก่อนมักมีคำสอนลูกหลานทำนองว่า “จงตั้งใจเล่าเรียน โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ชัดว่าเราเชื่อว่า “การศึกษา” เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการพัฒนาแรงงาน นอกจากนั้น เรามักเชื่อกันด้วยว่าหากจัดให้มีการศึกษามากขึ้น แรงงานจะมีทักษะสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการ “ยกระดับงาน” ในที่สุด
จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย [1] ปัจจุบันแรงงานไทย 30.9% จบการศึกษา “สูงกว่า” ระดับมัธยมต้น (มัธยมปลาย,อาชีวะ,อุดมศึกษา) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดสิบปีที่ผ่านมา ดูเผินๆเหมือนการจัดการศึกษาของเราอยู่ในเกณฑ์ดี มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อมีการศึกษามากขึ้นแล้ว แรงงานไทยมีทางเลือกในการทำงานที่ดีขึ้นหรือไม่? เรามี “เจ้าคนนายคน” เยอะขึ้นตามไปด้วยหรือเปล่า?
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ได้แบ่งกลุ่ม “อาชีพ” (Occupation) ของแรงงานออกเป็น 10 กลุ่มหลักดังนี้ — อ่านรายละเอียดคำนิยามอาชีพตามมาตรฐานสากลได้ใน [2]
- ผู้บัญญัติกฎหมาย ข้าราชการระดับอาวุโส และผู้จัดการ
- ผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่างๆ
- ผู้ประกอบวิชาชีพช่างเทคนิคสาขาต่างๆ และอาชีพที่เกี่ยวข้อง
- เสมียน
- พนักงานบริการ และพนักงานในร้านค้า และตลาด
- ผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือทางด้านการเกษตร และการประมง
- ผู้ปฏิบัติงานด้านความสามารถทางฝีมือ และธุรกิจการค้าที่เกี่ยวข้อง
- ผู้ปฏิบัติการโรงงานและเครื่องจักร และผู้ปฏิบัติงานด้านการประกอบ
- อาชีพขั้นพื้นฐานต่างๆ ในด้านการขาย และการให้บริการ
- อาชีพซึ่งมิได้จำแนกไว้ในหมวดอื่น
จากกลุ่มอาชีพข้างต้นอาจกล่าวได้อย่างคร่าวๆว่า กลุ่มวิชาชีพ 1-3 คือกลุ่มวิชาชีพที่ “ใช้ทักษะสูง” (ตัวอย่างเช่น ผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล วิศวกร โฟร์แมน ผู้ช่วยทันตแพทย์ ทนายความ ช่างยนต์ ศิลปิน นักเขียน เจ้าของธุรกิจ นักดนตรี ครู) ขณะที่กลุ่มวิชาชีพ 4-6 เป็นกลุ่มวิชาชีพที่ใช้ทักษะต่ำ ส่วนรายได้กลุ่มไหนจะมากหรือน้อยกว่ากันนั้น เป็นเงื่อนไขเฉพาะในรายละเอียดของแต่ละตลาดแรงงานซึ่งมีปัจจัยเกี่ยวข้องแตกต่างกันไป จะไม่กล่าวถึงในที่นี้
หากเราจัดแบ่งแรงงานออกเป็น 2 กลุ่มอาชีพจะเห็นได้ดังกราฟที่แสดง ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วในปัจจุบันแรงงานไทยที่ทำงาน “ทักษะสูง” (กลุ่ม 1-3) มีประมาณ 10-15% นั่นแปลว่าคนกว่า 85% ยังทำงาน “ทักษะต่ำ” อยู่ [3] และที่น่าสนใจกว่านั้นคือปริมาณคนทำงานทักษะสูงในไทยลดต่ำลงอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่ปี 2551 และมีแนวโน้มที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
หากเทียบกับประเทศอื่นๆจะพบว่า จากข้อมูลของ ILO [4] เมื่อปี 2525 เกาหลีใต้มีสัดส่วนแรงงานทักษะสูง 5.49% ส่วนไทยมี 5.33% เวลาผ่านไป 24 ปี – ในปี 2550 ไทยมีแรงงานทักษะสูง 15.11% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของไทย ขณะที่เกาหลีใต้มี 22.18%
ส่วนประเทศอื่นๆมีสัดส่วนแรงงานทักษะสูง (ปี 2550) ดังนี้
มาเลเซีย 26.26%
ออสเตรเลีย 42.87%
ฝรั่งเศส 39.8%
เยอรมนี 41.5%
ฮ่องกง 36.3%
ญี่ปุ่น 37.0%
นอร์เวย์ 42.3%
สิงคโปร์ 48.6%
ตุรกี 22.0%
สหราชอาณาจักร 41.9%
จากข้อมูลข้างต้น เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศที่ “เจริญ” จะมีสัดส่วนแรงงานทักษะสูงที่มากกว่าประเทศไทย เพราะงานที่ทักษะสูงขึ้นมักหมายถึงมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่มากกว่า และการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนอาชีพนี้ ยังหมายถึงทางเลือกใน “งานที่ดีกว่าเดิม” สำหรับคนรุ่นใหม่ที่มากกว่าคนรุ่นพ่อแม่อีกด้วย (คำว่าดีในที่นี้อาจหมายถึงรายได้ คุณภาพชีวิต ความมั่นคง ความเสี่ยงต่ำฯลฯ ซึ่งขึ้นกับแต่ละบุคคล แต่โดยรวมแล้วหมายถึงงานที่ต้องการ “ทักษะที่สูงขึ้น” กว่าเก่า)
จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นว่าแม้แนวโน้ม “ปริมาณ” การศึกษาของแรงงานไทยจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณแรงงานทักษะสูงในระบบไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งด้วยทิศทางที่สวนทางกันเช่นนี้ เราอาจต้องตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อ “คุณภาพ” ระบบการศึกษาไทยแล้วหรือไม่ว่าการจัดการศึกษานั้น “สร้างทักษะ”ชนิดใดให้แก่ประชากรประเทศ เพราะเห็นได้ชัดว่าการมีวุฒิการศึกษาที่สูงขึ้น ไม่ได้ช่วยทำให้ประชากรไทยสามารถทำงานที่ใช้ทักษะสูงขึ้นได้เลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา