สายที่ไม่ได้รับ....ในวันนั้นทำฉันเศร้าถึงวันนี้
ตั้งใจจะเขียนอุทาหรณ์สอนใจแก่เพื่อนๆ ค่ะ
เริ่มเรื่องเลย เบอร์แม่..พูดถึงเบอร์นี้เชื่อว่าหลายๆ คนปฎิเสธที่จะรับสายแม่และเราก็เป็น 1 ในนั้น ตอนนั้นคิดว่าแม่จะโทรมาทำไมนักหนาเดี๋ยวก็ได้คุยแล้ว เป็นบ่อยเข้าๆ แม่โทรมาเราก็เลือกที่จะไม่รับสายแล้วโทรกลับไปหาที่หลังเป็นอย่างนี้มาตลอด จนมาถึงวันที่ 5 พฤศจิกา ตอนสองทุ่มกว่าๆ แม่ก็โทรมา เรากำลังทำงานของคณะอยู่เลยไม่ได้รับโทรศัพท์ สัก 10 นาทีเราเห็นว่ามี สายไม่ได้รับคือเบอร์แม่ แล้วเราก็โทรกลับไปหาแม่ แม่ก็โทรมาเล่าชีวิตประจำวันเล่าเรื่องเพื่อนมหาลัยที่ไม่ได้เจอมา 30 กว่าปีให้ฟัง แล้วก็บอกว่าวันนี้รถล้มมา จอดหลบรถแต่รถล้มทับตัวเองปวดขาฝากบอกให้พ่อกลับบ้านด่วน แม่ป่วยหนัก (พ่อมาดูความเป็นอยู่เราที่หอที่มหาลัยชวนแม่มาแต่แม่ไม่มาพ่อก็เลยงอน) แล้วแม่ก็บอกว่าตั้งใจเรียนนะ รีบกลับหอกินข้าวเยอะๆ ถึงหอก็อ่านหนังสือด้วย เราก็โอเคๆๆ เดี๋ยวหนูขอทำงานที่มอให้เสร็จก่อนนะ แม่ก็บอกว่าอย่าลืมกินข้าว เราก็บอกว่าจ้าๆๆ คิดถึงแม่นะ (ไม่ค่อยบอกว่าคิดถึงแม่เลยวันนั้นไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ ก็อยากบอก) แล้วสายก็วางไป
เราก็ทำงานที่มอต่อจนถึง 5 ทุ่มก็ไปกินข้าวกับรุ่นน้องกินเสร็จนั่งวินกลับหอถึงหน้าหอเท่านั้นแหละ ลูกพี่ลูกน้องโทรมาบอกว่าแม่เข้ารพ.อากการหนักมาก รีบกลับเลย เราก็งงแบบเห้ยย อะไรอำป่ะเนี้ย แม่เพิ่งโทรมายังคุยหัวเราะอะไรกันอยู่เลย เรื่องนี้ไม่ตลกนะ พี่:แม่..อาการหนักส่งต่อไปรพ..แล้ว บอกพ่อ..ด้วย
วางสายปุ๊บ โทรหาเบอร์แม่ก่อนเลย คราวนี้น้าเป็นคนรับสาย บอกว่าตอนนี้แม่อยู่รพ..นี้แล้วกำลังเอ็กซเรย์สมองว่ามีเลือดคั่งมั้ย เราก็เลยบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เรากลับนะ ฝากบอกแม่ด้วยวันนี้ไม่มีไฟต์ เดี๋ยวไปตอนเช้าๆ เข้าห้องเสร็จเห็นพ่อนอนอยู่เราก็บอกว่าพ่อ แม่เข้ารพ.นะอาการหนักตอนเช้าจะกลับนะ เราก็อาบน้ำร้องไห้ไป วันนั้นร้องไห้หนักมาก นอนใต้เตียงก็ร้องๆๆ (ให้พ่อนอนบนเตียง)
เวลาตี 4 น้าโทรมาบอกว่าแม่ใส่เครื่องช่วยหายใจแล้วนะ อาการทรุด ยังไม่ฟื้น นี้ก็บ่อน้ำตาแตก รีบปลุกพ่ออาบน้ำเก็บเสื้อผ้า เราเอาเสื้อผ้าไปไม่เยอะคิดว่าแม่ต้องไม่เป็นอะไร เสร็จปุ๊บโบกแท๊กซี่ไปดอนเมืองน้ำตาก็ไหลคิดแต่เรื่องที่ทำไม่ดีกับแม่ คำรักแม่ก็ไม่เคยบอก คิดว่าเดี๋ยวก็ได้บอก แม่ยังอยู่กับเราอีกนาน แม่ไม่เป็นอะไรหรอก นั่งเครื่องบินประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงช่วงนั้นร้องไห้อย่างเดียว พอถึงก็รีบโบกแท็กซี่ในสนามบินไปรพ.ทันที
ถึงรพ.ประมาณ 10 โมง โทรหาน้าให้น้าออกมารับหน้ารพ. พอเดินไปหาแม่เท่านั้นแหละน้ำตาก็ไหลสายออกซิเจน สายน้ำเกลือ สายอาหาร สายสวนสายนั่นนี้เต็มไปหมดเราเดินไปกระซิบบอกแม่ว่ามาถึงแล้วนะพ่อก็มาด้วย หนูทำบุญโน่นนั้นนี้มาฝากแม่นะจับมือแม่ไปพูดไปด้วย สักพักพยาบาลจะพาแม่ไปเอ็กซเรย์สมองอีกรอบ เอ็กซเรย์เสร็จกลับมาได้ประมาณ 10 นาที ช่วงนั้นเราจับมือแม่นั่งข้างเตียงก็มีเสียงติ๊ดๆ ดังขึ้นมา พยาบาลก็มาจับชีพจรคอข้อมือ แล้วก็เรียกพยาบาล พยาบาลที่อยู่ในห้องก็รีบกรูกันออกมา เรารีบโทรตามน้าๆที่ออกไปกินข้าวกลับมา
ช่วงที่ปั้มหัวใจ มันเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดและบีบหัวใจมาก เป็นการปั้มชีวิตที่ยาวนานปั้มหลายคนมาก เรายืนมองร้องไห้ว่าทำไมแม่ถึงเป็นหนักขนาดนี้ สักพักชีพจรก็กลับมา หมอเรียกญาติเข้าไปในห้องชี้แจงความเสี่ยงของการปั้มหัวใจโน้นนั้นนี้ ตอนนี้แม่มีภาวะหัวใจโต น้ำท่วมปอด (ก่อนรักษาแม่บอกหมอว่าเพิ่งตรวจเจอสภาวะหัวใจกับปอดมีจุดทั้งสองข้างและกำลังรอฟังผลตรวจอีก) ความดันต่ำ ถ้าหัวใจหยุดเต้นจะให้ปั้มหัวใจอีกมั้ย ต้องยอมรับผลเสี่ยงนะ ตอนนั้นยอมหมดเลยนะ อะไรก็ตามที่ทำให้แม่ฟื้นเรายอมหมด หัวใจแม่หยุดเต้น 5 รอบปั้มหัวใจ 4 รอบ ครั้งสุดท้ายที่ปั้มมันบีบหัวใจเรามากๆ ปั้มจนเลือดออกทางปาก เราว่าแม่เราคงไม่ไหวแล้ว เราไม่อยากให้แม่ทรมารแล้วเลยบอกกับน้าว่ารอบหน้าไม่ปั้มแล้ว แม่ทนรอจนเพื่อนร่วมงานที่แม่สนิทมากมาหาเป็นคนสุดท้ายแล้วแม่ก็จากไป ตอนนั้นจะร้องไห้น้ำตามันก็ไม่ไหลมันบรรยายไม่ถูก ตลอดเวลาที่จัดงานเข้าใจคนน้ำตาตกในเลยว่าร้องไห้ไม่ออกมันเป็นยังไงพยายามเข้มแข็งมันอ่อนแอมากถึงมากที่สุด
เรื่องนี้ที่เราเขียนเราอยากให้เป็นอุทาหรณ์ เบอร์แม่ที่โทรเข้ามาถ้าพอมีเวลารับสายท่านบ้างเถอะค่ะ บางทีสายนั้นอาจเป็นสายสุดท้ายที่ท่านได้คุยกับเรา คุณอาจจะเสียใจตลอดชีวิตที่ไม่ได้รับสายนั้น
ปล.ผิดพลาดตรงไหนหรือสงสัยหลังไมค์หาเราได้ค่ะเรายินดีตอบ ไม่รู้ว่าต้องแท็กห้องไหนบ้าง เลยเลือกเตือนวัยรุ่นสมัยใหม่ที่มองข้ามคนในครอบครัวมัวแต่สนใจคนที่ทำร้ายจิตใจแล้วหอบน้ำตาไปฝากแม่ ถ้าไม่มีแม่แล้วคุณจะรู้สึก.....