สลากภัต บุญเดือน ๑๐ (อุทิศบุญแก่ผู้ล่วงลับไป)
บุญข้าวสาก หรือ (สลากภัต)
ประเพณีทำบุญเดือน ๑๐ (ฮีตที่ ๑๐) ในฮีต ๑๒ ของชาวอีสาน
……………………………
๑. บุญข้าวสาก
เป็นชื่อบุญที่ชาวอีสานนิยมเรียก เป็นบุญตามประเพณีหรือฮีตหนึ่งใน ๑๒ ตรงกับสลากภัตในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง การทำบุญที่ถวายไปตามสลาก คือต้องมีการจับใบสลากก่อนจึงมีการถวายทาน คนอีสานทำบุญด้วยเจตนาเพื่อจะอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไป มีระยะการทำห่างจากบุญข้าวประดับดิน ๑๕ วัน โดยกำหนดวันบุญไว้แน่นอน ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี ซึ่งจะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา)
…………………………………………………………………..
๒. เหตุที่มาแห่งการทำบุญ
ประมวลตามความเชื่อในท้องถิ่น ๓ ประการ คือ
ความเชื่อที่ ๑ ชาวบ้านเชื่อว่าบุญข้าวประดับดินเมื่อ ๑๕ วันก่อน เป็นวันแรกที่พระยายมปล่อยสัตว์นรกหรือเปรตมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อรับบุญที่ญาติจะอุทิศให้ พอถึงวันบุญข้าวสากสัตว์นรกหรือเปรตเหล่านั้นก็ถึงกำหนดกลับ ญาติพี่น้องจึงนิยมทำบุญส่งให้ในวันกลับอีกครั้ง ดังสำนวนที่ว่า มาก็รับ กลับก็ส่ง
ความเชื่อที่ ๒ เป็นการทำบุญตามประเพณีในพระพุทธศาสนาซึ่งได้จัดสลากภัตนี้ว่าเป็นสังฆทานประเภทหนึ่ง ซึ่งนิยมถวายตามฤดูกาลที่มีผลไม้ออกใหม่ โดยจะถวายตามสลาก เช่น หน้ามะม่วง ก็เรียกสลากภัตมะม่วง หน้าทุเรียน ก็เรียก สลากภัต ทุเรียน เป็นต้น ซึ่งคงขึ้นอยู่กับสิ่งของที่มีในแต่ละท้องถิ่นเป็นหลักในการใช้ถวายทาน
ความเชื่อที่ ๓ เป็นความเชื่อตามเรื่องราวในพระพุทธศาสนานำมาประยุกต์รวมกับความเชื่อแบบดั้งเดิมของชาวบ้านท้องถิ่นเอง โดยนำมาผูกเล่าเป็นเรื่องราวเดียวสืบต่อกันมา เพื่อเสริมศรัทธาในการทำบุญข้าวสากให้เป็นบุญที่ได้รับการยอมรับทั้งความเชื่อเก่าและใหม่ในชุมชน คือเรื่อง นางกุลธิดา ในคัมภีร์ธรรมบท มีใจความว่า
ครั้งหนึ่ง มีหญิงหม้ายอาศัยอยู่กับลูกชาย ต่อมาได้สู่ขอหญิงสาวให้เป็นภรรยาแก่บุตร เพื่อจะได้มีผู้สืบสกุล แต่ลูกสะใภ้ กลับเป็นหมันไม่สามารถมีลูกได้ หญิงหม้ายจึงหาหญิงสาวอีกหนึ่งคนมาเป็นภรรยารองของลูกชาย (คนในสังคมขณะนั้นคงมีความเชื่อเรื่องภรรยาหลายคนต่างจากปัจจุบัน) ต่อมาเมียหลวงเกิดความอิจฉาเมียน้อยเพราะนางภรรยารองเกิดตั้งครรภ์ จึง วางแผนทำให้เมียน้อยแท้งลูกถึง ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๓ นี้ เมียน้อยถึงกับเสียชีวิต ก่อนตายเมียน้อยรู้ว่าเป็นแผนการของเมียหลวง จึงผูกเวร อาฆาตว่า ขอจองเวรแก้แค้นคืนทุกชาติ
ต่อมา เมียหลวงและเมียน้อยก็วนเวียนแก้แค้นผลัดกันฆ่าและถูกฆ่ามาอีกหลายชาติ จนถึงกาลที่พระพุทธเจ้าได้มาอุบัติ ตรัสรู้และทรงประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี เมียหลวงในอดีตชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อกุลธิดา อาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถีมีสามี เป็นคนต่างเมืองและได้ลูกชายด้วยกันหนึ่งคน เมียน้อยมาเกิดเป็นนางยักษ์ นางยักษ์ยังจองเวรคืออาฆาตกันอยู่ ก็แปลงกายมาเป็นเพื่อนนางกุลธิดาที่อยู่คนละเมืองทำทีมาเยี่ยมและพักอยู่ด้วย ได้โอกาสก็จับลูกนางกุลธิดากินเป็นอาหาร เป็นอย่างนี้ถึง ๒ คน พอคลอดลูกคนที่ ๓ นางกุลธิดา และสามีทราบเรื่องจึงพากันนำลูกหลบหนีจะไปอาศัยที่บ้านเดิมของสามียังต่างเมือง ระหว่างทางนางยักษ์ตามไปจวนจะทัน สองสามีภรรยาจึงพาลูกน้อยหลบเข้าพึ่งพระบารมีพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน ขณะกำลังทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงผลของการมีเวรต่อกัน จนทำให้ทั้งสองฝ่ายเลิกจองเวรกัน หันมาเป็นมิตรเรื่องราวในธรรมบทมีแค่นี้ แต่คนโบราณอีสาน ได้ต่อเติมความเชื่อต่อไปอีก ว่า
นางยักษ์ขอไปอาศัยอยู่ในที่นาของนางกุลธิดา โดยให้ทำที่เฉพาะ คนอีสานเรียก “ตาแฮก” ก่อนนี้ทุกนาจะมีตาแฮก ปัจจุบันมีบ้างแต่ไม่ทั้งหมด โดยจะตอบแทนด้วยการบอกเรื่องน้ำฝนว่าปีใดฝนจะดีเพียงใด ทำให้นางกุลธิดาทำนาตรงตามฤดูกาลได้ผลกว่าคนอื่น เมื่อเพื่อนบ้านทราบเรื่อง จึงมาถามและนิยมทำตาแฮกในที่นาของตน เช่นกัน เพื่อจะให้นางยักษ์มาบันดาลให้นาตนอุดมสมบูรณ์ด้วย ก่อนจะเริ่มลงมือทำนา ก็จะมีการเลี้ยงตาแฮก ดังนางกุลธิดาทำให้นางยักษ์ซึ่งนางยักษ์ก็มีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ไปด้วย นางยักษ์เห็นว่าตนเกิดในภพที่ไม่ดีเพราะไม่มีบุญ จึงคิดทำบุญด้วยข้าวปลาอาหารที่ตนได้รับมา จึง ทำเป็นสลากภัตถวายพระสงฆ์ อันเป็นเหตุให้เกิดความนิยมเชื่อถือ ทำบุญตามความเชื่อนั้นสืบต่อมาจนเป็นประเพณีบุญข้าวสากในปัจจุบัน
สรุปว่า ความเชื่อทั้งสามอย่างนี้ ก็มีในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกันไปบ้างเพราะเป็นการเล่าต่อ ๆ กันมา แต่ความสำคัญนั้น เกือบจะเหมือนกันทั้งหมด คือทำเพื่ออุทิศส่วนบุญให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้วบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัต) นิยมทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบ เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ตายหรือเปรต บางท่านว่าเป็นการทำบุญอุทิศกุศลให้เปรตอีกครั้งหนึ่ง โดยมีเวลาห่างจากเวลาบุญข้าวประดับดิน 15 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เปรตต้องการกลับไป ณ ที่อยู่ของตน ก่อนการทำบุญข้าวสากชาวบ้านจะเตรียมข้าวเม่า ข้าวพอง ข้าวตอก ขนม และอาหารคาวหวานอื่น ๆ ตลอดผลไม้ต่าง ๆ ไว้ทำบุญอย่างคึกคักในวันงาน สำหรับข้าวเม่า ข้าวพองและข้าวตอกนั้น จะคลุกเข้ากันและใส่น้ำอ้อย น้ำตาล ถั่วงา มะพร้าวให้เป็นข้าวสาก (ภาคกลางเรียกว่าข้าวกระยาสารท) แต่บางแห่งข้าวเม่า ข้าวพองและข้างตอกมิได้คลุกเข้าด้วยกันคงแยกไปทำบุญเป็นอย่างๆ ไปตามเดิม เมื่อเตรียมของทำบุญเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านจะเอาข้าวปลาอาหารที่มีอยู่ไปส่งญาติพี่น้องและผู้รักใคร่นับถืออาจส่งก่อนวันทำบุญหรือส่งในวันทำบุญเลยก็ได้ แล้วแต่สะดวก สิ่งของเหล่าสี้มักแลกเปลี่ยนกันมาระหว่างญาติพี่น้องและชาวบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ถือว่าเป็นได้บุญและเป็นการผูกมิตรไมตรีกันไปในตัวด้วย
…………………………………………………………………..
๓. วีธีการทำ
ก่อนจะถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ หนึ่งวัน ชาวบ้านทุกครัวเรือน จะเตรียมสิ่งของเพื่อทำเป็นข้าวสากอยู่ที่บ้านเฉพาะแต่ละครอบครัวต่อ ๑ ชุด (ห่อ) การเตรียมเช่น หาปลาตามท้องนามาปิ้งย่าง หาสบู่ ยาสีฟัน หรือของที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุ สามเณร ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย แต่ที่จะขาดไม่ได้ คือปลาปิ้งหนึ่งตัวหรือหลายตัว ถ้าใครได้ตัวใหญ่กว่าคนอื่น ก็จะยิ้มแย้ม เวลานำไปถวาย โดยเฉพาะสมัยก่อน ก็จะหาเองไม่ได้ซื้อ โดยหาอาหารตามธรรมชาติที่มีเป็นหลัก การเตรียมห่อข้าวสากนี้ บางทีก็ต้องทำในตอนกลางคืนของวันขึ้น๑๔ค่ำนั่นเอง เพราะอาหารจะได้ไม่เสียและกลางคืนจะรวมสมาชิกในครอบครัวร่วมกันทำได้
พอถึงตอนเช้าใน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ประมาณ ๐๗.๐๐น. ชาวบ้านก็จะร่วมกันมาทำบุญตักบาตรที่วัดก่อน เสร็จแล้วก็จะกลับบ้านเพื่อนำเอาห่อข้าวสากที่เตรียมไว้มาที่วัดอีกครั้ง หรือบางคนก็เอามาด้วยไม่กลับก็มีแล้วแต่สะดวก พอได้เวลาประมาณ ๘.๓๐ น. หลังจากทางวัดตีกลองเป็นสัญญาณก่อนนั้นเล็กน้อยให้มารวมกันที่ศาลาเพื่อถวายข้าวสาก ทุกคนจะต้องเขียนชื่อของตนหรือคนในครอบครัว๑ชื่อพร้อมนามสกุล ลงในใบสลากซึ่งทำเป็นกระดาษขนาดกว้างยาวด้านละประมาณ๒นิ้วเขียนชื่อแล้วม้วนกลม ใส่ลงในบาตรหรือภาชนะที่ทายกวัดนำมาให้รวมสลากไว้ก่อนจนครบทุกคน
เมื่อเขียนใบสลากครบแล้ว ทายกจะนำบาตรที่ใส่สลากมาวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์ แจ้งจำนวนสลากทั้งหมดว่ามีจำนวน เท่าใด จากนั้นจึงหักจำนวนสลากออกไว้๒ใบ แต่ไม่นำออกจากบาตร เพื่อนำไปถวายพระพุทธและพระโพธิ์ พระพุทธ คือการถวายบูชาพระพุทธเจ้า เป็นการสมมุติว่าพระสงฆ์ในวันนี้ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
พระโพธิ์ เพราะการที่คนในท้องถิ่นบูชาต้นโพธิ์มาแต่ครั้งโบราณ ถือเป็นต้นไม้ที่ทรงตรัสรู้คู่พระศาสนาชาวบ้าน จึงมีความเชื่อว่าจะทำบุญข้าวสากทั้งทีปีละครั้ง ควรถวายบูชาสองอย่างนี้ เป็นมงคลแก่ตนเองและหมู่บ้าน ตัวอย่างเช่น เดิมมี ๑๕๒ ใบ ก็หักออก ๒ เหลือ ที่พระเณรจะจับ ๑๕๐ ใบ แล้วเอาจำนวนพระเณรทั้งหมดที่มีในวัดมาหาร เช่นมี๖รูปก็เป็น ๑๕๐ หารด้วย๖ ได้จับรูปละ ๒๕ใบถ้าเศษไม่ลงตัวก็ให้ถวายส่วนนั้นแก่พระเถระ (หัวแถว)ตามลำดับลงมาหมดรูปใดก็พอ ซึ่งก่อนถวายทายกจะต้องแจ้งให้พระภิกษุสามเณรและผู้มาร่วมถวายทราบโดยทั่วกัน
จากนั้น จะเริ่มพิธีถวายด้ายการไหว้พระรับศีลแล้วกล่าวคำถวายข้าวสาก เมื่อกล่าวคำถวายจบลง พระสงฆ์จะประกอบพิธีอปโลกน์ข้าวสาก หมายถึง การที่พระสงฆ์จะบอกกติกาการรับถวายข้าวสากว่า ได้เท่าเทียมกันทุกรูป ไม่ว่าพระหรือสามเณร จากนั้น ทายกจะนำบาตรใบสลาก ไปให้ท่านเจ้าอาวาสจับก่อน ๒ใบคือที่หักไว้ เพื่อนำไปถวายพระพุทธ และพระโพธิ์ เมื่อท่านเจ้าอาวาสจับสลาก๒ ใบ ทายกผู้ประกาศ จะเรียกชื่อในสลาก ๒ ใบนั้นว่าคนแรกถวายพระพุทธ ต่อมาถวายพระโพธิ์ ก็จะนำไปถวายบูชาต่อพระประธานและต้นโพธิ์ในวัดต้นใดต้นหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสม
จากนั้น ทายกจะนำบาตรใบสลากน้อมถวายให้พระเณรท่านจับตามลำดับจนครบทุกรูป โดยจำนวนต้องไม่เกินที่แบ่งแจ้งไว้ เมื่อจับสลากครบเสร็จแล้ว ทายกที่มีหน้าที่ประกาศ จะอ่านชื่อในสลากจากรูปแรกจนครบชื่อที่มีแล้วผู้มีชื่อจะนำประเคนถวายข้าวสากจนหมด จึงอ่านและถวายรูปถัดไปเรื่อยจนครบทุกรูป (บางทีอาจจะอ่านคราวละ ๒ รูป สลับกันก็ได้เพื่อไม่ให้เสียเวลานานเกินไป) จนครบหมดแล้ว จากนั้นพระสงฆ์ก็จะอนุโมทนา ทุกคนกรวดน้ำรับพร เป็นเสร็จพิธีระหว่างการอ่านสลาก และถวายนี้ จะเป็นไปด้วยความยินดีและสนุกสนาน เพราะญาติโยมผู้ถวายต้องลุ้นว่าตนจะได้ถวายพระเณรรูปใดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ซึ่งบุญอื่นไม่มี หลังจากถวายข้าวสากเสร็จแล้วจะมีการเทศน์วรรณกรรมอีสาน ๑ เรื่อง เพื่อเป็นการฉลองงานบุญข้าวสาก เกือบตลอดทั้งวัน
…………………………………………………………………..
๔. สาระจากบุญข้าวสาก
๑) เป็นบุญที่เป็นสังฆทานโดยแท้ เพราะการถวายนั้นไม่สามารถเฉพาะเจาะจงรูปใดได้เลย เว้นจากอคติ ๔
๒) แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพระพุทธศาสนากับคนในชนบทอีสานว่าสามารถนำความเชื่อดั้งเดิมมาใช้กับหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาได้อย่างกลมกลืนและไม่ทิ้งสาระด้วย
๓) เป็นบุญที่สะท้อนภาพเกษตรกรชาวนา ไม่ว่าความเชื่อเหตุให้ทำและสิ่งของที่ทำก็นำมาจากธรรมชาติที่ตนมี
๔) เป็นการถ่ายทอดให้ลูกหลานรู้จักการทำบุญ ที่เป็นกระบวนการ การมีส่วนร่วมของคนในครอบครัวอันเป็นสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมประเพณีอย่างกลมกลืนบนวิถีชุมชนอันดีงาม
๕) เท่าที่ปรากฏในภาคอีสาน เป็นประเพณีที่ยังมีความเชื่อศรัทธาร่วมกันของคนในภาคที่มั่นคงมากประเพณีหนึ่งแม้สภาพการประกอบอาชีพทำนาจะเปลี่ยนไป ความเข้าใจเรื่องฟ้าฝนจะเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษ ยังเป็นเครื่องวัดความกตัญญูระดับสายเลือดของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี
…………………………………………………………………..
๕. แนวทางส่งเสริมสืบสาน
๑) ควรนำความเชื่อดั้งเดิมแม้ต่างจากพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาบ้าง มาประยุกต์ใช้จนทำให้เกิดความสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน ให้เป็นวิถีชุมชน จึงค่อย ๆ ซึมแทรกคำสอนที่เป็นแก่นสาระในพระพุทธศาสนาเข้า ไปในทุกครั้ง ที่มีการทำบุญ สุดท้ายก็จะเป็นแนวทางพระพุทธศาสนา ที่ไม่สูญเสียวิถีชุมชนและเกิดความแตกแยก
๒) ไม่ควรมุ่งเน้นรูปแบบจนเกินไป มากกว่าวิถีชีวิตวิถีชุมนของตนจริงๆ เพราะพิธีกรรมที่ไม่กลมกลืนจะทำให้ชุมชนขาดพลังรากฐานภูมิปัญญาตนเอง เพราะประเพณีเหล่านี้มีสาระแฝงอยู่ ความมีคุณค่าก็เพราะคนรู้จักขัดเกลาใช้อย่างชาญฉลาดและเหมาะสมเท่านั้น (ปัญญา)
๓) ชุมชนจะต้องให้มีกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับลูกหลานเยาวชนของชุมชนเอง ซึ่งต้องเป็นไปโดยมีฐาน การถ่ายทอดจากชุมชนเองเป็นหลักและต้องเป็นไปบนวิถีของชุมชน ไม่แยกการถ่ายทอดเรียนรู้ออกมาจากวิถีชีวิต และวิถีชุมชน จึงจะทำให้เกิดจิตสำนึกที่จะรักษาและสืบสานประเพณีอันดีงามภูมิปัญญาของบรรพบุรุษต่อไปไว้ได้ อย่างดีงามและยั่งยืนด้วย
…………………………………………………………………..
๖. ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์
คำถวายสลากภัต
เอตานิ มะยัง ภันเต สะลากะภัตตานิ สะปะริวารานิ อะสุกัฏฐาเน ฐะปิตานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ เอตานิ สะลากะภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัญเจวะ มาตาปิตุอาทีนัญจะ ปิยะชะนานัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ ฯ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย สลากภัตตาหาร พร้อมกับของบริวารซึ่งตั้งไว้ ณ ที่โน้นเหล่านั้น แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ จงรับสะลากะภัตตาหาร พร้อมกับของบริวารเหล่านั้น ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย แก่ปิยะชนทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้นด้วย ตลอดกาลนานเทอญ ฯ
ไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญ
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน
สถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่น
จีน ไฟเขียว ให้ไทย ถล่มรังแก๊งสแกมเมอร์
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
แฉเรือทุนไทยขายน้ำมันให้เขมร อดีต สว ประกาศ เตือน ทัพเรือสั่ง 'จมเรือ' ได้ทันที เพราะประกาศกฎอัยการศึก
ถล่มอุโมงค์ลับ เนิน 350 ทัพฟ้าส่ง F-16 เสิร์ฟไข่ 6 รอบติด
วอลเลย์บอลชายไทย เฉือนชนะ อินโด คว้าทองซีเกมส์ในรอบ 8 ปี
เลขเด็ด "หวยปฏิทินจีน" งวดวันที่ 2 มกราคม 69..คอหวยอย่าพลาด!
เลขเด็ด "คำชะโนด (ปกเขียว)" งวดวันที่ 2 มกราคม 69 มาแล้ว!..ส่องเลย เลขไหนมาแรง!!
ไฟในอย่าน่าออก ไฟนอกอย่าน่าเข้า
หุ้น Facebook ลงเกือบ 30% ในคืนเดียว
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีให้คะแนนไทยในการจัดซีเกมส์ 100 เต็ม 10 พร้อมส่งกำลังใจถึงทีมชาติช้างศึกหลังพลาดเหรียญทอง
เลขเด็ด "คำชะโนด (ปกเขียว)" งวดวันที่ 2 มกราคม 69 มาแล้ว!..ส่องเลย เลขไหนมาแรง!!
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน







