10 ครั้งแรกของอาวุธที่ใช้ในสงคราม

บางส่วนของการวิจัยของมนุษย์ถูกนำไปพัฒนาเพื่อสร้างเทคโนโลยีที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อนำไปใช้ในทางต่างๆ รวมถึงในสงครามด้วย ไม่ว่าจะเป็นไมโครเวฟ อินเทอร์เน็ต เราจึงรวบรวมเทคโนโลยีอาวุธสงครามที่ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในสงครามมาให้ชมกัน

ที่มา : dek-d

ในศตวรรษที่ 5 สมัยโรมการขว้างขวานนั้นเป็นเรื่องใหม่สำหรับสนามรบสมัยก่อน เพราะขวานนั้นเป็นอาวุธที่ไม่ได้ใช้ขว้างใส่ศัตรู เพราะมีน้ำหนักมาก แต่อย่างไรก็ตามชาวแฟรงค์ (Franks) เป็นกลุ่มชนเจอร์มานิก ตะวันตกที่เริ่มก่อตัวขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่สร้างความเสียหายแก่ศัตรูได้ ทั้งๆ ที่อาวุธมีน้ำหนักเบาประมาณสองปอนด์เท่านั้น ทำให้โยนในระยะไกลถึง 40 ฟุตและแม่นยำจนได้รับนามว่า "Francisca" (ขว้างขวาน)

ขวาก หรือ "หนามกระสุน" เป็นไม้หรือเหล็กที่มีปลายแหลมเหมือนหนาม เป็นอุปกรณ์ป้องกันประเภทหนึ่ง ทำด้วยวัสดุเนื้อแข็งประเภทดินเผาหรือเหล็ก ใช้โรยเพื่อขัดขวางการเดินทัพของศัตรู เนื่องจากมีความแหลมคม สามารถทิ่มตำเท้าในขณะเดินทัพได้
ส่วนมากมักใช้ชะลอความเร็วพวกพาหนะ ม้าหรือช้างศึก และปัจจุบันมีการนำมาปรับปรุงเพื่อใช้กับล้อรถได้ โดยครั้งแรกที่มีการบันทึกเกิดขึ้นเมื่อ 331 ก่อนคริสตกาล โดยพระเจ้าดาริอุสที่ 3 ของเปอร์เซียได้ใช้ขวากในการต่อสู้กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ในยุทธการกัวกาเมล่าเพื่อหยุดรถม้าและรถศึก แม่ว่าขวากจะมีประสิทธิภาพกับการศึกครั้งนี้ แต่สุดท้ายกองทัพของเปอร์เซียยังพ่ายแพ้

ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1277 ประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง นักวิทยาศาสตร์ของประเทศได้มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัยมาก ไม่ว่าจะเป็นเงินกระดาษ ที่อยู่อาศัย ไปจนถึงสุสานคนยากจน พวกเขายังมีอาวุธสงครามแบบใหม่เช่น ดินปืน และอาวุธที่ใช้จัดการกัยภัยคุกคามมองไกล ที่เริ่มรุกรานและยึดหัวเมืองทางตอนเหนือก็คือ " ทุ่นระเบิด"

จุดเริ่มต้นของเรดาห์เริ่มขึ้นในสงครามโลกครั้งที่สอง (ช่วงต้นปี 1940) มี 6 ประเทศที่มีการพัฒนาระบบเรดาห์ ประกอบไปด้วย อังกฤษ,ฝรั่งเศส,เยอรมัน,รัสเซีย,อเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ แต่ที่มีประโยชน์มากที่สุดคือประเทศอังกฤษ ในช่วงเยอรมันนีรุกราน ทำให้อังกฤษสามารถป้องกันทางอากาศจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของนาซีได้

มีหลักฐานระบุว่า การทำสงครามด้วยอาวุธชีวะ หรืออาวุธเชื้อโรคไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีนานนับพันปี โดยมีการบันทึกครั้งแรก 1346 กองทัพมองโกล ภายใต้การนำของ จานิ แบ็ค ได้ตัดสินใจนำกองทัพเข้าโจมตีเมืองคัฟฟาเมืองศูนย์กลางการค้าในประเทศคริเมีย แต่ทหารของเขาเดือดร้อนจากการระบาดกาฬโรคที่ระบาดในยุโรปเวลานั้น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ใช้ยุทธวิธียิงศพที่ติดเชื้อกาฬโรค เป็นกระสุนปืนใหญ่ข้ามกำแพงเมืองไป เพื่อทำให้โรคระบาดแพร่กระจายเข้าไปยังชาวเมืองที่ยอู่ในตัวเมือง ทำให้เกิดกาฬโรคระบาดจนเป็นเหตุให้เสียเมือง

แม้สมัยก่อนตอร์ปิโดจะเป็นอาวุธเก่าแก่ในรูปแบบเรือระเบิดที่ฌชโจมตีเรือ แต่ตอร์ปิโดลูกแรกของโลกที่ใช้หลักการขับเคลื่อนใต้น้ำเพื่อหาเป้าหมายนั้นถูกใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 1878 ผลิตด้วยน้ำมือของนายทหารชาวออสเตรีย นามว่า โจวานนี ลูพปิสและวิศวกรชาวอังกฤษ นามว่า โรเบิร์ต ไวท์เฮด

โคบุ๊คซอน หรือ เรือเต่า ถือได้ว่าเป็นเรือรบหุ้มเกราะเหล็กลำแรกของโลก สร้างโดยลีซึนชิน แม่ทัพเรือของเกาหลีในยุคราชวงศ์โจซอน ที่นำแบบแปลนรุ่นเก่ามาพัฒนาจนกลายเป็นเรือรบที่แข็งแกร่ง ถูกใช้งานครั้งแรกในปี 1592 ในยุทธนาวีครั้งแรกแห่งซาซอน จากศึกด้านการรุกรานของญี่ปุ่นที่นำโดยฮิเดโยชิ

ระเบิดมือครั้งแรกที่ใช้งานนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงในปัจจุบัน ในสมัยศตวรรษที่ 10 มันถูกพัฒนาโดยชาวจีนในราชวงศ์ซ่ง ใช้ภาชนะเซรามิกขนาดพอเหมาะมือ ที่มีน้ำหนักเบา ใส่สิ่งที่เรียกว่า "ดินปืน" (ซึ่งยังเป็นสิ่งใหม่บนเวลานั้น) แล้วใช้การเผาเชือกที่เชื่อมกับวัสดุถายในภาชนะเหล่านั้น เวลาใช้จุดสายชนวนแล้วโยน (ซึ่งตอนนั้นยุโรปยังไม่ได้ดพัฒนาระเบิดแบบนี้เลย ต้องรออีก 500-600 ปี) โดยจำนวนชนิดของระเบิดมีความแตกต่างกัน ซึ่งชาวจีนจะเก็บรักษา "สูตร" ของพวกเขาไว้ไม่ให้มีใครรู้

รถถังถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 กันยายน 1916 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือสงครามสนามเพลาะ) โดถูกนำมาใช้ครั้งแรกในยุทธการซอมม์ ในประเทศฝรั่งเศส โดยกองทัพบกอังกฤษนำรถถัง
ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ลับระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพื่อใช้มันฝ่าทะลุแนวสนามเพลาะ ซึ่งในช่วงที่มันถูกสร้างขึ้นมันถูหเรียกว่า ยานลำเลียงทางน้ำเพื่อปกปิดจุดประสงค์ที่แท้จริงของมัน คำว่า"แท็งค์" (Tank) นั้นมาจากคำว่า "Water Tank" ที่แปลว่าถังน้ำ

แน่นอนว่าปืนไรเฟิลซุ่มยิงนั้นมีการพัฒนาอย่างยาวนาน กว่าที่จะได้ปืนที่พกพาง่ายและสามารถยิงได้ในระยะไกลและแม่นยำ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพเยอรมันกลายเป็นชาติแรกที่มีพลซุ่มยิงด้วยปืน Gewehr 98 ขอพวกเขา (และนั้นเองทำให้พลซุ่มยิงเยอรมันเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก) จนทำให้ประเทศอื่นได้รู้ถึงความน่ากลัวของพลซุ่มยิงและเริ่มพัฒนากองพลของตนเอง