GODZILLA SUITS : ชุดก๊อตซิลล่ากับประติมานวิทยาของราชาสัตว์ประหลาด
พฤษภาคม 14, 2014
เรียบเรียงโดย นรุตม์ โล้กูลประกิจ
60 ปีก่อน (1954) ก๊อตซิลล่าตัวแรกถือกำเนิดขึ้นบนโลกที่ญี่ปุุ่นในฐานะภาพยนตร์เทคนิคพิเศษหรือ “โทคุซัตสึ” 2 ปีต่อจากนั้น (1956) ก๊อตซิลล่าก็ได้ไปอเมริกาด้วยค่าตัวเพียง25,000 ดอลลาร์ แต่ทำกำไรภายหลังออกฉายได้กว่า 2 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว ตั้งแต่นั้นอเมริกาก็รู้จักก๊อตซิลล่า สัตว์ประหลาดที่เป็นภาพตัวแทนความโหดร้ายของระเบิดนิวเคลียร์รวมทั้งโลกก็เริ่มรู้จักมันด้วย (ก๊อตซิลล่ายังเดินทางไปในหลายๆประเทศ อ่านเพิ่มเติมได้ใน Footnote Godzilla : ประวัติศาสตร์-กลายพันธุ์-นิวเคลียร์ เขียนโดย “เลดี้สโตนฮาร์ท”นิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 148,2014 หน้า 36-39)
ทุกวันนี้ก๊อตซิลล่าถือเป็นหนึ่งใน “วัฒนธรรมสมัยนิยม” ของญี่ปุ่น (Japanese Pop culture) ที่แผ่อิทธิพลไปทั่วโลกจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของภาพยนตร์สัตว์ประหลาดญี่ปุ่น (Kaiju) ที่ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนมาเทียบเคียงได้ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของก๊อตซิลล่ากับวัฒนธรรมสมัยนิยมของญี่ปุ่น ได้ในบทความ “ถอดรหัสสัญญะก๊อตซิลล่า (ตอนที่ 2) : ภาพสะท้อนสังคมวัฒนธรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น (ยุคเฮเซ)“ ) และเป็น “ดารา” สัตว์ประหลาดที่ได้ประดับชื่อไว้บน Hollywood Walk of Fame ในปี 2004 ด้วย ซึ่งในบทความฉบับนี้เราจะมาดูกันถึง “รูปแบบ” ของก๊อตซิลล่าที่ปรากฏตัวออกมาในภาพยนตร์ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา
ดวงดาวสลักชื่อก๊อตซิลล่าบน Hollywood Walk of Fame ตรงกับวาระที่ก๊อตซิลล่าครบ 50 ปีพอดี
ประติมานวิทยาของราชาสัตว์ประหลาด
ประติมานวิทยา (Iconography) ปกติเป็นวิชาในการทำความเข้าใจงานศิลปกรรมของฝรั่ง เช่น รูปเคารพต่างๆในลักษณะที่คล้ายกับการถอดรหัสความหมายที่มีอยู่ในรูปเคารพนั้นๆ (ในโลกตะวันออกก็ใช้ประติมานวิทยาในการศึกษารูปเคารพเช่น เทวรูป และพระพุทธรูปต่างๆเช่นเดียวกัน) ในที่นี้เราจะใช้ประติมานวิทยาในการทำความเข้าใจ “ความหมาย” และ “รูปแบบ” ของก๊อตซิลล่าที่ถูกสร้างออกมาในแต่ละภาค ซึ่งเป็นวิธีการศึกษาแบบประยุกต์ในเชิงประวัติศาสตร์ศิลปะเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของ “ชุดก๊อตซิลล่า” (Godzilla Suit) ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลแปลที่เรียบเรียงขึ้นใหม่จากบทความ The Evolution of Godzilla : G-suit variation throughout the Monster King’s twenty-five films เขียนโดย Robert Biondi ตีพิมพ์ในนิตยสาร G-FAN Issue#16 July/August,1995 ประกอบกับข้อมูลใน Wikizilla (ดูเพิ่มเติมได้ในhttp://becominggodzilla.com/official-toho-suits/ และ http://www.historyvortex.org/GodzillaEvolution.html)
ความหมายของรูปลักษณ์ก๊อตซิลล่า
ภายใต้ธีมหลักของสัตว์ประหลาดที่เป็น “ความร้ายกาจของระเบิดนิวเคลียร์ที่มีตัวตน” อากิระ วาตานาเบ้ อาร์ตไดเร็คเตอร์ของภาพยนตร์ก๊อตซิลล่าต้นฉบับ จึงออกแบบให้ก๊อตซิลล่ามีรูปลักษณ์ที่เกิดจากการผสมผสานลักษณะเด่น 5 อย่าง (เลดี้สโตนฮาร์ท, 2014: 38) 1.คือขนาดใหญ่จากไดโนเสาร์นักล่าแห่งยุคจูแรสสิค “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” : ความยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม 2.คือการยืนหลังตรงแบบไดโนเสาร์ “อิกวาโนดอน” : ความสง่างาม 3.คือครีบหลังเพื่อสร้างลักษณะเด่นจากไดโนเสาร์ “สเตโกซอรัส” : จุดเด่น 4.คือหน้าตาแบบสัตว์เลื้อยคลาน “อัลลิเกเตอร์” : ความน่ากลัว และ 5.มีผิวหนังตะปุ่มตะป่ำเป็นเกล็ดแข็งเหมือนกับ “ฮิบัคขึฉะ” (ผู้ประสบภัยจากระเบิดนิวเคลียร์) : บาดแผลจากภัยสงคราม เมื่อรวมเข้ากับเนื้อหาในภาพยนตร์จึงได้ “โกจิหระ” สัตว์ประหลาดจอมทำลายล้างที่มีครีบหลังและมีลมหายใจเป็นระเบิดปรมาณู (ดูที่มาของชื่อโกจิหระและกำเนิดก๊อตซิลล่าได้จากบทความ “ถอดรหัสสัญญะก๊อตซิลล่า (ตอนที่1) : ภาพตัวแทนสงคราม-นิวเคลียร์ในความทรงจำของชาวญี่ปุ่น” )
1.ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์, 2.อิกวาโนดอน, 3.สเตโกซอรัส
4.อัลลิเกเตอร์, 5.ฮิบัคขึฉะกับบาดแผลจากระเบิดนิวเคลียร์
ก๊อตซิลล่าตัวแรกของโลกมีรูปลักษณ์อย่างที่เห็นในภาพยนตร์ภาคแรกที่ออกฉายในปี 1954 และคงความหมายของจอมทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในรายละเอียดปลีกย่อย เราจะเห็นได้ว่าก๊อตซิลล่าในแต่ละภาคจะมีรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามยุคสมัยและเทคนิคในการสร้างที่พัฒนาขึ้น ต่อไปนี้เราจะมาดูกันว่าตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมาก๊อตซิลล่ามีรูปร่างหน้าตาและรายละเอียดปลีกย่อยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
รูปแบบแต่ละช่วงเวลาของราชาสัตว์ประหลาด
แบบที่ 1 : ShodaiGoji : ชุดก๊อตซิลล่าตัวแรกของโลก
ปรากฏตัวใน Godzilla King of the Monsters (1954)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 1 “โชไดก๊อตซิลล่า” หรือก๊อตซิลล่ารุ่นแรก ถือเป็นต้นฉบับของชุดก๊อตซิลล่าเลยก็ว่าได้ มีลักษณะเด่นก็คือ คิ้วหนา, ตากลม, มีหู, ครีบหลังทรงปะการังสามแถวที่ส่ายไปมาเวลาเดิน, มือเล็ก, หางแหลม, มีเขี้ยว, และมีนิ้วมือนิ้วเท้าสี่นิ้ว ในขณะที่ลำตัวของก๊อตซิลล่ารุ่นแรกจะมีลักษณะเป็นทรงสามเหลี่ยมซึ่งจะส่งอิทธิพลทางการออกแบบไปสู่ลำตัวก๊อตซิลล่าในยุคเฮเซ ตั้งแต่ภาค Rebirth of Godzilla ในปี 1984 เป็นต้นไป
แบบที่ 2 :GyakushuGoji (Counterattack Godzilla)
ปรากฏตัวใน Godzilla Raids Again (1955)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 2 “เกียคูชูก๊อตซิลล่า” หรือเค้าเตอร์แอ็ทแท็กก๊อตซิลล่า กลายเป็นก็อตจิที่ถูกมองข้ามไปเพราะมีลักษณะที่คล้ายกับโชไดก๊อตซิลล่ามาก เพียงแค่ปรับให้หุ่นเพรียวกว่าและหัวเล็กกว่าโชไดก๊อตซิลล่าเพื่อความคล่องตัวในการต่อสู้กับแองกิลัส ซึ่งก๊อตซิลล่าภาคที่ 2 นี้ประสบความสำเร็จจนบริษัท Warner Bros. ซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายที่อเมริกาในปี 1959 ในชื่อว่า “Gigantis, The fire Monster” สำหรับชุดก๊อตซิลล่ารูปแบบที่ 2 (TYPE 1955) นี้ ทาง American International Pictures ได้เสนอให้ทาง TOHO ปรับเปลี่ยนดีไซน์เพิ่มเติมซึ่ง TOHO ก็ได้สร้างชุดก๊อตซิลล่าขึ้นมาอีกชุดเป็น TYPE 1957 แต่ไม่ได้ใช้ในการถ่ายทำจริง (จึงไม่นับเป็นรูปแบบที่3) อย่างไรก็ดี ลักษณะชุดก๊อตซิลล่าใหม่ TYPE 1957 นี้มีนิ้วเท้าเพียงแค่สามนิ้วซึ่งจะส่งผลต่อการออกแบบก๊อตซิลล่าในซีรี่ส์ยุคโชวะอีก 7 ปีต่อมาให้มีนิ้วเท้าเพียงแค่ 3 นิ้ว
แบบที่ 3 : KingGoji
ปรากฏตัวใน King Kong vs Godzilla (1962)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 3 “คิงโกจิ” (คิงน่าจะย่อมาจากคิงคอง) นับเป็น “turning pointแรก” ของวิวัฒนาการชุดก๊อตซิล่าที่เปลี่ยนไปจากที่เคยมีมาก่อน (แบบ 1 และ 2) โดยถูกสร้างออกมาให้มีลักษณะเป็นสัตว์เลื้อยคลานและมีความคล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาดคู่ปรับ ชุดแบบที่ 3 นี้จะมีหัวขนาดเล็กและจัดวางตาให้อยู่ด้านข้างเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน มีมือขนาดใหญ่ขึ้นคล้ายกรงเล็บมีสี่นิ้ว นอกจากนี้ชุดคิงโกจิยังมีลักษณะเฉพาะที่จะกลายเป็นแม่แบบของชุดก๊อตซิลล่าจนจบซีรี่ส์ยุคโชวะ (ถึงปี 1975) คือ “ไม่มีหู ไม่มีเขี้ยว และมีนิ้วเท้าแค่สามนิ้ว”
แบบที่ 4 : Mosu(Moth)goji (“The Best classic suit”) : ชุดคลาสสิคก๊อตซิลล่าที่ดูดีที่สุด
ปรากฏตัวใน Godzilla vs the Thing (1964) และ Ghidorah the Three Headed Monster (1964)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 4 “โมสุโกจิ” (โมสุ-มอทร่า) ชุดก๊อตจิเวอร์ชั่นนี้ได้รับยกย่องว่าเป็น “ชุดที่ดีที่สุดของก๊อตซิลล่ายุคโชวะ” (Robert Biondi, 1995) มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวคือ“ลำตัวทรงระฆัง” (bell-shaped Body) โดยมีส่วนหน้าอกที่ไม่เรียบเหมือนชุดก็อตจิรุ่นก่อนๆ มีมือและกรงเล็บที่ดูแข็งแรงจนแทบจะฉีกตึกได้เป็นชิ้นๆรวมทั้งมีการออกแบบหน้าตาให้ดุขึ้นด้วยที่คิ้วหนาและมีนัยน์ตาดุ ซึ่ง “ส่วนลำตัว” ของชุดก๊อตซิลล่าโมสุโกจินี้ได้ถูกใช้เป็นร่างของสัตว์ประหลาดจิราสในอุลตร้าแมนด้วย (Ultraman episode #10, “Secret of the Dinosaur Base”)
แบบที่ 5 : Daisenso (Great War)-Godzilla : ต้นแบบจิราสในอุลตร้าแมน
ปรากฏตัวใน Monster Zero (1965) และ Godzilla vs the Sea Monster (1966)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 5 “ไดเซ็นโสะโกจิ” แตกต่างออกไปจากชุดก่อนหน้านี้ (โมสุโกจิ) ตรงที่ถูกสร้างให้มีหัวที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยทำให้หน้าดูกลมขึ้น และปรับลำตัวให้ผอมลง (คล้ายกระสอบ?) ส่วนมือก็ปรับให้เล็กลงทำให้กรงเล็บดูไม่เป็นกรงเล็บแบบสัตว์เลื้อยคลานแต่คล้ายมือคนมากขึ้น (มือแบบนี้จะใช้ไปจนถึงชุดปี 1984 -Robert Biondi, 1995) สำหรับชุดไดเซ็นโสะโกจินี้ทาง TOHO ได้ออกแบบให้ส่วนแผ่นครีบหลังไปจนถึงหางมีรายละเอียดที่ดีขึ้น รวมทั้งเพิ่มเทคนิคพิเศษให้ก๊อตซิลล่ามีดวงตาที่กรอกไปมาได้ รวมทั้งส่วน “หัว” ของชุดไดเซ็นโสะโกจิถูกนำไปใช้ประกอบกับส่วนลำตัวแบบโมสุโกจิ เพิ่มแผงคอและลวดลายที่ลำตัวจนกลายเป็น “จิราส” สัตว์ประหลาดในอุลตร้าแมน episode #10 ในชื่อตอน “Secret of the Dinosaur Base”
ใช้ส่วนลำตัวของโมสุโกจิและส่วนหัวของไดเซ็นโสะโกจิผสมกันจนออกมาเป็น “จิราส” สัตว์ประหลาดในอุลตร้าแมน
แบบที่ 6 : MusukoGoji (“The worst classic suit”) : ชุดก๊อตซิลล่าที่ขี้เหร่ที่สุด
ปรากฏตัวใน Son of Godzilla (1967)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 6 “มุสุโกะโกจิ” ถูกวิจารณ์ว่าเป็น “ชุดที่ขี้เหร่ที่สุด” (ตรงข้ามกับชุดโมสุโกจิในปี 1964) ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นชุดที่ทำออกมาแล้วก๊อตซิลล่าดูตัวหนาอ้วน คอบวม มือเล็กหยาบ ครีบหลังไม่สวย และที่แย่ที่สุดก็คือหน้าตาประหลาด ใบหน้าสั้นและปากใหญ่เกินขนาด (oversized mouth) มีฟันที่ดูน่าเกลียดรวมทั้งการจัดวางดวงตาที่ไม่เข้าที่เข้าทาง
แบบที่ 7 : SoshingekiGiji (Attack-Godzilla) : ชุดที่ถูกใช้มากที่สุด
ปรากฏตัวใน Destroy All Monsters (1968), Godzilla’s Revenge (1969), Godzilla vs the Smog Monster (1971) และ Godzilla on Monster Island (1972)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 7 “โซชิงเงคิโกจิ” มีลักษณะค่อนข้างคล้ายกับชุดโมสุโกจิปี 1964 แต่จะต่างไปตรงที่มีคอยาวและมีหัวคล้ายกับไดเซ็นโสะก๊อตซิลล่า (หัวจิราส) ข้อสังเกตสำหรับชุดนี้ก็คือมีดวงตาที่ขยับไม่ได้เหมือนชุดก่อนๆ แต่ชุดโซชิงเงคิโกจินี้เป็นชุดก๊อตซิลล่าที่ถูกใช้งานมากที่สุด โดยปรากฏตัวในภาพยนตร์ทั้งสิ้น 4 ภาคด้วยกัน (ปี 1968,1969,1971, และ 1972)
แบบที่ 8 : MegaroGoji : ชุดยอดแย่
ปรากฏตัวใน Godzilla vs Megalon (1973), Godzilla vs the Cosmic Monster (1974) และ The Terror of Mechagodzilla (1975)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 8 “เมกะโรโกจิ” กลายเป็นคู่แข่งที่สูสีกับชุดมุสุโกะก๊อตซิลล่าสำหรับตำแห่ง “ชุดยอดแย่” เมื่อชุดเมกะโรโกจิกลับมามีรูปร่างเพรียว คออ้วนสั้น ครีบหลังไม่สวย คิ้วหนาตาโตจนทำให้ดูหน้าตาไม่เท่และเหมือนกับตุ๊กตาหน้าแบ๊วไปแทน
แบบที่ 9 : 84Goji
ปรากฏตัวใน Rebirth of Godzilla (1984)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 9 “84Goji” 9 ปีต่อมาหลังจากชุดลำดับที่ 8 เมกะโรโกจิถูกวิจารณ์ว่าเป็นชุดยอดแย่ TOHO ได้สร้างชุดก๊อตซิลล่าด้วยเทคนิคใหม่ที่ไม่ได้ขึ้นรูปด้วยมืออีกต่อไป แต่ใช้แม่พิมพ์ในการสร้างแบบด้วย ในชุดลำดับที่ 9 นี้จึงนับเป็น turning pointที่2 ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ชุดก๊อตซิลล่า หลังจากหายไปนานเกือบ 10 ปี เพื่อปลุกตำนานเจ้าแห่งสัตว์ประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง TOHO จึงเลือกใช้รูปแบบของชุดก๊อตซิลล่าต้นตำรับ นั่นคือชุดแบบ ShodaiGoji (First Generation-Godzilla) และใช้หน้าตาของก็อตซิลล่าที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด คือ หน้าตาแบบ Mosugoji มาผสมผสานกันจนทำให้ลักษณะโดยรวมของชุดแบบที่ 9 นี้จะกลับไปเหมือนกับชุดในยุคแรกเริ่ม คือมีเขี้ยว มีนิ้วเท้าสี่นิ้ว มีใบหู และมีครีบหลังที่รายละเอียดดีขึ้นมาก นอกจากนี้ในส่วนของรายละเอียดเช่นขาและหาง เวอร์ชั่นนี้ได้รับคำชมว่าทำส่วนช่วงล่างของลำตัวได้ดีและเป็นเวอร์ชั่นที่มีหางยาวกว่าทุกชุดที่เคยทำมา ในขณะที่สีดวงตามีหลายเลเยอร์ คือมีตาขาวและลูกตาดำในม่านตาสีน้ำตาล รวมทั้งมีเทคนิคพิเศษที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติเทคนิคการทำชุดที่แตกต่างไปจาคยุคก่อนก็คือริมฝีปากบนของก๊อตซิลล่าชุดนี้สามารถขยับขึ้นได้เวลาคำราม
แบบที่ 10 : BioGji, GhidoGoji
ปรากฏตัวใน Godzilla vs. Biollante (1989) และ Godzilla vs. King Ghidorah (1991)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 10 Bio-GhidoGoji 5 ปีต่อมาหลังจากราชันสัตว์ประหลาดหวนคืนบัลลังก์ในรูปแบบที่เปลี่ยนไป (ชุด 84Goji ที่กลับไปยึดรายละเอียดของก๊อตซิลล่าต้นฉบับ) ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 10 นี้ก็นับเป็น turning pointที่3 ของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบชุดก๊อตซิลล่า โดยมีลักษณะพิเศษที่เปลี่ยนไปคือ มีรูปร่างทรงสามเหลี่ยม เพิ่มกล้ามเนื้อท่อนขาให้บึกบึนแข็งแรง ส่วนหน้าอกและหัวไหล่มีมัดกล้ามเนื้อ ทำให้ได้ลักษณะที่ทรงพลัง ครีบหลังยังคงรายละเอียดดีแต่ถูกลดจำนวนลงและมีครีบใหญ่ที่สุดอยู่ในระดับหัวไหล่ หางสั้นลงกว่าก๊อตจิ1984แต่คงลักษณะของก๊อตซิลล่าoriginalไว้นั่นคือ มีเขี้ยว มีหู มีดวงตาสีน้ำตาลและมีสี่นิ้วเท้า ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างชัดเจนก็คือชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 10 นี้มีส่วนหัวที่เล็กและแบนกว่าทุกชุดในอดีต รวมทั้งหน้าตาที่ดูเข้ารูปเข้ารอยที่สุด พร้อมทั้งเทคนิคการขยับหน้าตาปากที่ดี ดูมีสัดส่วนที่ลงตัวเรียกได้ว่าหล่อเท่เลยทีเดียว (ช่วงนี้เริ่มผสานเทคนิคพิเศษเข้ากับชุด เช่น ครีบเปล่งแสงได้ เป็นต้น)
แบบที่ 11 : BatoGoji
ปรากฏตัวใน Godzilla vs. Mothra (1992)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 11 “BatoGoji” ภาพรวมของชุดก๊อตซิลล่าลำดับที่ 11 นี้ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากเท่าไรนักเนื่องจากใช้แม่พิมพ์ในการขึ้นรูปจึงทำให้แบบค่อนข้างเสถียร หน้าตายังคงเหมือนกับเวอร์ชั่นก่อนหน้าเพียงแต่จะมีดวงตาสีเหลืองทองและมีริ้วที่ลำคอเป็นปล้องๆ ชุดลำดับที่ 11 นี้ถูกสร้างให้ผอมบางกว่าชุดลำดับที่ 10 เพื่อให้ก๊อตซิลล่าดูคล่องแคล่วมากขึ้น แม้จะดูไม่บึกบึนเท่าเวอร์ชั่นก่อนหน้าแต่ก็ยังคงดูแข็งแรง ในชุดนี้มีปัญหาที่ต้นแขนตายตัวสามารถขยับได้เพียงข้อศอกลงไปเท่านั้นจึงให้ลักษณะการขยับแขนดูแปลกๆไปหน่อย ส่วนลักษณะพิเศษของเวอร์ชั่นนี้ก็คือมีการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำให้หัวเจ้าก๊อตจิขยับขึ้นลงได้อย่างอิสระดูมีชีวิตมากขึ้น
แบบที่ 12 : RadoGoji
ปรากฏตัวใน Godzilla vs. Mechagodzilla (1993)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 12 “RadoGoji” ชุดก๊อตซิลล่าในเวอร์ชั่นนี้แทบไม่แตกต่างไปจากชุดเวอร์ชั่นก่อนเลย (No.11 TYPE 1992) มีเพียงจุดสังเกตตรงที่ส่วนหัวของก๊อตซิลล่าเวอร์ชั่นนี้จะดูกว้างขึ้น ครีบหลังขนาดเล็กลง รวมทั้งแก้ไขปัญหาต้นแขนให้สามารถขยับได้กางได้ธรรมชาติ (Robert Biondi, 1995) ส่วนรายละเอียดที่เหลือแทบไม่ต่างไปจากชุดเวอร์ชั่นที่แล้ว
แบบที่ 13 : MogeGoji, DesuGoji
ปรากฏตัวใน Godzilla vs. Space Godzilla (1994) และ Godzilla vs. Destoroyah (1995)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 13 “Moge-DesuGoji” ดูเหมือนจะเป็นชุดก๊อตซิลล่าที่ดู “ดีที่สุด” ตั้งแต่ที่เคยมีมา ด้วยสัดส่วนที่ลงตัวสวยงามน่าเกรงขาม รายละเอียดส่วนต่างๆสวยงาม เพราะรวมเอาส่วนที่ดีทั้งหมดของเวอร์ชั่นปี ‘92 และ ’93 มาไว้ในเวอร์ชั่นนี้ ประกอบกับเทคนิคพิเศษที่ใช้เสริมให้ก๊อตซิลล่าดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ (มีส่วนหัวที่หมุนได้อย่างอิสระขึ้น-ลง,เอียงซ้าย-ขวา) ส่วนเทคนิคพิเศษที่ทำให้กับอวสานก๊อตซิลล่าในปี 1995 ก็ใช้หุ่นเดิมของชุด MogeGojiเพียงแค่เปลี่ยนสีตาและปรับให้มีส่วนใสซ่อนหลอดไฟสีส้มอยู่ภายในเพื่อให้มีแสงออกมาเหมือนเตาปฏิกรณ์ที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อเหมือนระเบิดเวลาที่มีชีวิต
แบบที่ 14 : MireGoji
ปรากฏตัวใน Godzilla Millenium (1999) และ Godzilla vs. Megaguirus (2000)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 14 “มิเระโกจิ” เป็นจุดเปลี่ยนหรือ turning ที่ 4 ของประวัติศาสตร์ชุดก๊อตซิลล่า เมื่อก๊อตซิลล่าสัญชาติญี่ปุ่นของสหัสวรรษใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยได้หยิบยกเอาความคลาสสิกจากรุ่นเก่ามาผนวกเข้ากับสมัยใหม่ ผู้ออกแบบชุดก๊อตซิลล่ามิเระโกจิ ชินอิจิ วากาสะ (Shinichi Wakasa-Suit Maker) ได้ออกแบบให้ชุดก๊อตซิลล่ายุคมิลเลเนียมออกมาดูเหมือนสัตว์เลื้อยคลานมากขึ้น (เช่นเดียวกับชุด KingGoji สมัยโชวะ) มีหัวที่เล็กและเรียวแหลมมากขึ้น มีเขี้ยว ฟัน และกรงเล็บหลมคมแบบสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งเอกลักษณ์สำคัญของชุดก๊อตซิลล่ามิเระโกจินี้ก็คือ การมีใบหน้าดุดันถ...ทึง มีส่วนครีบหลังที่เปลี่ยนไปกลายเป็นครีบแหลมสีชมพูม่วงแทนที่จะเป็นครีบทรงปะการังสีเทาแบบเดิม และการทำสีลำตัวใหม่ออกเป็นสีเขียวเข้ม (dark green) แทนที่จะเป็นสีดำแบบถ่าน (charcoal black) อย่างก๊อตซิลล่าในยุคก่อนๆ
แบบที่ 15 : SokogekiGoji
ปรากฏตัวใน Giant Monsters All-Out Attack (2001)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 15 “โซโคเงคิโกจิ” ถูกออกแบบภายใต้ “ความหมายใหม่” เมื่อก๊อตซิลล่ากลายเป็น สัตว์ประหลาดผีสิง จากวิญญาณทหารญี่ปุ่นที่ตายในสงคราม แทนที่จะเป็นสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์จากนิวเคลียร์อย่างที่เคยเป็น ผู้กำกับชูสุเกะ คาเนโกะ (Shusuke Kaneko) จึงตีความก๊อตซิลล่าออกมาในรูปลักษณ์ใหม่ โดยยังคงรูปแบบของก๊อตซิลล่าต้นฉบับ (1954) แต่นำมาปรับรวมเข้ากับรูปลักษณ์ของก๊อตซิลล่ายุคเฮเซแล้วสร้างก๊อตซิลล่าเวอร์ชั่นใหม่ที่เป็นภาพตัวแทนของความชั่วร้าย ซึ่งเอกลักษณ์ของชุดก๊อตซิลล่าลำดับที่ 15“โซโคเงคิโกจิ” นี้ก็คือ ดวงตาสีขาวขุ่น และลำตัวที่ค่อนข้างอวบขึ้นกว่าชุดมิเระโกจิ รวมทั้งการกลับไปใช้ครีบหลังทรงปะการังแบบยุคเฮเซและใช้สีดำแบบถ่านบนผิวหนังซึ่งเป็นสีดั้งเดิมของก๊อตซิลล่า
แบบที่ 16 : KiryuGoji
ปรากฏตัวใน Godzilla Against MechaGodzilla (2002) และ Godzilla: Tokyo S.O.S. (2003)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 16 “คิริวโกจิ” เป็นการกลับไปใช้รูปลักษณ์ของ MireGoji อีกครั้ง ที่เห็นได้ชัดก็คือรูปแบบของครีบหลังที่เป็นทรงแหลม แต่ส่วนหัวและใบหน้าของชุดคิริวโกจิจะเป็นรูปแบบที่ผสมเข้ากับก๊อตซิลล่ายุคเฮเซซึ่งจะทำให้ไม่ดูเป็นสัตว์เลื้อยคลานอย่างชุด Miregoji ดังนั้นชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 16 นี้จึงเป็นส่วนผสมระหว่างก๊อตซิลล่ามิลเลเนียมกับก๊อตซิลล่ายุคเฮเซเข้าด้วยกัน ความเป็นมิลเลเนียมก็คือครีบทรงแหลมแต่ในคิริวโกจิจะเป็นครีบสีขาวแทนสีม่วง ในขณะที่ความเป็นเฮเซก็คือส่วนหัว-ใบหน้าและสีดำตามแบบดั้งเดิมของชุดก๊อตซิลล่านั่นเอง ซึ่งคิริวโกจิที่ถูกใช้แสดงในภาค Tokyo S.O.S. จะมีแผลเป็นที่หน้าอกเป็นลักษณะพิเศษเพิ่มเข้ามาด้วย
แบบที่ 17 : FinalGoji
ปรากฏตัวใน Godzilla Final Wars (2004)
ชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 17 “ไฟนอลโกจิ” เป็นชุดก๊อตซิลล่าที่ใช้แสดงในภาค Final Wars ปี 2004 ในวาระครบรอบ 50 ปีก๊อตซิลล่า ซึ่งผู้กำกับ ริวเฮ คิตามูระ (Ryuhei Kitamura) ต้องการก๊อตซิลล่าแบบใหม่ที่รวมเอาลักษณะของก๊อตซิลล่าทั้ง 3 ยุคเข้าด้วยกันจนออกมาเป็นไฟนอลโกจิที่ค่อนข้างผอมเพรียวซึ่งเอื้อให้กับนักแสดงที่สวมชุดให้ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวได้สะดวก สีตัวยังคงใช้สีดั้งเดิมคือสำดำแบบถ่าน ที่ครีบหลังใช้ตามรูปแบบของครีบแบบปะการังของก๊อตซิลล่าสมัยโชวะที่มีแถวหลักแถวเดียวขนาบข้างด้วยครีบเล็กจำนวนไม่มาก สำหรับลักษณะเด่นของชุดก๊อตซิลล่าแบบที่ 17 นี้ก็คือ เป็นชุดก๊อตซิลล่ายุคใหม่ที่ผอมที่สุด เคลื่อนไหวได้รวดเร็วเหมือนจริงที่สุด และมีหูที่เห็นได้อย่างเด่นชัด
การวิเคราะห์รูปแบบชุดก๊อตซิลล่าในแต่ละภาค
จากตารางจะเห็นได้ว่าภาพรวมของรูปแบบก๊อตซิลล่าจะแบ่งได้ 3 ช่วงเวลาใหญ่ๆตามยุคสมัยของญี่ปุ่น คือ 1.กลุ่มของก๊อตซิลล่ายุคโชวะ, 2.กลุ่มของก๊อตซิลล่ายุคเฮเซ, และ3.กลุ่มของก๊อตซิลล่ายุคมิลเลเนียม
1.ชุดก๊อตซิลล่ายุคโชวะ
ลักษณะเด่นของชุดก๊อตซิลล่ายุคโชวะก็คือภาพของสัตว์ประหลาดในชุดยางที่มีท่าทางคล้ายกับคนเรา ในมุมมองของคนปัจจุบันอาจเห็นว่าก๊อตซิลล่าในยุคนี้หน้าตาแปลกประหลาด, ดูตลก, หรือรู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาของก๊อตซิลล่าในยุคนี้ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยซักเท่าไหร่นัก นั่นก็เพราะว่าการสร้างชุดก๊อตซิลล่าในยุคโชวะยังไม่เสถียรเพราะในยุคนั้นยังคงใช้เทคนิคขึ้นรูปด้วยมือเปล่าหรือที่เรียกว่า “scratch-building” จนกระทั่งในช่วงปลายยุคโชวะ (ตั้งแต่ก๊อตซิลล่า 1984 เป็นต้นไป) จึงเริ่มใช้เทคนิคการหล่อแม่พิมพ์และทำให้ชุดก๊อตซิลล่าดูเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น
ชุดก๊อตซิลล่ายุคโชวะมีทั้งสิ้น 9 ชุดด้วยกัน ปรากฏตัวในภาพยนตร์ก๊อตซิลล่ายุคคลาสสิก 16 ภาคตั้งแต่ปี 1954-1984 ที่น่าสนใจก็คือทำไมภาพยนตร์ก๊อตซิลล่าจึงใช้ชุดสัตว์ประหลาดเปลืองจัง? คำตอบก็คือในทุกๆภาคที่ก๊อตซิลล่าออกแสดงจะได้รับความเสียหายเสมอจากการต่อสู้และสเปเชียลเอฟเฟกต์ (ระเบิด,ไฟ,น้ำ) การซ่อมแซมและปรับแต่งชุดจึงต้องมีมาโดยตลอดจนกลายเป็นประเพณีของซีรี่ส์ก๊อตซิลล่าที่ต้องสร้างชุดเวอร์ชั่นใหม่ออกมาอยู่บ่อยๆ (Robert Biondi, 1995) และเนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่ได้ใช้เทคนิคการหล่อแม่พิมพ์ ชุดก๊อตซิลล่าแต่ละชุดในยุคโชวะจึงมีหน้าตาแปลกแตกต่างกันไปในแต่ละภาคที่สร้างขึ้นมานั่นเอง
2.ชุดก๊อตซิลล่ายุคเฮเซ
ชุดก๊อตซิลล่ายุคเฮเซมีทั้งสิ้น 4 ชุดหลัก ใช้แสดงในภาพยนตร์ 6 ภาคด้วยกันตั้งแต่ปี 1989-1995 และได้กลายเป็นภาพจำของก๊อตซิลล่ายุคใหม่ เพราะมีรูปลักษณ์ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมากนักในแต่ละภาค เนื่องจากการสร้างชุดในยุคนี้ได้ใช้เทคนิคหล่อแม่พิมพ์ (Mold) ในการผลิตรวมทั้งเสริมด้วยสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆ ทำให้รูปลักษณ์ของก๊อตซิลล่าดูเข้ารูปเข้ารอยแหละดูเสถียรมากขึ้น อีกทั้งการผลิตภาพยนตร์ออกฉายเป็นการสร้างแบบปีต่อปี (ตั้งแต่ปี 1989,1991-1995) และมีเนื้อเรื่องเชื่อมโยงกัน รูปลักษณ์ของก๊อตซิลล่าจึงค่อนข้างคงที่นั่นเอง
3.ชุดก๊อตซิลล่ายุคมิลเลเนียม
เช่นเดียวกับชุดก๊อตซิลล่ายุคเฮเซ ชุดก๊อตซิลล่ายุคมิลเลเนียมมีด้วยกัน 4 ชุดหลัก ใช้แสดงในภาพยนตร์ 6 ภาคด้วยกันตั้งแต่ปี 1999-2004 ในยุคนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมก๊อตซิลล่า หลังจากอเมริกาซื้อลิขสิทธิ์ก๊อตซิลล่าไปบุกแมนฮัตตันและประสบความล้มเหลว บริษัทโตโฮได้นำก๊อตซิลล่ากลับมาในรูปลักษณ์ใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมก็คือครีบหลังของก๊อตซิลล่าตัวแรกของยุคมิลเลเนียม (1999,2000) ถูกออกแบบให้แหลมคม ไม่เป็นครีบปะการังตามแบบเดิม แต่เพราะวัฒนธรรมก๊อตซิลล่าใยนุคนี้มีความผันผวนมากเนื่องจากภาพยนตร์ก๊อตซิล่าได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีเต็มตัวและมีคู่แข่งทางธุรกิจมากมาย ทางผู้สร้างจึงต้องพยายามดึงความสนใจและสร้างความน่าสนใจให้กับก๊อตซิลล่าไม่ให้จำเจเกินไป เราจึงเห็นชุดก๊อตซิลล่าในยุคมิลเลเนียมมีลักษณะที่สลับกันไปมาระหว่างก๊อตซิลล่าครีบแหลม (1999,2000,2002,2003) และครีบปะการัง (2001,2004)
ในส่วนของรายละเอียดที่แสดงอยู่ในตารางสรุป จะเป็นลักษณะปลีกย่อยของก๊อตซิลล่าที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา ตั้งแต่ใบหู, เขี้ยว, ครีบหลัง, นิ้วมือ-นิ้วเท้า
- ใบหู ก๊อตซิลล่าตัวแรกของโลก (1954) ถูกสร้างให้มีหู แต่ในภาคต่อๆมาตั้งแต่ปี 1962-1975 ใบหูก็หายไป และกลับมามีหูอีกในซีรี่ส์ก๊อตซิลล่ายุคเฮเซ ตั้งแต่ปี 1989-1995 รวมทั้งยุคมิลเลเนียมในปี 1999,2000, และ 2002-2004
- เขี้ยว นอกจากหูแล้ว ก๊อตซิลล่าต้นฉบับยังถูกสร้างให้มีเขี้ยวด้วย และเช่นเดียวกันกับใบหู ก๊อตซิลล่าภาคต่อๆมาในซีรี่ส์ยุคโชวะตั้งแต่ปี 1962-1975 ก็ไม่มีเขี้ยว กระทั่งกลับมามีเขี้ยวอีกในก๊อตซิลล่า 1984 และในซีรี่ส์ยุคเฮเซ-มิลเลเนียม ตั้งแต่ปี 1989-2004
- ครีบหลัง “ครีบทรงปะการัง” ที่ถือเป็นเอกลักษณ์เด่นของก๊อตซิลล่าค่อนข้างคงลักษณะเดิมไว้ยาวนานตั้งแต่แรกเริ่มในปี 1954-1995 มาเปลี่ยนเป็นครีบแหลมในก๊อตซิลล่ามิลเลเนียม 1999-2000,2002-203 สลับกับครีบปะการังแบบเดิมในภาคปี 2001,2004
- นิ้วมือ-นิ้วเท้า ตั้งแต่ภาคแรกยันภาคสุดท้ายก๊อตซิลล่ามีนิ้วมือ 4 นิ้ว ส่วนนิ้วเท้า (ตีน) ก๊อตซิลล่ายุคโชวะตั้งแต่ปี 1962-1975 มี 3 นิ้ว ส่วนในต้นฉบับปี 1954-1955 และก๊อตซิลล่า 1984 เรื่อยมาถึงภาค Final Wars ในปี 2004 จะมีนิ้วเท้า 4 นิ้ว
60 ปีก๊อตซิลล่า : การกลับมาอีกครั้งของราชาสัตว์ประหลาด
ตลอดระยะเวลา 60 ปี ก๊อตซิลล่าถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งสิ้น 30 ภาค (รวมก๊อตซิลล่า 1998,2014) ในภาคล่าสุดนี้นับเป็นก๊อตซิลล่าสัญชาติอเมริกาตัวที่ 2 ที่กลับมาทวงบัลลังก์ราชาสัตว์ประหลาดของโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าการนำก๊อตซิลล่ามา remake ใหม่หลังจากล้มเหลวในปี 1998 ย่อมสร้างความกดดันให้กับผู้สร้าง สำหรับภาค 2014 นี้ ผู้กำกับก็คือ แกเรธ เอ็ดเวิร์ดส์ ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการ remake ก๊อตซิลล่าภาคล่าสุดว่า “จริงๆแล้วผมมองว่ามันเป็นโปรเจกต์แสนทะเยอทะยานไม่ต่างจากตอนที่คริสโตเฟอร์ โนแลนด์ รีบู๊ต Batman…” “เรามานั่งถกกันว่าอะไรที่จะทำให้ Godzilla เป็นหนังที่ออกมาสมจริง คำตอบของมันพาเราย้อนกลับไปหาหนังต้นฉบับปี 1954…ซึ่งใน Godzilla เวอร์ชั่นนี้ จะมีเรื่องนิวเคลียร์เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ และธีมหนังของเราก็พูดถึงการที่มนุษย์คิดท้าทายธรรมชาติ และอย่างที่คุณรู้ ธรรมชาติเอาชนะเราได้เสมอ”
นอกจากธีมของภาพยนตร์แล้ว แฟนๆต่างจับตามองก๊อตซิลล่าปี 2014 ว่าจะมีรูปร่างออกมาเป็นอย่างไรซึ่งผู้กำกับก็ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “เราอยากให้เขาดูทรงพลังน่าเกรงขามซึ่งความสูงใหญ่นี่แหละที่จะสะท้อนอารมณ์นั้นออกมาได้ในทันที่ที่ปรากฏตัว…แต่สิ่งที่ยากที่สุดในการออกแบบก็คือการทำให้หน้าตาของก๊อตซิลล่าออกมาถูกต้อง ซึ่งผมคิดว่าที่ผ่านๆมาก๊อตซิลล่ามักคล้ายหมีหรือสุนัขมากเกินไป เราเลยตัดสินใจเลือกโครงหน้าของนกอินทรีย์แทน เพื่อสะท้อนถึงความสูงส่งและทำให้ก๊อตซิลล่าดูยิ่งใหญ่” อย่างไรก็ดี สำหรับก๊อตซิลล่า 2014 นี้ แฟนๆต่างเห็นว่ารูปร่างของมันก็ยังดูคล้าย “หมี” อยู่ดีแม้จะมีโครงหน้าและส่วนหัวที่ถูกออกแบบให้แตกต่างไปจากก๊อตซิลล่าในยุคก่อนๆแล้วก็ตาม รวมทั้งในส่วนของครีบหลังที่ถือเป็นเอกลักษณ์เด่นของก๊อตซิลล่า ในปี 2014 ก็ได้ออกแบบมาให้ดูเหมือนผสมผสานระหว่างครีบทรงปะการังแบบดั้งเดิมกับครีบแหลมยุคมิลเลเนียมเข้าด้วยกันเพื่อแสดงความเคารพต่อต้นฉบับก๊อตซิลล่าจากญี่ปุ่น
ภาพเปรียบเทียบโครงหน้านกอินทรีย์กับโครงสร้างส่วนหัวของก๊อตซิลล่า ตัดจงอยปากนกออกจะได้โครงสร้างหัวและคอของก๊อตซิลล่า 2014
เปรียบเทียบขนาดก๊อตซิลล่าตั้งแต่ยุคโชวะ-ล่าสุด ก๊อตซิลล่า 2014 มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา (Mashable.com)
(จาก http://www.techshabu.com/2014/05/08/godzilla-infographic/)
แหล่งข้อมูล
Footnote Godzilla : ประวัติศาสตร์-กลายพันธุ์-นิวเคลียร์ เขียนโดย “เลดี้สโตนฮาร์ท” นิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 148,2014 หน้า 36-39
60 years of Godzilla : TohoFantastic Movies เขียนโดย อลงกรณ์ คล้ายสีแก้ว, วัชรพันธุ์ ลวันยานนท์, T-rex, รุ่งพิสิฐ วรคำนึง นิตยสาร FILMAX ฉบับที่ 82, 2014 หน้า 105-148
The Evolution of Godzilla : G-suit variation throughout the Monster King’s twenty-five films by Robert Biondi Originally published in G-FAN Issue #16 July/August 1995
http://becominggodzilla.com/official-toho-suits/
รู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่
ไทยซื้อระบบป้องกันทางอากาศใหม่ !
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
วิเคราะห์สถิติหวยปีใหม่ 2 มกราคม: เจาะลึกเลขเด่นรับโชควันศุกร์ 2569
"DJ Sakura Soh" กับบทบาทใหม่ในวงการ JAV
ช่องอานม้าแตก! ทหารไทยรุกยึดบังเกอร์ ปักธงชาติคืนพื้นที่
สื่ออินเดียมอง ฉลาดล้ำลึก ทิ้งไข่ถล่มคาสิโนเขมรมาเป็นเกราะป้องกันตัว
ปิดฉากบทบาทนักการเมือง! "นอท พันธ์ธวัช" ย้ำชัดลาออกพรรคเปลี่ยน พร้อมประกาศจุดยืนไม่หนุนฝ่ายใด
F-16 ไทยขึ้นฟ้า ทิ้งระเบิดถล่มคลังอาวุธกัมพูชา หลังพนมซ็อมเปา
เจาะลึกเลขเด็ดสำนักดัง งวดประจำวันที่ 2 มกราคม 2569
เจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)
Reset จิตใจ...แบบนักจิตบำบัด
“รอยแผลบนขาของพลายประตูผา…คือรอยน้ำตาของคนทั้งแผ่นดิน”
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
ปิดฉากบทบาทนักการเมือง! "นอท พันธ์ธวัช" ย้ำชัดลาออกพรรคเปลี่ยน พร้อมประกาศจุดยืนไม่หนุนฝ่ายใด
สาวญี่ปุ่นจัดอีเวนท์พบปะแฟนคลับ แต่ดันไม่มีใครมางานเลย จนกระทั่งเธอโพสต์ขอโทษ
ป้าฟันต้นมะม่วงแก้วขมิ้นเพราะเกลียดเขมรที่ทำร้ายคนและทหารไทย ยอมรับความเกลียดและอยากให้ทหารจัดการเรื่องนี้เร็วๆ
ทหารไทย ยึดฐานกัมพูชา เจอถุงยางเกลื่อนฐาน





































































































































































































































































