หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

สลากภัต บุญเดือน ๑๐ (อุทิศบุญแก่ผู้ล่วงลับไป)

โพสท์โดย Monike

 

 

บุญข้าวสาก หรือ (สลากภัต)

ประเพณีทำบุญเดือน ๑๐ (ฮีตที่ ๑๐) ในฮีต ๑๒ ของชาวอีสาน

…………………………… 

. บุญข้าวสาก

          เป็นชื่อบุญที่ชาวอีสานนิยมเรียก เป็นบุญตามประเพณีหรือฮีตหนึ่งใน ๑๒ ตรงกับสลากภัตในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง การทำบุญที่ถวายไปตามสลาก คือต้องมีการจับใบสลากก่อนจึงมีการถวายทาน คนอีสานทำบุญด้วยเจตนาเพื่อจะอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไป มีระยะการทำห่างจากบุญข้าวประดับดิน ๑๕ วัน โดยกำหนดวันบุญไว้แน่นอน ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี ซึ่งจะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา)

…………………………………………………………………..

. เหตุที่มาแห่งการทำบุญ  

          ประมวลตามความเชื่อในท้องถิ่น ๓ ประการ  คือ

          ความเชื่อที่ ๑ ชาวบ้านเชื่อว่าบุญข้าวประดับดินเมื่อ ๑๕ วันก่อน เป็นวันแรกที่พระยายมปล่อยสัตว์นรกหรือเปรตมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อรับบุญที่ญาติจะอุทิศให้ พอถึงวันบุญข้าวสากสัตว์นรกหรือเปรตเหล่านั้นก็ถึงกำหนดกลับ ญาติพี่น้องจึงนิยมทำบุญส่งให้ในวันกลับอีกครั้ง ดังสำนวนที่ว่า มาก็รับ กลับก็ส่ง

          ความเชื่อที่ ๒ เป็นการทำบุญตามประเพณีในพระพุทธศาสนาซึ่งได้จัดสลากภัตนี้ว่าเป็นสังฆทานประเภทหนึ่ง ซึ่งนิยมถวายตามฤดูกาลที่มีผลไม้ออกใหม่ โดยจะถวายตามสลาก เช่น หน้ามะม่วง ก็เรียกสลากภัตมะม่วง หน้าทุเรียน ก็เรียก สลากภัต  ทุเรียน เป็นต้น ซึ่งคงขึ้นอยู่กับสิ่งของที่มีในแต่ละท้องถิ่นเป็นหลักในการใช้ถวายทาน

          ความเชื่อที่ ๓  เป็นความเชื่อตามเรื่องราวในพระพุทธศาสนานำมาประยุกต์รวมกับความเชื่อแบบดั้งเดิมของชาวบ้านท้องถิ่นเอง โดยนำมาผูกเล่าเป็นเรื่องราวเดียวสืบต่อกันมา เพื่อเสริมศรัทธาในการทำบุญข้าวสากให้เป็นบุญที่ได้รับการยอมรับทั้งความเชื่อเก่าและใหม่ในชุมชน คือเรื่อง นางกุลธิดา ในคัมภีร์ธรรมบท มีใจความว่า

          ครั้งหนึ่ง มีหญิงหม้ายอาศัยอยู่กับลูกชาย ต่อมาได้สู่ขอหญิงสาวให้เป็นภรรยาแก่บุตร เพื่อจะได้มีผู้สืบสกุล แต่ลูกสะใภ้ กลับเป็นหมันไม่สามารถมีลูกได้  หญิงหม้ายจึงหาหญิงสาวอีกหนึ่งคนมาเป็นภรรยารองของลูกชาย (คนในสังคมขณะนั้นคงมีความเชื่อเรื่องภรรยาหลายคนต่างจากปัจจุบัน) ต่อมาเมียหลวงเกิดความอิจฉาเมียน้อยเพราะนางภรรยารองเกิดตั้งครรภ์  จึง วางแผนทำให้เมียน้อยแท้งลูกถึง ๓ ครั้ง  ครั้งที่ ๓ นี้ เมียน้อยถึงกับเสียชีวิต ก่อนตายเมียน้อยรู้ว่าเป็นแผนการของเมียหลวง จึงผูกเวร อาฆาตว่า ขอจองเวรแก้แค้นคืนทุกชาติ

          ต่อมา เมียหลวงและเมียน้อยก็วนเวียนแก้แค้นผลัดกันฆ่าและถูกฆ่ามาอีกหลายชาติ จนถึงกาลที่พระพุทธเจ้าได้มาอุบัติ ตรัสรู้และทรงประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี เมียหลวงในอดีตชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อกุลธิดา อาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถีมีสามี เป็นคนต่างเมืองและได้ลูกชายด้วยกันหนึ่งคน เมียน้อยมาเกิดเป็นนางยักษ์ นางยักษ์ยังจองเวรคืออาฆาตกันอยู่ ก็แปลงกายมาเป็นเพื่อนนางกุลธิดาที่อยู่คนละเมืองทำทีมาเยี่ยมและพักอยู่ด้วย  ได้โอกาสก็จับลูกนางกุลธิดากินเป็นอาหาร เป็นอย่างนี้ถึง ๒ คน  พอคลอดลูกคนที่ ๓ นางกุลธิดา และสามีทราบเรื่องจึงพากันนำลูกหลบหนีจะไปอาศัยที่บ้านเดิมของสามียังต่างเมือง ระหว่างทางนางยักษ์ตามไปจวนจะทัน  สองสามีภรรยาจึงพาลูกน้อยหลบเข้าพึ่งพระบารมีพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน ขณะกำลังทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงผลของการมีเวรต่อกัน จนทำให้ทั้งสองฝ่ายเลิกจองเวรกัน หันมาเป็นมิตรเรื่องราวในธรรมบทมีแค่นี้ แต่คนโบราณอีสาน ได้ต่อเติมความเชื่อต่อไปอีก ว่า

          นางยักษ์ขอไปอาศัยอยู่ในที่นาของนางกุลธิดา โดยให้ทำที่เฉพาะ คนอีสานเรียก “ตาแฮก” ก่อนนี้ทุกนาจะมีตาแฮก ปัจจุบันมีบ้างแต่ไม่ทั้งหมด  โดยจะตอบแทนด้วยการบอกเรื่องน้ำฝนว่าปีใดฝนจะดีเพียงใด ทำให้นางกุลธิดาทำนาตรงตามฤดูกาลได้ผลกว่าคนอื่น เมื่อเพื่อนบ้านทราบเรื่อง จึงมาถามและนิยมทำตาแฮกในที่นาของตน เช่นกัน เพื่อจะให้นางยักษ์มาบันดาลให้นาตนอุดมสมบูรณ์ด้วย ก่อนจะเริ่มลงมือทำนา ก็จะมีการเลี้ยงตาแฮก ดังนางกุลธิดาทำให้นางยักษ์ซึ่งนางยักษ์ก็มีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ไปด้วย นางยักษ์เห็นว่าตนเกิดในภพที่ไม่ดีเพราะไม่มีบุญ จึงคิดทำบุญด้วยข้าวปลาอาหารที่ตนได้รับมา จึง ทำเป็นสลากภัตถวายพระสงฆ์   อันเป็นเหตุให้เกิดความนิยมเชื่อถือ ทำบุญตามความเชื่อนั้นสืบต่อมาจนเป็นประเพณีบุญข้าวสากในปัจจุบัน 

          สรุปว่า ความเชื่อทั้งสามอย่างนี้ ก็มีในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกันไปบ้างเพราะเป็นการเล่าต่อ ๆ กันมา แต่ความสำคัญนั้น เกือบจะเหมือนกันทั้งหมด คือทำเพื่ออุทิศส่วนบุญให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้วบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัต) นิยมทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบ เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ตายหรือเปรต บางท่านว่าเป็นการทำบุญอุทิศกุศลให้เปรตอีกครั้งหนึ่ง โดยมีเวลาห่างจากเวลาบุญข้าวประดับดิน 15 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เปรตต้องการกลับไป ณ ที่อยู่ของตน ก่อนการทำบุญข้าวสากชาวบ้านจะเตรียมข้าวเม่า ข้าวพอง ข้าวตอก ขนม และอาหารคาวหวานอื่น ๆ ตลอดผลไม้ต่าง ๆ  ไว้ทำบุญอย่างคึกคักในวันงาน สำหรับข้าวเม่า ข้าวพองและข้าวตอกนั้น จะคลุกเข้ากันและใส่น้ำอ้อย น้ำตาล ถั่วงา มะพร้าวให้เป็นข้าวสาก (ภาคกลางเรียกว่าข้าวกระยาสารท) แต่บางแห่งข้าวเม่า ข้าวพองและข้างตอกมิได้คลุกเข้าด้วยกันคงแยกไปทำบุญเป็นอย่างๆ ไปตามเดิม เมื่อเตรียมของทำบุญเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านจะเอาข้าวปลาอาหารที่มีอยู่ไปส่งญาติพี่น้องและผู้รักใคร่นับถืออาจส่งก่อนวันทำบุญหรือส่งในวันทำบุญเลยก็ได้ แล้วแต่สะดวก สิ่งของเหล่าสี้มักแลกเปลี่ยนกันมาระหว่างญาติพี่น้องและชาวบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ถือว่าเป็นได้บุญและเป็นการผูกมิตรไมตรีกันไปในตัวด้วย

…………………………………………………………………..

 

๓. วีธีการทำ

          ก่อนจะถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ หนึ่งวัน ชาวบ้านทุกครัวเรือน จะเตรียมสิ่งของเพื่อทำเป็นข้าวสากอยู่ที่บ้านเฉพาะแต่ละครอบครัวต่อ ๑ ชุด (ห่อ) การเตรียมเช่น หาปลาตามท้องนามาปิ้งย่าง หาสบู่ ยาสีฟัน หรือของที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุ สามเณร ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย แต่ที่จะขาดไม่ได้ คือปลาปิ้งหนึ่งตัวหรือหลายตัว ถ้าใครได้ตัวใหญ่กว่าคนอื่น ก็จะยิ้มแย้ม เวลานำไปถวาย โดยเฉพาะสมัยก่อน ก็จะหาเองไม่ได้ซื้อ โดยหาอาหารตามธรรมชาติที่มีเป็นหลัก การเตรียมห่อข้าวสากนี้ บางทีก็ต้องทำในตอนกลางคืนของวันขึ้น๑๔ค่ำนั่นเอง เพราะอาหารจะได้ไม่เสียและกลางคืนจะรวมสมาชิกในครอบครัวร่วมกันทำได้

          พอถึงตอนเช้าใน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ประมาณ ๐๗.๐๐น. ชาวบ้านก็จะร่วมกันมาทำบุญตักบาตรที่วัดก่อน เสร็จแล้วก็จะกลับบ้านเพื่อนำเอาห่อข้าวสากที่เตรียมไว้มาที่วัดอีกครั้ง หรือบางคนก็เอามาด้วยไม่กลับก็มีแล้วแต่สะดวก พอได้เวลาประมาณ ๘.๓๐ น. หลังจากทางวัดตีกลองเป็นสัญญาณก่อนนั้นเล็กน้อยให้มารวมกันที่ศาลาเพื่อถวายข้าวสาก ทุกคนจะต้องเขียนชื่อของตนหรือคนในครอบครัว๑ชื่อพร้อมนามสกุล ลงในใบสลากซึ่งทำเป็นกระดาษขนาดกว้างยาวด้านละประมาณ๒นิ้วเขียนชื่อแล้วม้วนกลม ใส่ลงในบาตรหรือภาชนะที่ทายกวัดนำมาให้รวมสลากไว้ก่อนจนครบทุกคน

          เมื่อเขียนใบสลากครบแล้ว ทายกจะนำบาตรที่ใส่สลากมาวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์ แจ้งจำนวนสลากทั้งหมดว่ามีจำนวน เท่าใด จากนั้นจึงหักจำนวนสลากออกไว้๒ใบ แต่ไม่นำออกจากบาตร เพื่อนำไปถวายพระพุทธและพระโพธิ์  พระพุทธ  คือการถวายบูชาพระพุทธเจ้า เป็นการสมมุติว่าพระสงฆ์ในวันนี้ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

          พระโพธิ์ เพราะการที่คนในท้องถิ่นบูชาต้นโพธิ์มาแต่ครั้งโบราณ ถือเป็นต้นไม้ที่ทรงตรัสรู้คู่พระศาสนาชาวบ้าน จึงมีความเชื่อว่าจะทำบุญข้าวสากทั้งทีปีละครั้ง ควรถวายบูชาสองอย่างนี้  เป็นมงคลแก่ตนเองและหมู่บ้าน ตัวอย่างเช่น เดิมมี ๑๕๒ ใบ ก็หักออก ๒ เหลือ ที่พระเณรจะจับ ๑๕๐ ใบ แล้วเอาจำนวนพระเณรทั้งหมดที่มีในวัดมาหาร เช่นมี๖รูปก็เป็น ๑๕๐ หารด้วย๖ ได้จับรูปละ ๒๕ใบถ้าเศษไม่ลงตัวก็ให้ถวายส่วนนั้นแก่พระเถระ (หัวแถว)ตามลำดับลงมาหมดรูปใดก็พอ ซึ่งก่อนถวายทายกจะต้องแจ้งให้พระภิกษุสามเณรและผู้มาร่วมถวายทราบโดยทั่วกัน

          จากนั้น จะเริ่มพิธีถวายด้ายการไหว้พระรับศีลแล้วกล่าวคำถวายข้าวสาก เมื่อกล่าวคำถวายจบลง พระสงฆ์จะประกอบพิธีอปโลกน์ข้าวสาก หมายถึง การที่พระสงฆ์จะบอกกติกาการรับถวายข้าวสากว่า ได้เท่าเทียมกันทุกรูป  ไม่ว่าพระหรือสามเณร  จากนั้น ทายกจะนำบาตรใบสลาก ไปให้ท่านเจ้าอาวาสจับก่อน ๒ใบคือที่หักไว้ เพื่อนำไปถวายพระพุทธ และพระโพธิ์ เมื่อท่านเจ้าอาวาสจับสลาก๒ ใบ  ทายกผู้ประกาศ  จะเรียกชื่อในสลาก ๒ ใบนั้นว่าคนแรกถวายพระพุทธ  ต่อมาถวายพระโพธิ์ ก็จะนำไปถวายบูชาต่อพระประธานและต้นโพธิ์ในวัดต้นใดต้นหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสม

          จากนั้น ทายกจะนำบาตรใบสลากน้อมถวายให้พระเณรท่านจับตามลำดับจนครบทุกรูป โดยจำนวนต้องไม่เกินที่แบ่งแจ้งไว้  เมื่อจับสลากครบเสร็จแล้ว  ทายกที่มีหน้าที่ประกาศ จะอ่านชื่อในสลากจากรูปแรกจนครบชื่อที่มีแล้วผู้มีชื่อจะนำประเคนถวายข้าวสากจนหมด จึงอ่านและถวายรูปถัดไปเรื่อยจนครบทุกรูป (บางทีอาจจะอ่านคราวละ ๒ รูป สลับกันก็ได้เพื่อไม่ให้เสียเวลานานเกินไป) จนครบหมดแล้ว จากนั้นพระสงฆ์ก็จะอนุโมทนา ทุกคนกรวดน้ำรับพร  เป็นเสร็จพิธีระหว่างการอ่านสลาก  และถวายนี้ จะเป็นไปด้วยความยินดีและสนุกสนาน เพราะญาติโยมผู้ถวายต้องลุ้นว่าตนจะได้ถวายพระเณรรูปใดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ซึ่งบุญอื่นไม่มี หลังจากถวายข้าวสากเสร็จแล้วจะมีการเทศน์วรรณกรรมอีสาน ๑ เรื่อง เพื่อเป็นการฉลองงานบุญข้าวสาก เกือบตลอดทั้งวัน

…………………………………………………………………..

 

. สาระจากบุญข้าวสาก

          ๑) เป็นบุญที่เป็นสังฆทานโดยแท้ เพราะการถวายนั้นไม่สามารถเฉพาะเจาะจงรูปใดได้เลย เว้นจากอคติ ๔

          ๒) แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพระพุทธศาสนากับคนในชนบทอีสานว่าสามารถนำความเชื่อดั้งเดิมมาใช้กับหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาได้อย่างกลมกลืนและไม่ทิ้งสาระด้วย

          ๓) เป็นบุญที่สะท้อนภาพเกษตรกรชาวนา ไม่ว่าความเชื่อเหตุให้ทำและสิ่งของที่ทำก็นำมาจากธรรมชาติที่ตนมี

          ๔) เป็นการถ่ายทอดให้ลูกหลานรู้จักการทำบุญ ที่เป็นกระบวนการ การมีส่วนร่วมของคนในครอบครัวอันเป็นสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมประเพณีอย่างกลมกลืนบนวิถีชุมชนอันดีงาม

          ๕) เท่าที่ปรากฏในภาคอีสาน เป็นประเพณีที่ยังมีความเชื่อศรัทธาร่วมกันของคนในภาคที่มั่นคงมากประเพณีหนึ่งแม้สภาพการประกอบอาชีพทำนาจะเปลี่ยนไป ความเข้าใจเรื่องฟ้าฝนจะเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษ ยังเป็นเครื่องวัดความกตัญญูระดับสายเลือดของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี

…………………………………………………………………..

 

. แนวทางส่งเสริมสืบสาน

          ๑) ควรนำความเชื่อดั้งเดิมแม้ต่างจากพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาบ้าง  มาประยุกต์ใช้จนทำให้เกิดความสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน ให้เป็นวิถีชุมชน จึงค่อย ๆ ซึมแทรกคำสอนที่เป็นแก่นสาระในพระพุทธศาสนาเข้า ไปในทุกครั้ง ที่มีการทำบุญ สุดท้ายก็จะเป็นแนวทางพระพุทธศาสนา ที่ไม่สูญเสียวิถีชุมชนและเกิดความแตกแยก

          ๒) ไม่ควรมุ่งเน้นรูปแบบจนเกินไป มากกว่าวิถีชีวิตวิถีชุมนของตนจริงๆ เพราะพิธีกรรมที่ไม่กลมกลืนจะทำให้ชุมชนขาดพลังรากฐานภูมิปัญญาตนเอง  เพราะประเพณีเหล่านี้มีสาระแฝงอยู่ ความมีคุณค่าก็เพราะคนรู้จักขัดเกลาใช้อย่างชาญฉลาดและเหมาะสมเท่านั้น (ปัญญา)

          ๓) ชุมชนจะต้องให้มีกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับลูกหลานเยาวชนของชุมชนเอง ซึ่งต้องเป็นไปโดยมีฐาน การถ่ายทอดจากชุมชนเองเป็นหลักและต้องเป็นไปบนวิถีของชุมชน ไม่แยกการถ่ายทอดเรียนรู้ออกมาจากวิถีชีวิต และวิถีชุมชน  จึงจะทำให้เกิดจิตสำนึกที่จะรักษาและสืบสานประเพณีอันดีงามภูมิปัญญาของบรรพบุรุษต่อไปไว้ได้ อย่างดีงามและยั่งยืนด้วย

…………………………………………………………………..

 

. ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์

คำถวายสลากภัต

          เอตานิ  มะยัง  ภันเต  สะลากะภัตตานิ  สะปะริวารานิ  อะสุกัฏฐาเน  ฐะปิตานิ  ภิกขุสังฆัสสะ  โอโณชะยามะ  สาธุ  โน  ภันเต  ภิกขุสังโฆ  เอตานิ  สะลากะภัตตานิ  สะปะริวารานิ  ปะฏิคคัณหาตุ  อัมหากัญเจวะ  มาตาปิตุอาทีนัญจะ  ปิยะชะนานัง  ทีฆะรัตตัง  หิตายะ  สุขายะ ฯ

          ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ  ข้าพเจ้าทั้งหลาย  ขอน้อมถวาย  สลากภัตตาหาร  พร้อมกับของบริวารซึ่งตั้งไว้  ณ ที่โน้นเหล่านั้น  แก่พระภิกษุสงฆ์  ขอพระภิกษุสงฆ์  จงรับสะลากะภัตตาหาร  พร้อมกับของบริวารเหล่านั้น  ของข้าพเจ้าทั้งหลาย  เพื่อประโยชน์  เพื่อความสุข  แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย  แก่ปิยะชนทั้งหลาย  มีมารดาบิดาเป็นต้นด้วย ตลอดกาลนานเทอญ ฯ

 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Monike's profile


โพสท์โดย: Monike
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
12 VOTES (4/5 จาก 3 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวนเครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี! คลังเร่งประชาชนใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” ภายใน 19 ธ.ค. นี้ หนุนร้านค้าชุมชนรับเงินเพิ่ม 2,000 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญแฉเรือทุนไทยขายน้ำมันให้เขมร อดีต สว ประกาศ เตือน ทัพเรือสั่ง 'จมเรือ' ได้ทันที เพราะประกาศกฎอัยการศึกคลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติชาวบ้านรู้! เพจดังแฉบ่อนพนันสารคาม เปิดเล่นโจ๋งครึ่ม 3 วันแล้ว ไม่กลัวกฎหมายถล่มอุโมงค์ลับ เนิน 350 ทัพฟ้าส่ง F-16 เสิร์ฟไข่ 6 รอบติดวอลเลย์บอลชายไทย เฉือนชนะ อินโด คว้าทองซีเกมส์ในรอบ 8 ปีไฟในอย่าน่าออก ไฟนอกอย่าน่าเข้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า หากไม่ลงทะเบียน ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ เริ่ม 20 ธ.ค.- 5 ม.ค. 69
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
หุ้น Facebook ลงเกือบ 30% ในคืนเดียวอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีให้คะแนนไทยในการจัดซีเกมส์ 100 เต็ม 10 พร้อมส่งกำลังใจถึงทีมชาติช้างศึกหลังพลาดเหรียญทองเลขเด็ด "คำชะโนด (ปกเขียว)" งวดวันที่ 2 มกราคม 69 มาแล้ว!..ส่องเลย เลขไหนมาแรง!!ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวนคลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติ
ตั้งกระทู้ใหม่