บอกครูมาสิ ทำไมเธอต้องมานั่งหลับเวลาเรียน?
ตอนกลางวัน ผมยืนเป็นครูจราจรอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ปกครองที่มารับเด็ก ป.1 แม่ของจัวซินหย่งหิ้วปิ่นโตข้าวรออยู่หน้าประตูโรงเรียน ผมเลยตะโกนเรียก สีหน้าของเธอรู้สึกจะไม่ค่อยสบายใจนัก
“คุณครูคะ!”
“นี่คุณครับ ผมไม่ได้บอกคุณเหรอว่าทางโรงเรียนห้ามผู้ปกครองมาส่งข้าวให้นักเรียน? หากผู้ปกครองทุกคนทำเหมือนคุณ เวลานี้หน้าประตูก็มีแต่ผู้ปกครองนะสิ!”
“ทราบแล้วคะๆ”
ผมนึกในใจ รู้แล้วทำไมยังทำอีก รู้ว่าผิดแล้วยังจะทำ
“ทำไมคุณไม่ให้อาหย่งเอาปิ่นโตมาเองละ?”
“ฉันทราบแล้วคะๆ”
คำพูดประโยคนี้ ไม่รู้ว่าผมได้ฟังมาแล้วกี่ร้อยครั้ง แต่ผู้ปกครองหลายๆ คนก็ยังทำอยู่ รวมทั้งแม่ของอาหย่งก็เป็นหนึ่งในนั้น!
อาหย่งเป็นเด็กเงียบๆ พูดน้อย และไม่ค่อยกล้าแสดงออกสักเท่าไหร่
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาหลับในคาบเรียน ผมรู้สึกประหลาดใจมาก จึงเรียกให้ตื่น
“อาหย่ง เธอเป็นอะไร!”
เด็กน้อยได้แต่ยืนขึ้นแบบงงๆ แต่ไม่ยอมพูดอะไร
วันต่อมา ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยอมรับว่าผมทนไม่ไหวแล้ว จึงตะโกนเรียกอาหย่งจากหน้าห้องด้วยเสียงอันดัง
“นี่เธอเป็นอะไร บอกครูสิ!”
ผมถามไปด้วยความโมโห ยอมรับว่าตอนนั้นควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว
อยู่ๆ อาหย่งก็ก้มหน้าลงและร้องไห้ ทำให้ผมตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไหน บอกครูมาสิ ทำไมเธอต้องมานั่งหลับเวลาเรียน?”
“แม่ผมเข้าโรงพยาบาล เมื่อวานผมไปเฝ้าแม่ทั้งคืน!”
ผมได้ฟังถึงกับสะอึกไปครู่หนึ่ง จากความโมโหก็กลายเป็นความเสียใจมาแทนที่
“แม่เธอเป็นอะไรถึงเข้าโรงพยาบาล?”
“หมอบอกว่าแม่เป็นมะเร็งปอดครับ!”
เมื่อผมฟังจบ หัวใจก็ตกไปที่ตาตุ่ม นึกถึงสภาพของอาหย่ง หากวันที่เขาสูญเสียแม่มาถึง เขาจะอยู่ต่อไปยังไง! นึกถึงตรงนี้ผมรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที ตอนกลางวัน ภรรยาของผมกำลังป้อนข้าวให้ลูกสาว ทำให้ผมนึกถึงช่วงที่แม่ของอาหย่งมักจะแอบเอาปิ่นโตข้าวมาส่งอาหย่ง
เย็นวันนั้น ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปเยี่ยมแม่อาหย่งที่โรงพยาบาล
ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่อาทิตย์ แม่ของอาหย่งผมจนหนังหุ้มกระดูก ใบหน้าซูบผอมมีแต่ริ้วรอย ผมบนหัวไม่มีสักเส้น ผมแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือแม่ของอาหย่ง
เมื่อเธอเห็นว่าผมมาเยี่ยม เธอรู้สึกประหลาดใจมาก พยายามพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้เซเอียงไปข้างหนึ่ง
“ไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอกครับๆ”
“คุณครูคะ ขอบ...ขอบคุณคะ!” เธอพูดออกมาด้วยเสียงอันแหบพล่า และดูเหมือนจะร้องไห้ด้วย
ที่ระเบียงทางเดินในโรงพยาบาล พ่อของอาหย่งบอกผมว่า
“เหลือเวลาอีกแค่ 2 เดือนเท่านั้น เฮ้อ! ผมไม่รู้จะทำยังไงดี? ”พูดเสร็จก็เอามือปาดน้ำตา
เมื่อผมกลับไปถึงโรงเรียน ก็ได้รายงานเรื่องนี้ให้อาจารย์ใหญ่ทราบ
“พ่อของเขาอายุ 60 กว่าแล้ว ตอนนี้แม่ก็จะมาจากไปอีก ผมว่าเราช่วยกันระดมทุนได้ไหมครับ ไม่ว่าจะได้มากหรือน้อย อย่างน้อยก็ได้ช่วยครอบครัวของอาหย่ง?” อาจารย์ใหญ่รับปากในทันที
เพียงไม่กี่วัน ยอดเงินช่วยเหลือครอบครับอาหย่งก็ได้มากถึง 260,600 บาท
ในวันที่นำเงินไปมอบให้ที่โรงพยาบาล แม่ของอาหย่งก็ไม่ได้สติแล้ว
“ผมจะพาเมียออกจากโรงพยาบาลวันนี้” พ่อของอาหย่งบอกด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด
ผมได้ฟังก็รู้สึกหายใจขัดขึ้นมาทันที
“ครูครับ ผมขอความช่วยเหลือหน่อยได้ไหมครับ?”
“ว่ามาเลยครับ หากผมทำให้ได้ ผมจะทำให้อย่างเต็มกำลัง!”
“หลายวันมานี้ เมียผมได้แต่จับมืออาหย่งและก็บอกว่า ต่อไปแม่ไม่ได้ส่งข้าวให้ลูกแล้วนะ ผมอยากจะขอให้เมียของผมได้ส่งข้าวให้อาหย่งเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม? เมียผมจะได้ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เพื่อลูกเป็นครั้งสุดท้าย?”
ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกในวินาทีนั้นได้ยังไง ผมได้แต่พยักหน้ารับ
ช่วงกลางวันวันนั้น รถของโรงพยาบาลก็ได้ส่งพ่อและแม่ของอาหย่งมาถึงหน้าประตูโรงเรียน บุรุษพยาบาลและพ่อของอาหย่งช่วยกันเข็นรถที่มีแม่ของอาหย่งนั่งอยู่ใกล้เข้ามาที่ประตู
ผมยืนมองแอบน้ำตาร่วงกับภาพที่เห็น ทำหน้าที่ครูจราจรเหมือนทุกครั้ง
“ถึงแล้ว ถึงแล้ว” เสียงของพ่ออาหย่งดังขึ้น พร้อมกับหยิบห่อข้าวยืนให้เมียของตัวเอง
เมื่อบุรุษพยาบาลเข็นรถเข้ามาใกล้รั้วที่มีมือของอาหย่งยื่นออกมารออยู่แล้ว แม่ของเขาก็ยื่นห่อข้าวด้วยมืออันสั่นเทาให้กับอาหย่งด้วยรอยยิ้มและน้ำตา
อาหย่งร้องไห้รับข้าวห่อจากแม่แล้วก็ตะโกนออกไปว่า
“แม่....”
ผมเห็นรอยยิ้มของแม่อาหย่ง ดูเหมือนเธออยากจะพูดอะไรกับอาหย่ง แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรดังลอดออกจากปากของเธอ
“แม่...... ผมไม่ให้แม่ไปไหน แม่อย่าจากผมไปนะ........”อาหย่งตะโกนเรียกแม่ของตัวเอง
ผมร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร รู้สึกเสียใจที่ใจดำกับแม่ของอาหย่งมาหลายปี
วันรุ่งขึ้น แม่ของอาหย่งก็จากไปอย่างสงบ
หลังจากผ่านงานศพของแม่อาหย่งได้เพียง 1 วัน พ่อของเขาก็หอบเอาถุงสีน้ำตาลมาหาผมที่ห้องพักครู
“ครูครับ นี่คือเงินที่ครูและนักเรียนช่วยครอบครัวผม แต่ผมคิดว่าเงินจำนวนนี้มีคนที่จำเป็นต้องใช้มากกว่าครอบครัวของผม ผมจึงนำมาคืนให้คุณครู ขอบพระคุณมากครับ ที่ช่วยเหลือครอบครัวของเรา!”
พูดเสร็จก็นำถุงเงินนั้นวางไว้ที่โต๊ะ แล้วก็เดินจากไป
ผมมองถุงเงินนั้น มันเหมือนกับถ่านไฟที่ร้อนแรงทาบทับไปที่หัวใจของผมครั้งแล้วครั้งเล่า
ผมพยายามเข้าไปคุยกับอาหย่งทุกช่วงที่มีเวลาว่าง ด้วยเกรงว่าเขาจะเสียใจจนเกินไป
“ครูไม่ต้องห่วงผมนะครับ ผมสบายดี!”
“ผมรู้ตั้งนานแล้วว่าแม่ผมต้องตายในวันหนึ่ง และผมก็ไม่ได้ตั้งใจขัดคำสั่งของครู เรื่องไม่ให้แม่ผมมาส่งข้าวตอนกลางวัน แต่เป็นเพราะมีแค่มื้อกลางวันเท่านั้นที่ผมจะได้กินข้าวฝีมือของแม่ ”
“เพราะอะไร?”ผมถามด้วยความประหลาดใจ
“แม่ผมร่างกายอ่อนแอมาก งานในบ้านพ่อเป็นคนทำหมด แม้แต่เรื่องทำกับข้าวพ่อก็เป็นคนทำ จะมีก็แต่ช่วงกลางวันที่พ่อไม่อยู่บ้านเท่านั้น ที่แม่จะแอบทำกับข้าวได้ และแม่ก็ยืนยันที่จะเอามาส่งผมที่โรงเรียน นี่คือเหตุผลที่แม่ผมไม่ฟังคำเตือนของครูครับ!”
พูดจบ อาหย่งก็ก้มหน้าร้องไห้ ผมก็ได้แต่แอบปาดน้ำตา ผมจะไม่ให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับผมและนักเรียนของผมอีก ผมสัญญากับตัวเองในใจเงียบๆ
ขอบคุณ นุสนธิ์บุคส์