เมืองไทยมีดีอะไรจะไปอวดชาวโลกเขาละ??
สมมุติว่าคุณมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติหรือมีฝรั่งมาถามคุณว่า “คุณคิดว่าประเทศไทยมีอะไรที่อวดชาว
โลกได้บ้าง” ล่ะก็ แน่นอนว่ามีหลายอย่างที่เราอวดชาวต่างชาติ แต่พอดีคุณเป็นพวกโรคจิต ชอบอะไรไม่เหมือนใคร เราไม่อยากตอบว่า “มวยไทย กรุงเทพฯ พระมหากษัตริย์ไทย” มันน่าเบื่อ เบสิคเกินไป แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ความรู้รอบตัวต่ำไม่สามารถตอบอะไรแปลกๆ อยู่ดีว่าเมืองไทยมีอะไรบ้างที่อวดชาวโลกได้ และวันนี้เราได้รวบรวมสิ่งที่ประเทศไทยสามารถอวดชาวโลกได้โดยไม่อายใครได้แล้ว โดยการค้นหาเว็บจัดอันดับจากที่ต่างๆ ว่าอะไรที่มีไทยติดอันดับบ้าง และมันมีอะไรแปลกบ้างนั้นก็มีดังต่อไปนี้
ตัดเจ้าโลกให้เป็ดกิน!!
ด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยหัวข้อพาดข่าวว่า “ผู้หญิงไทยโกรธตัดอวัยวะเพศให้เป็ดกิน” กลายเป็นหัวข้อพาดข่าวในอินเทอร์เน็ตที่เผยแพร่ไปทั่วโลก โดยรายงานว่าสำหรับหญิงไทยแล้วผู้ชายไทยคนไหนมีเมียน้อย บ้านน้อยถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ และมักจะโกรธผู้ชายเจ้าชู้ถึงขั้นตัดอวัยวะเพศสามีของเธอและเอาไปให้เป็ดกิน หรือไม่ก็เอาไปทิ้งส้วมชักโครก
ซึ่งการให้เจ้าโลกให้เป็ดกินนั้นจะเป็นวิธีที่กำลังอวัยวะเพศชายได้หมดจดที่สุด และการกระทำเช่นนี้กำลังกลายเป็นที่นิยมกว้างขวางในหมู่ผู้หญิงไทยที่กำลังหาวิธีแก้แค้นคู่ขาที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพวกเขา (ใครที่คิดจะมีฮาเร็มจงถามเธอก่อนว่ารับได้ไหมเสียก่อนล่ะ?) ซึ่งประเทศไทยมักมีรายงานข่าวทำนองนี่บ่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องชาชินสำหรับคนไทยเสียแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้หมอไทยติดอันดับโลกว่ามีการผ่าตัดเพื่อต่ออวัยวะเพศจำนวนมากเป็นเงาตามตัวด้วย โดยเฉลี่ยไทยมีถึง 70-80 เคส ในขณะที่ประเทศอื่นมีเพียง 3-4 เคส เท่านั้นเอง
รถบัสท่องเที่ยว(รถทัวร์)ของไทย
ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในโลกยานพาหนะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการเดินทางของคุณเสมอ และการแต่งรถถือว่าเป็นงานศิลปะ(??)ที่พบเห็นทั่วไปในบนท้องถนน ที่เป็นสีสันแปลกใหม่สะดุดตาต่อผู้พบเห็น โดยทั่วโลกมีการแต่งรถแปลกๆ ออกไป เช่นใส่สีฉูดฉลาด ใส่ลูกเล่น อุปกรณ์เสริมมากมาย เพื่อให้รถของพวกเขาสะดุดตาชาวบ้าน และรถบัสท่องเที่ยว ของประเทศไทย ติดอันดับ 9 ของโลกในการแต่งรถแปลก ซึ่งสามารถเอาชนะรถบรรทุกญี่ปุ่นได้ โดยรถบัสท่องเที่ยว(รถทัวร์)ของไทยนั้นมักมีการตกแต่งออกแบบเพ้นท์สีที่ฉูดฉาด นอกจากนั้นยังมีการนำตัวละครต่างๆ ที่เป็นตัวการ์ตูนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูนญี่ปุ่น ตัวละครจากเกม หรือแม้แต่ดิสนีย์ใส่ลงในรถบรรทุกแบบไม่ต้องกลัวลิขสิทธิ์ด้วย โดยรถบัสเหล่านี้จะเดินทางไปทั่วประเทศ และสร้างความตื่นตาต่อผู้พบเห็น โดยเฉพาะในกรุงเทพรถบัสดังกล่าวจะมีอยู่จำนวนมากสร้างความตื่นใจแก่นักท่องเที่ยวมายืนไทยทุกครั้ง
จาพนม
ไม่รู้ว่าจะเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยหรือเปล่า หากมันเป็นไปแล้วกับ “โทนี่จ่า” หรือชื่อจริง “ทัชชกร ยีรัมย์” แต่คนไทยรู้จักในชื่อ“จาพนม” มากกว่า โดยเขาติดอับดับ 10 สุดยอดนักแสดงศิลปะต่อสู้ในภาพยนตร์ที่หลายคนไม่รู้จัก” ซึ่งนอกเหนือจาก “เฉินหลง” หรือ “แจ๊ค ลี” แล้วยังมีนักแสดงฉากบู๊ที่มีศิลปะป้องกันตัวมากมายที่ไม่มีใครรู้จัก โดยจ่าพนมติดอันดับ 7 โดยเหตุผลว่าเป็นนักแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ศึกษาศิลปะการต่อสู้ทั้งศาสตร์ตะวันตกและตะวันออก โดยผลงานเรื่องแรกที่ประสบผลสำเร็จคือ “องค์บาก” และ “ต้มยำกุ้ง” และภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องได้ออกฉายไปทั่วโลกหลายประเทศในทวีปเอเชีย, ทวีปอเมริกา, และทวีปยุโรป ตามลำดับ จนสามารถติดบ็อกซ์ออฟฟิซฮอลลีวูดได้สำเร็จ ส่ลผลทำให้เขายังเป็นนักแสดงภาพยนตร์แอ็กชันยอดเยี่ยมที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก จากการจัดอันดับของผู้ชมภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นทั่วโลกตั้งแต่ปี 2003-ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามผลงานระยะหลังของจาพนมไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรทั้งรายได้และคำวิจารณ์ และเราก็หวังว่าผลงานแอ็คชั่นล่าสุดของเขาจะสามารถกู้ศรัทธาชาวไทยกลับคืนมาบ้างไม่มากก็ไม่น้อย
เรือนจำกลางบางขวาง
ไม่รู้ว่าจะอวดชาวโลกได้หรือเปล่า ว่าเรือนจำบางขวางติดอันดับ “เรือนจำอันตรายที่สุดในโลก!!” จากเว็บดังจัดอันดับเรือนจำทั่วโลกถึงอันดับที่ 9 แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการไปคุก แต่มีเรือนจำบางอย่างที่คุณไม่ต้องการจะเข้าจริงๆ และหนึ่งในนั้นคือเรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 136 ไร่ ล้อมกำแพงสูง 6 เมตร มีรั้วไฟฟ้าแรงสูง มีหอคอยพร้อมพลแม่นปืนเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง โดยเรือนจำแห่งนี้แออัดเต็มไปด้วยเหล่านักโทษที่มีความผิดนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ที่มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป จนถึงโทษประหารชีวิต นักโทษต้องถูกตีตรวนตลอดเวลา ปฏิบัติตามกฎของผู้คุมอย่างเคร่งครัด การดูแลรักษาการแพทย์ย่ำแย่มากในเรือนจำแห่งนี้ นอกจากนี้ยังเป็นที่ประหารชีวิตนักโทษด้วยการฉีดยาพิษ จนหลายคนนำมาเปรียบเทียบว่าเหมือนแดนสนธยาที่คนในอยากออก คนนอกไม่อยากเข้า
วัดร่องขุ่น
วัดร่องขุ่น ในจังหวัดเชียงราย ประเทศไทยนั่นติดอันดับวัดที่สวยงามที่สุดในโลก ในขณะที่วัดที่ติดอันดับส่วนจะเป็นวัดเก่ามีประวัติยาวนาน แต่วัดร่องขุนเป็นอันดับเดียวที่ทำขึ้นมาใหม่มาไม่นานมานี้เอง(เริ่มก่อสร้างปี 1997) โดยแตกต่างจากวัดไทยทั่วไปโดยสิ้นเชิง โดยพระอุโบสถตกแต่งด้วยพื้นสีขาว ประดับด้วยกระจกแวววาววิจิตรแปลกตา และมีลายไทยมากมายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าแบบดั่งเดิม ผสมสนานกับศาสนาพุทธและวัดฮินดู ภายในยังมีสัญลักษณ์จากโลกสมัยใหม่และศิลปะวิจิตรงดงาม จุดเด่นคือสะพานทางเข้าที่ข้างสะพานเต็มไปด้วยมือของมนุษย์ที่ยื่นมาขอส่วนบุญที่สอดแทรกคติธรรมการเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิ ซึ่งทั้งหมดเป็นฝีมืออาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ศิลปินคนดังของไทย ที่ได้ต้นแบบการสร้างมาจาก วัดมิ่งเมือง ใน จังหวัดน่าน (นอกเหนือจากนั้นยังมีวัดจากประเทศไทยติดอันดับดังกล่าวด้วย คือวัด วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วของไทยนั่นเอง)
ฝาแฝด อิน-จัน
ฝาแฝดอิน-จัง บังเกอร์ ฝาแฝดตัวดินกันที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกและมรดกศัพท์ “แฝดสยาม” ที่ใช้เรียกทารกตัวติดกัน(ส่วนหน้าอก) ยังกลายเป็นศัพท์ทางการแพทย์จนถึงปัจจุบัน โดยฝาแฝดอิน-จัน เกิดวันที่ 11 พฤษภาคม 1811 ในจังหวัดสมุทรสงคราม เชื้อสายจีน ซึ่งสมัยนั้นไม่มีวิทยาการแพทย์ที่ดีพอที่จะผ่าตัดแยกตัวออกจากกัน ทำให้พี่น้องคู่นี้ต้องใช้ชีวิตตัวติดกันตลอดชีวิต
ต่อมามีชาวอังกฤษคนหนึ่งมาเมืองไทยพบแฝดคู่นี้เข้าด้วยความประหลาดและน่าสนใจ จึงคิดที่จะนำฝาแฝดคู่นี้ไปแสดงโชว์ตัวที่สหรัฐอเมริกา ขณะนั้นอิน-จัน อายุได้ 18 ปีได้ไปเปิดตัวที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และออกเดินทางแสดงทั่วอเมริกาและยุโรปอีกร่วม 10 ปี (เอกสารบางฉบับบอกว่า ไม่ได้เริ่มที่บอสตัน แต่ไปตั้งหลักที่รัฐแคลิฟอร์เนีย) จนมีชื่อเสียงและนำเงินไปตั้งหลักตั้งฐานในรัฐนอร์ทแคโรไลนา พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน โดยมีชื่อว่า เอ็ง-ชาง บังเกอร์และมีลูกมีหลานสืบทอดจนถึงปัจจุบัน
จากบันทึกที่ได้บันทึกไว้ ระบุว่า จัน (คนน้อง) เป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน หุนหันพลันแล่น และชอบดื่มสุราจนเมามาย ขณะที่ อิน (ผู้พี่) กลับมีนิสัยตรงกันข้าม คือ ใจเย็น สุขุมกว่า และไม่ทานเหล้า อีกทั้งทั้งคู่เคยทะเลาะวิวาทจนถึงขั้นชกต่อยกันเองมาแล้วด้วย และจันผู้น้องนิยมดื่มเหล้าจนเมามายบ่อย ๆ ทำให้เป็นโรคหลายโรค จนในวันที่ 17 มกราคม 1874จันก็เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวาย จากนั้นอีกราว 2 ชั่วโมงถัดมา อินก็ได้เสียชีวิตตามไปด้วย ซึ่งจากการชันสูตรและลงความเห็นของแพทย์สมัยใหม่ ระบุว่า อินต้องสูญเสียเม็ดเลือดแดงให้แก่จันที่เสียชีวิตไปแล้ว ผ่านทางเนื้อที่เชื่อมกันที่อก ทั้งคู่เสียชีวิตขณะที่มีอายุได้ 63 ปี
เทศกาลโต๊ะจีนลิงและฟูลมูนปาร์ตี้
หลายเทศกาลของไทยมักติดอันดับต้นๆ ของโลกเสมอ โดยเฉพาะเทศกาลโต๊ะจีนลงและฟูลมูนปาร์ตี้ โดยเทศกาลโต๊ะจีนลิงติดอันดับเทศกาลแปลกของโลกและเป็นเทศกาลแปลกของลพบุรี บริเวณศาลพระกาฬ พระปรางค์สามยอด สาเหตุที่จัดเทศกาลดังกล่าวเนื่องจากต้องการให้พวกลิงอิ่ม ซึ่งสำหรับชาวบ้านแล้วลิงถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ส่วนราชการร่วมมือกับพ่อค้าจัดขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม โดยโต๊ะจีนประกอบด้วยอาหารที่ลิงชอบ บางอย่างก็มีราคาแพง ซึ่งสร้างความแปลกให้แก่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก ส่วนฟูลมูนปาร์ตี้หรืองานฉลอง
พระจันทร์วันเพ็ญ (จัดขึ้นทุกๆ คืนที่พระจันทร์เต็มดวง) ในชายหาดริ้น เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฏร์ธานีนั่นติดอันดับอยู่ในสิ่งที่ควรทำสักครั้งในชีวิต โดยงานฉลองนี้มีจุดเริ่มต้นจากงานฉลองมีจุดเริ่มต้นมาจากการจัดงานเลี้ยงส่งขอบคุณให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวประมาณ 20-30 คนเมื่อปี 1985 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นงานฉลองยิ่งใหญ่ที่มีผู้เข้าร่วมถึง 20,000-30,000 คนต่อครั้ง โดยในงานจะมีดนตรีหลากหลาย บาร์ต้อนรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่พระอาทิตย์ตกไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น และยังเป็นสถานที่พบปะกับบุคลจากทั่วทุกมุมโลก โดยไม่สนเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว แต่อย่างใด
แก๊งสาวประเภทสอง
ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องสาวประเภทสอง สาวเทียม การผ่าตัดแปลงเพศราคาถูกที่รู้จักไปทั่วโลก ในขณะเดียวกันปัญหาอาชญากรรมของไทยก็มีมากมายหลายแสน บางรายก็แปลกประหลาด บ้าๆ บอๆ และเมื่อนำสองสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันก็กลายเป็นเรื่องระดับโลกโดยทันที โดยในเว็บ http://www.cracked.com ได้มีการจัดอันดับ 5 แก๊งแปลกๆ ของโลก โดยอันดับ 4 ตกเป็นของแก๊งสาวประเภทสองในประเทศไทย
หากคุณอ่านหนังสือพิมพ์คุณมักเห็นข่าวแก๊งสาวประเภทสองก่ออาชญากรรมไม่มากก็ไม่น้อย ส่วนมากมักจะมาแนวๆ คล้ายๆ กันคือมอมยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และลักทรัพย์ โดยวิธีมอมยานักท่องเที่ยวนั้นมีมายมายหลายวิธี ไล่ตั้งแต่วิธีธรรมดาใส่ยาลงน้ำดื่ม ไปจนถึงทายาที่หัวนม(กรณีแปลงเพศแล้ว) บางรายถึงขั้นบุกเข้ามาในห้องและจัดการโป๊ะยาเหยื่อเคราะห์ร้ายทันที ซึ่งบางรายถึงขั้นเสียชีวิต โดยส่วนใหญ่แก๊งดังกล่าวมักอยู่ตามกรุงเทพ พัทยา เมืองใหญ่ๆ เป็นหลัก และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองทำให้ตำรวจท่องเที่ยวมักเตือนนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาประเทศไทยว่าอย่ารับอาหารหรือเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้า หรืออยากจูบไม่งั้นคุณอาจถูกมอมยาและรูดทรัพย์ได้
ผลไม้แปลกและอาหารแปลก
ไม่ทราบว่าคุณเคยดูอันดับ “ผลไม้แปลกของโลก” หรือ “ผลไม้รสชาติล้ำลึกที่ไม่มีใครรู้จัก” หรือ “อาหารแปลกของโลกหรือไม่” หลังจากที่ได้ดูพบว่ารายการผลไม้และอาหารส่วนใหญ่ที่ติดอันดับสามารถหากินได้ในประเทศไทยเกือบทั้งสิ้น
เริ่มจากผลไม้แปลก คูณรู้หรือไม่ว่าในขณะที่เรามองผลไม้ของฝรั่งแปลก แต่ฝรั่งกลับเห็นผลไม้เขตร้อนบ้านเราแปลกกว่า ดังนั้น 10 อันดับผลไม้แปลก(เว็บข้างบน) ส่วนใหญ่มักเป็นผลไม้ที่เรารู้จักทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่อันดับ 10 มะระขี้นก, อันดับ 9 แก้วมังกร,อันดับ 8 ทุเรียน, อันดับ 7 ส้มจี๊ด , อันดับ 6 มังคุด, อันดับ 5 มะเฟือง, อันดับ 4 ลิ้นจี่, อันดับ 3 เสาวรส, อันดับ 2 ขนุน และอันดับ 1 เงาะ หรือจะเป็น 10 อันดับผลไม้รสชาติล้ำลึกที่ไม่มีใครรู้จัก ลองกองก็ติดอยู่ในอันดับต้นๆ แม้ว่าไม่ได้มีถิ่นกำเนิดที่เมืองไทยประเทศเดียวแต่สามารถพบเห็นได้ตามตลาดทั่วไปในไทย
ส่วนอาหารแปลกของโลกส่วนมากจะเป็นพวกแมลงทอด ตั๊กแตนทอด สำหรับชาวต่างชาติไม่ได้นิยมทานมากนัก อย่างไรก็ตามยังมีอาหารไทยและเครื่องดื่มแปลกๆ อีกมากที่ฝรั่งไม่เคยเห็น เช่นต้มกบ, งู, ตัวเงินตัวทอง, หนู หรือแม้แต่อาหารที่ทำจากเนื้อสุนัข!!
บั้งไฟพญานาค
สิ่งที่เราอวดชาวต่างชาติได้นอกเหนือจาก มวยไทย, กรุงเทพ พระมหากษัตริย์ได้คงจะเป็นปรากฏการณ์ลึกลับที่เรียกว่า “บั้งไฟพญานาค” แม้ว่าพวกฝรั่งจะมีปรากฏการณ์ดังกล่าวเหมือนๆ กันบ้างในบางประเทศ แต่กระนั้นบั้งไฟพญานาคแตกต่างจากทุกทีเพราะมันน่าพิศวงก็คือมันจะเกิดขึ้นในคืนออกพรรษาของไทยทุกปีไม่มีขาด (ซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย)บั้งไฟพญานาค
เป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดในแม่น้ำโขง ในประเทศไทยจะพบที่จังหวัดหนองคายและจังหวัดบึงกาฬ โดยในจังหวัดหนองคายจะพบที่หน้าวัดไทย และบ้านน้ำเป อำเภอรัตนวาปี วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อำเภอสังคม ส่วนที่จังหวัดบึงกาฬจะพบที่วัดอาฮง อำเภอเมืองบึงกาฬ ในภาคอีสาน) และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (เวียงจันทร์) โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวจะมีลูกบอลเรืองแสงโผล่ขึ้นจากน้ำพุ่งไปยังท้องฟ้า ลูกบอลมีสีแดงและมีขนาดหลากหลายจากขนาดเล็กไปจนถึงบาสเกตบอล โดยจะพุ่งไปอวกาศอย่างรวดเร็วสูงถึงสองร้อยเมตรก่อนที่หายไป โดยจำนวนของบั้งไฟก็แตกต่างกันไปในแต่ละคืน โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 วัน)
และเมื่อฝรั่งถามไทยว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร คนไทยจะตอบว่าพญานาคพ่นไฟไปบนท้องฟ้า ฝรั่ง งง ว่าเจ้าพญานาคคืออะไร คนไทยก็ตอบว่าพญานาคคือสัตว์ในตำนานที่เหมือนปลากับงูมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ฝรั่งก็ตกใจอีกมายก็อต ปลาพ่นไฟได้ แถมปล่อยอย่างกับขีปอาวุธอีก โอ้เหลือเชื่อเลย!!
แน่นอนว่าบั้งไฟพญานาคเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน แม้จะคาดว่าอาจจะเป็นการโผล่พ้นน้ำของก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน หรือ ฟอสฟอรัส ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำก็ตาม ส่วนอีกข้อสมมุติฐานหนึ่งก็คือเกิดการกระทำของมนุษย์เองซึ่งครั้งหนึ่ง ในปี 2002 สถานทีโทรทัศน์ไทยเคยติดตามข่าวว่าเกิดจากทหารลาวจุด แต่อย่างไรข้อสันนิษฐานดังกล่าวทำให้ประชาชนทั่วไปรับไม่ได้ นอกจากนั้นบั้งไฟพญานาคดังกล่าวมีมานานหลายร้อยปี(ก่อนที่ได้รับความนิยมในปี 1990) จึงไม่น่าเป็นฝีมือของมนุษย์ หลายคนเชื่อว่าลูกไฟดังกล่าวเป็นลูกไฟของพญานาคที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวมักมีรายงานการพบเห็นสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายงูปรากฏตัวให้คนอื่นเห็นอยู่เนื่อง ๆ