ถ้าพูดถึงกบตัวใหญ่ ๆ ที่เห็นแล้วต้องหยุดมองสักนิด หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ กบอินเดียนบูลฟร็อก (Indian Bullfrog) โผล่ขึ้นมาแน่นอน เจ้านี่มีชื่อวิทยาศาสตร์เท่ ๆ ว่า Hoplobatrachus tigerinus เป็นกบที่ไม่ได้มีดีแค่ขนาด แต่ยังมีลูกเล่นเปลี่ยนสีตามฤดูกาล แถมบทบาทในธรรมชาติก็ไม่ธรรมดาเลย
เริ่มจากรูปร่างหน้าตาก่อน กบชนิดนี้ถือว่า “ใหญ่เอาเรื่อง” เพราะโตเต็มที่ยาวได้ถึงประมาณ 16–17 เซนติเมตร เวลาเกาะนิ่ง ๆ อยู่ริมคันนา หรือขอบแอ่งน้ำ จะดูเหมือนกบธรรมดาสีเขียวมะกอกหรือน้ำตาล มีจุดดำกระจายตามตัว ดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมสุด ๆ นี่แหละคือทักษะการพรางตัวขั้นพื้นฐานของเขา
แต่ความพีคจะอยู่ช่วงฤดูฝนหรือฤดูมรสุม เพราะตัวผู้จะ “แปลงร่าง” จากกบสีเรียบ ๆ กลายเป็นกบสีเหลืองสดสะดุดตา แถมยังมีถุงเสียงหรือ Vocal Sacs สีฟ้าน้ำเงินเข้มไปจนถึงม่วง โป่งออกมาสองข้างลำคอ เอาไว้ร้องเรียกตัวเมีย เรียกได้ว่าเป็นฤดูที่กบอินเดียนบูลฟร็อกดูโดดเด่นที่สุด ราวกับแต่งตัวจัดเต็มเพื่อขึ้นเวทีประกวดเลยก็ว่าได้
เรื่องกินนี่ต้องบอกว่า “ไม่เลือก” และ “กินเก่ง” มาก อาหารของมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่แมลงหรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหนู นกขนาดเล็ก งูตัวเล็ก และกบตัวอื่น ๆ ด้วย…ใช่ แม้แต่กบด้วยกันเองก็ไม่เว้น เรียกว่าถ้าเข้าปากได้ ก็ถือว่าเป็นอาหารทั้งนั้น นิสัยแบบนี้ทำให้มันเป็นนักล่าที่น่าจับตามองในระบบนิเวศ
แหล่งที่อยู่อาศัยโปรดของกบชนิดนี้ก็คือพื้นที่ชุ่มน้ำ นาข้าว แอ่งน้ำขัง หรือบริเวณใกล้แหล่งน้ำ มักจะขุดรูหลบซ่อนตัวอยู่แถวนั้น และจะออกหากินเป็นหลักในช่วงเวลากลางคืน ใครเคยเดินทุ่งตอนค่ำ ๆ อาจเคยได้ยินเสียงร้องดัง ๆ แบบไม่รู้ว่ามาจากไหน มีสิทธิ์ว่าเจ้ากบตัวนี้แหละเป็นต้นเสียง
ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของกบอินเดียนบูลฟร็อกอยู่ในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน เนปาล และบังกลาเทศ แต่ปัจจุบันมันไม่ได้อยู่แค่แถบนั้นอีกแล้ว เพราะถูกจัดให้เป็น ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน (Invasive Species) ในหลายพื้นที่ของโลก เช่น หมู่เกาะอันดามัน และมาดากัสการ์
สาเหตุหลักก็เพราะมันขยายพันธุ์เร็วมาก วางไข่ได้ครั้งละเกือบ 6,000 ฟอง แถมยังเป็นนักล่าที่กินสัตว์ท้องถิ่นไม่เลือก ส่งผลให้จำนวนสัตว์พื้นถิ่นลดลง และระบบนิเวศเกิดความไม่สมดุลแบบไม่รู้ตัว
สรุปแล้ว กบอินเดียนบูลฟร็อกเป็นกบที่ทั้งน่าสนใจและน่ากังวลในเวลาเดียวกัน ด้านหนึ่งมันคือสิ่งมีชีวิตที่สะท้อนความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ แต่อีกด้านก็เป็นตัวอย่างชัดเจนของผลกระทบจากการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น ถ้าเรารู้จักและเข้าใจมันมากขึ้น ก็อาจช่วยให้เรามองภาพของระบบนิเวศได้ชัดขึ้นกว่าเดิม 🐸



















