ข้อคิดสะกิดใจพ่อแม่ "ชีวิตจบก่อนวัยของลูกศร" จากละครทรายสีเพลิง
คิดว่าคนอ่านหลายคนอาจจะทราบ ว่าหมอชอบดูฮอร์โมน เพราะเขียนถึงบ่อยมาก อีกเรื่องที่ชอบดูก็ทรายสีเพลิง อันนี้ไม่ได้ดูตอนแรก แต่เพิ่งมาดูตอนหลังๆ แต่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่เด็กๆ ชอบมาก อ่านไปสองรอบ สนุกจริงๆ ให้ข้อคิดดีด้วย โดยเฉพาะการเลี้ยงลูก
มีคุณแม่คนหนึ่งเขียนมาถามว่า ทำไมเด็กคนหนึ่งถึงโตมาเป็นคนใจร้ายแบบทราย นางเอกเรื่อง ทรายสีเพลิง เพราะอะไร อยากให้หมอช่วยวิเคราะห์ให้หน่อย
แต่ขอนิดนึงค่ะคุณแม่ หมออยากเขียนเรื่องลูกศร สาวน้อยผู้อ่อนต่อโลก ลูกศรหัวอ่อน ไม่เข้มแข็ง จิตใจดี เป็นตัวละครที่น่ารักและน่าสงสาร และคนดูเอาใจช่วยเธอมากกว่าเชียร์นางเอกอีก
เธอเพิ่งตายไปเพราะเรือคว่ำ สาเหตุมากจาก ความ เสียใจ เข้าใจผิด ขับเรือหนีคนที่เธอรัก ด้วยความเข้าใจว่า ฌาน(คนที่เธอรัก) นั้นไม่ได้รักเธอจริงๆแต่มาหลอกเธอ
ตกใจ ผิดหวัง ช๊อค เหมือนคนที่ไม่เคยเจอเรื่องร้ายๆ มาก่อน ลูกศรแทบไปไม่เป็น เมื่อต้องผิดหวังครั้งใหญ่ เธอขาดสติจนขับเรือออกไปทั้งๆที่ขับไม่เก่ง และว่ายน้ำไม่เป็น และเธอโชคร้ายที่เรือคว่ำ
ความผิดหวังคราวนี้ นำไปสู่การที่เธอไม่มีโอกาสที่จะมีอนาคตต่อไป ไม่ได้รับรู้ความจริงว่าฌานจริงๆ แล้วก็ไม่ได้หลอกเธอ
ไม่รู้ เพราะเธอไม่ตื่นขึ้นมาอีก
ช่างน่าเศร้า
แล้วเราเรียนรู้อะไรจากเรื่องของลูกศร
ลูกศรเป็นเด็กดี จิตใจงาม แต่สิ่งที่เธอขาดคือความเข้มแข็งทางจิตใจ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนๆหนึ่งผ่านพ้นอุปสรรคในชีวิต
ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ที่สังคมมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้เด็กยุคนี้เผชิญหน้ากับความลำบากน้อยกว่าคนในยุคก่อน ยิ่งพ่อแม่ปัจจุบันที่นิยมมีลูกคนเดียวหรือสองคน การเลี้ยงดูเด็กที่เกิดมาในยุคนี้ก็จะเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ ดูแล และให้ในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ตนเองจะทำได้
ปกติทั่วไปพ่อแม่ทุกคนก็รักและห่วงลูก แต่ยิ่งเป็นพ่อแม่สมัยนี้ที่มีลูกไม่มาก ก็จะมีความคาดหวังที่สูง คิดว่าจะตั้งใจเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ยิ่งรักมาก และยิ่งเป็นห่วงมาก
หมอเคยคุยกับพ่อแม่ที่มีความเป็นห่วงลูกมากๆ จะบอกกับหมอว่าถ้าใครไม่เป็นพ่อแม่คงไม่เข้าใจ บางครั้งไม่อยากให้ลูกลำบาก กลัวลูกจะเป็นอันตราย หรือทุกข์กาย ทุกข์ใจ คงจะเหมือนคุณเสาวณีย์ แม่ของลูกศร เธอรักลูกสาวมาก ปกป้องดูแลใกล้ชิด
ลูกศรเป็นเด็กที่น่าจะโชคดี เธอเหมือนนางฟ้าในบ้าน แต่อีกนัยหนึ่งก็เหมือนนกน้อยในกรงทอง ไม่เคยบินไปเจอโลกกว้าง ไม่เคยผิดหวังกับเรื่องสำคัญๆในชีวิต ปัญหาที่เจอพ่อแม่จะจัดการให้ตลอด แม้แต่สามีในอนาคต แม่ก็จัดแจงเลือกมาให้
พ่อแม่ประเภทแบบคุณเสาวณีย์ พ่อแม่จะคอยปกป้อง เข้าช่วยเหลือ หรือจำกัดพฤติกรรมของลูกมากเกินควร ชนิดที่ว่า ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ทำอะไรทำให้หมด ลูกแทบไม่เคยจะต้องขยับตัวทำอะไรด้วยตัวเอง ลูกศรเติบโตเป็นเด็กที่น่ารัก เป็นผู้หญิงที่ดี แต่คุณแม่เสาว์ ลืมเรื่องบางเรื่องไป
ผลเสียของการปกป้องดูแลมากเกินไป คือ เด็กจะไม่รู้จักแก้ไขปัญหาช่วยตัวเอง บางครั้งขาดความมุ่งมั่นพยายามในเรื่องต่างๆ ไม่กล้า ไม่มั่นใจ ขี้กลัว
นิสัยของเด็กมักเป็นลักษณะไม่ค่อยสู้ ขาดความพยายาม เช่น เมื่อต้องพบอุปสรรคจะละความพยายามได้ง่าย หลายคนจะมีปัญหาในการเรียน เมื่อโตขึ้นก็มีแนวโน้มต้องพึ่งพาคนอื่น ไม่มีความมั่นใจว่าจะทำอะไรได้ เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เป็นเด็ก พ่อแม่ได้คอยช่วยอยู่เสมอ ทำให้ชินกับการช่วยเหลือของคนอื่น แต่ไม่คุ้นเคยเมื่อจะต้องทำอะไรที่ยากลำบากด้วยตัวเอง
เมื่อถึงคราวจำเป็นที่จะต้องทำอะไรเอง เด็กกลุ่มนี้จะมีความวิตกกังวลสูง เพราะไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง มีแนวโน้มที่จะมีภาวะทางจิตเวช เช่น เครียดง่าย นอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึ่มเศร้า ยิ่งเมื่อทำไปแล้วพบว่าไม่ประสบความสำเร็จก็จะมีความอดทนต้องความผิดหวังต่ำ ทำให้อาจจะใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข
แม้ว่าจะรักมากและเป็นห่วงมาก แต่พ่อแม่ต้องระวัง อย่าเป็น พ่อแม่ที่ปกป้องลูกมากเกินไป ควบคุมความคาดหวัง ความวิตกกังวลของเราให้เหมาะสม ที่สำคัญต้องฝึกให้เด็กช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เล็ก พยายามให้เด็กได้ทำอะไรด้วยตนเอง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ พัฒนาการตามวัย การรับประทานอาหารเอง ใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเอง ใส่รองเท้า เมื่อโตขึ้นมาหน่อย ให้เขาได้รับผิดชอบงานเล็กๆน้อยๆในบ้าน เช่น ช่วยแม่พับผ้าห่ม ล้างจาน ล้างแก้ว ตามแต่วัยจะพอทำได้
เมื่อเวลาที่เด็กมีปัญหา เป็นหน้าที่เราที่จะคอยช่วย แต่ก่อนอื่นลองให้แกได้ฝึกคิดแก้ไขปัญหาด้วยตนเองก่อน โดยที่เราคอยเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่ทิ้งให้เด็กแก้ปัญหาลำพัง แน่นอนว่าถ้าแกทำไม่ได้หรือเกินความสามารถเราก็ต้องเข้าไปดูไปช่วยเหลือ ยกตัวอย่าง เช่น เด็กบอกเราว่าหิวน้ำ อยากดื่มน้ำ ให้แม่ไปเอาให้หน่อย แทนที่เราจะไปรินน้ำให้ลูกทันที เราลองให้แกฝึกไปเอาเอง ถ้ายังเด็กก็อาจจะพาไป แม่รินน้ำให้ และให้ทำเท่าที่ทำได้ เป็นต้น
ถ้าเด็กทำได้ในเรื่องต่างๆ แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็อย่าลืมที่จะชมเชย เป็นการให้กำลังใจที่ดีและสำคัญ เด็กจะรู้สึกประสบความสำเร็จแม้จะเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อย ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเริ่มมีความมั่นใจจะทำเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยๆ และนอกจากนั้นก็เป็นภูมิต้านทานที่เขาจะรู้จักความผิดหวังเล็กๆน้อยๆตั้งแต่เด็ก
เมื่อต้องเจอกับเรื่องใหญ่ๆ พลังใจที่เก็บเป็นพื้นฐานจากการที่ได้เคยแก้ปัญหาเล็กที่ผ่านมา ประสบการณ์ที่เคยเจอ จะทำให้เด็กสามารถฝ่าฟันผ่านพ้นปัญหาหนักหนาไปได้ ความรักลูกมากเป็นเรื่องธรรมดา แต่ควรรักอย่างมีสติ อย่าลืมว่าพ่อแม่อย่างเราไม่ได้มีชีวิตยืนยาวอยู่กับลูกไปตลอด ลูกๆ ควรต้องพึ่งตัวเองได้ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ฝึกให้ลูกๆ เข้มแข็งตั้งแต่วันนี้ เป็นภูมิต้านทานทางใจที่สำคัญในการเผชิญโลกกว้างที่ไม่ได้สวยงามหรือสะดวกสบายเหมือนโลกในบ้านที่พ่อแม่ปกป้องและสร้างไว้ให้ พึงระมัดระวังความรักลูกของเราจนทำให้เรากลายเป็นพ่อแม่ที่ปกป้องลูกมากเกินไป
#หมอมินบานเย็น