พระเยซูเป็นใคร? เรามีคำตอบ!!!
ประวัติของพระเยซู ผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์
พระเยซูคริสต์เป็นศาสดาคนเดียวของโลก ที่อ้างว่าตนเองคือพระเจ้า พระองค์เป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสดา เป็นผู้ซึ่งคริสตชนทั่วโลกกว่าหนึ่งพันล้านคน นมัสการ ว่าเป็นพระเจ้า หากจะพูดว่า "คริสต์ศาสนาคือพระเยซู คริสต์" ก็ไม่ผิด เพราะคริสตชน นมัสการตัวบุคคลที่ชื่อว่าเยซูคริสต์ และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้มาเกิดในสภาพมนุษย์ หากถามว่า "ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์สำคัญเพียงไรต่อความเชื่อของคริสต์ศาสนา" ตอบได้ว่าสำคัญ มาก สำคัญพอๆกับความอยู่รอดของคริสต์ศาสนาทีเดียว เพราะหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่า พระเยซูคริสต์ไม่ได้ เป็นพระเจ้า ตามที่พระองค์อ้างไว้ หรือหากเราสามารถยืนยันได้ว่า พระเยซูไม่ได้ทำสิ่งที่พระองค์ตรัสว่า จะกระทำแล้ว คริสต์ ศาสนาก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าคริสต์ศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการโกหก พกลม แต่ขณะเดียวกัน หากเรา สามารถยืนยันโดยเหตุผลทั้งในทางตรรกวิทยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์และประสบการณ์จากชีวิตจริง ว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้าในสภาพของมนุษย์จริงๆ ปัญหาต่างๆที่เราคิดว่า เป็นปัญหาก็จะหมดไป เช่น "พระเจ้ามีจริงหรือ" , " พระลักษณะ ของพระเจ้าเป็นอย่างไร" , "มนุษย์คือใคร" , " อยู่เพื่ออะไร " , " กำลังจะไปไหน " เป็นต้น เพราะพระเยซูคริสต์ ได้สำแดงพระลัษณะของพระเจ้าให้ปรากฏชัดแล้ว ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และพระองค์ยังได้สอนถึงเรื่อง ต่างๆเหล่านี้ ที่ เราทั้งหลายสงสัยด้วย แน่นอนที่สุด ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ดังที่พระองค์อ้างจริงๆ คำสอนของพระองค์ ก็ต้องเป็นความจริงด้วย.
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
เรื่องการเกิดของพระเยซูคริสต์มิใช่นวนิยาย มิใช่เรื่องราวที่มนุษย์แต่งขึ้น แต่เป็นชีวิตจริงที่มีหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ ยืนยันคือ เมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว พระเยซูคริสต์เกิดที่ตำบลเล็กๆแห่งหนึ่ง ชื่อ "เบธเลเฮม" ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 10 กิโลเมตร ในประเทศอิสราเอลปัจจุบัน พระองค์เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน บิดาเป็นช่างไม้ ชื่อ โยเซฟ มารดาชื่อ มารีย์ ทั้งสองสืบเชื้อสายจากอดีต กษัตริย์ของชาวยิวคือ กษัตริย์ดาวิด ชีวิตในวัยเด็กและวัยหนุ่มของพระเยซู ก็เหมือนสามัญชนทั่วไป ไม่มีการ บันทึกไว้มากนัก จนพระองค์เริ่มพระราชกิจของพระองค์ เมื่ออายุได้ 30 ปี จึงได้มีบันทึกเรื่องราวชีวิตและคำสอน ของพระองค์ ไว้ในประวัติศาสตร์ พระองค์กระทำราชกิจและสั่งสอนประชาชน อยู่ได้เพียง 3 ปี แต่เป็น 3 ปีที่ เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลก เรื่องราวที่ละเอียดกว่านี้ หาอ่านได้จากเอกสาร ชีวประวัติของพระเยซู ในหนังสือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ ช่วงพระกิตติคุณมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น และในบันทึกและคำอ้างอิงของนักประวัติศาสตร์ โลกเช่น Flavius Josephus (นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 1 เกิด ค.ศ. 37) Seutonius (นักประวัติศาสตร์ โรมัน ค.ศ. 120) และ Plinius Secundus (นักการเมืองโรมัน ค.ศ. 122) ฯลฯ แม้แต่สารานุกรมอันเป็นที่ เชื่อถือของคนทั่วโลก ฉบับล่าสุดที่ชื่อว่า Encyclopaedia Britannica ก็ได้บรรยายถึงเรื่องราวชีวิตของพระเยซู ด้วยถ้อยคำ ถึงสองหมื่นคำ นี่ย่อมแสดงถึงความสำคัญและความจริงแห่งชีวิตอันน่าเชื่อถือ ของพระเยซู ตามหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์.
คำยืนยันที่โลกต้องตะลึง
ดังได้กล่าวไว้ในบทนำว่า พระเยซูคริสต์เป็นศาสดาคนเดียวของโลกที่อ้างว่าตนเองคือพระเจ้า และคำอ้างนี้ก็ เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจของพระองค์ เราสามารถสรุปสาระสำคัญของภารกิจ ที่พระเยซูคริสต์กระทำอย่าง สั้นๆได้ว่า "พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อนำมนุษย์ให้เข้าถึงพระเจ้าโดยการสิ้น พระชนม์ บนไม้กางเขน" ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ชัดเจนว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใด มาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา" (ยอห์น 14:6) เพราะความสำคัญของภารกิจนี้ พระเยซูคริสต์ต้องการให้ สาวกเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับตัวพระองค์ จึงได้ถามว่า "ท่านคิดว่าเราคือใคร" และเมื่อสาวกคนหนึ่งที่ชื่อ ซีโมน เปโตร ตอบว่า "พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่" แทนที่พระเยซูจะตกใจในคำตอบ ของสาวกผู้นั้น พระองค์กลับกล่าวชมเชยว่า "ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์ มิได้แจ้งความนี้ แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ทรงแจ้งให้ทราบ" (มัทธิว 16:15-17) ใช่แล้ว พระเยซูคริสต์ อ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นคำอ้างที่โลกต้องตะลึง อยากให้เราพิจารณา คำตรัสของพระเยซู ซึ่งกล่าวถึงพระองค์ เองดังต่อไปนี้
1. พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "พระองค์เป็นบุคคลคนเดียวกันกับพระเจ้า" พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" (ยอห์น 10:30) ตามคำบันทึกในพระคัมภีร์เมื่อ พระเยซูคริสต์ตรัสเช่นนี้ ทำให้พวกยิวที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ยอมรับไม่ได้ พวกเขาตั้งใจจะฆ่าพระเยซู โดยจะหยิบก้อนหินขว้างพระองค์ แต่พระองค์ถามพวกเขาว่า "เราได้แสดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการ ... ท่านทั้ง หลายจะขว้างเราให้ตายเพราะการกระทำข้อใดเล่า" พวกยิวตอบว่า "เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะ การพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะว่าท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ ตั้งตัวเป็นพระเจ้า" (ยอห์น 10:30-33) อีกตอนหนึ่ง ขณะที่พระเยซูถูกพิพากษาในศาลทางศาสนาของชาวยิวนั้น พระองค์ยอมรับความเป็นพระเจ้า ของพระองค์อย่างชัดเจน ตามคำบันทึกในมาระโก 14:61-64 เมื่อมหาปุโรหิตของชาวยิวถามว่า พระองค์เป็นผู้นั้น (พระเจ้า) ที่ควรแก่การนมัสการใช่หรือไม่ พระเยซูคริสต์ตอบอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาว่า "เราเป็น" ทั้งยัง กล่าวต่อไปอีกว่า คนทั้งหลายจะเห็นพระองค์เสด็จกลับมาด้วยฤทธานุภาพในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์ ฝ่ายมหาปุโรหิต ได้ฟังก็โกรธจึงกล่าวว่า "เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว ท่าน ทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร" คนทั้งปวงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะมีโทษถึงตาย ฉะนั้น ปฏิกิริยาที่ชาวยิวแสดงออกมา ด้วยความโกรธหลังจากที่ได้ยิน ได้ฟังคำอ้างของพระเยซูคริสต์แสดงว่า พวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจนไม่ผิดพลาดว่า "พระเยซู ตรัสว่าตนเองเป็นพระเจ้า"
2. พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "พระองค์เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตและเป็นผู้ประทานชีวิต แม้กระทั่งชีวิตหลังความตาย" พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต" (ยอห์น 14:6) และยังตรัสอีกว่า "เราได้ มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และได้ชีวิตนั้นอย่างครบบริบูรณ์" (ยอห์น 10:10) โปรดสังเกตว่า พระองค์ไม่ได้ บอกว่า "เรารู้จักหนทางสู่ชีวิต" แต่ตรัสว่า "เราคือชีวิต และเป็นผู้นั้นที่สามารถประทานชีวิต" ฉะนั้นถ้าผู้ใดรู้สึกเบื่อ ชีวิต คือชีวิตที่มีความหมายในพระองค์ได้ ขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้เสียใจที่ลาซารัส น้องชายของเธอตามไป พระเยซูคริสต์ได้กล่าวคำพูดอมตะ ในฐานะ ผู้กุมอำนาจแห่งความตายว่า "เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้นถึงแม้ว่า เขาตายแล้วก็ยัง จะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเรา จะไม่ตายเลย" (ยอห์น 11:25-26) มีคนธรรมดาคนใดหรือที่กล้า กล่าวคำพูดเช่นนี้
3. พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "พระองค์คือ ผู้พิพากษามนุษย์ ในวันสิ้นสุดของโลก" พระเยซูคริสต์ตรัสอย่างชัดเจนว่า การพิพากษาทั้งสิ้นนั้นอยู่ในอำนาจโดยตรงของพระองค์ (ยอห์น 5:22) และ เมื่อวันสิ้นสุดของโลกมาถึง บรรดาคนที่ตายแล้วก็จะกลับเป็นขึ้นมา เพื่อรับการพิพากษา จากพระองค์และรับผลอัน ควรสำหรับแต่ละคน บางคนจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ แต่บางคนจะได้ยินพระสุรเสียงที่น่ากลัว ตรัสสั่งว่า "ท่านทั้งหลายผู้ ต้องแช่งสาป จงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมัน" (มัทธิว 25:41) และที่สำคัญกว่านั้นคือ เงื่อนไขแห่งการพิพากษาขึ้นอยู่กับท่าที ที่มนุษย์มีต่อพระองค์ ดังคำตรัสว่า "ทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับ เราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วย" (มัทธิว 10:32-33) อยากให้คุณพิจารณาคำอ้างที่เกินมนุษย์นี้สักนิด สมมุติว่า ถ้าวันนี้มีใครสักคนยืนขึ้น แล้วประกาศต่อสาธารณะชนว่า เขา คือผู้ที่จะกลับมาในฐานะผู้พิพากษาโลก และชะตากรรมของเราขึ้นอยู่กับว่า เราจะเชื่อคำพูดของเขาหรือไม่ คุณจะมีความ เห็นต่อคนที่กล่าวคำพูดนี้อย่างไร คุณคงคิดว่า คนนี้น่าจะไปอยู่โรงพยาบาลบ้านสมเด็จฯ มากกว่าหรือไม่ก็ควรไปหา จิตแพทย์ เราจะพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเมื่อศึกษาถึงบทวิเคราะห์ คำอ้างของพระเยซูคริสต์ จุดประสงค์ของการยกขึ้นมา กล่าวในที่นี้ เพียงเพื่อยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่า พระองค์คือผู้พิพากษามนุษย์โลกจริง ซึ่งเป็นคำกล่าวที่เราต้อง สนใจเป็นพิเศษ
4. พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "พระองค์เป็นผู้มีสิทธิอำนาจในการยกความผิดบาปของมนุษย์ได้" คงไม่เกินความจริงนักถ้าจะกล่าวว่า ไม่มีศาสดาคนใดในโลกที่กล้าให้ความมั่นใจถึง ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า สามารถจะยก ความผิดบาปหรือลบล้างความผิดบาปของทุกคนที่ติดตามเขาได้ เรามักได้ยินคำสอนว่า "บาปส่วนบาป บุญส่วนบุญ) แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวที่กล้ากล่าวว่า เราทำได้ ดังมีบันทึกในพระคัมภีร์ 1ยอห์น 1:9 ว่า "ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น" ครั้งหนึ่งมีคนนำคนง่อยคนหนึ่งมาเพื่อให้พระเยซูคริสต์รักษา พระเยซูคริสต์ตรัสกับคนง่อยผู้นั้นว่า "ลูกเอ๋ย บาปของ เจ้าได้รับอภัยแล้ว" (มาระโก 2:5) พวกผู้นำศาสนายิวในสมัยนั้นได้ยิน ก็รู้สึกไม่พอใจจึงกล่าวว่า "ทำไมคนนี้พูดเช่นนี้ หมิ่น ประมาทพระเจ้านี่ ใครจะยกความผิดบาปได้ เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น" ถูกแล้ว เราเห็นด้วยกับคำพูดนี้ ใครจะยกความผิดบาปของ มนุษย์ได้ เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น พระเยซูคริสต์ตรัสว่า พระองค์คือพระเจ้าที่สามารถลบล้างความผิดบาปของมนุษย์และ ของคุณได้
5. พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "ท่าทีของมนุษย์ต่อพระองค์ ก็คือท่าทีต่อพระเจ้า" หรืออีกนัยหนึ่งพระองค์กำลังบอกว่า พระองค์คือ พระเจ้า โปรดสังเกตคำพูดต่อไปนี้ของพระองค์ ผู้ที่เห็นเรา ก็เท่ากับเห็นพระเจ้า (ยอห์น 12:45 ; 14:9) ผู้ที่รู้จักเรา ก็รู้จักพระเจ้า (ยอห์น 8:19 ; 14:7) ผู้ที่เชื่อเรา ก็เชื่อพระเจ้า (ยอห์น 12:44) ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระเจ้า (มาระโก 9:37) ผู้ที่เกลียดชังเรา ก็เกลียดชังพระเจ้า (ยอห์น 15:23) เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ในสภาพของมนุษย์ เรามีท่าทีอย่างไรต่อพระองค์ ก็เท่ากับมีท่าทีอย่างนั้นต่อพระเจ้าด้วย
6. พระเยซูเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคนมากที่สุดในโลก คงไม่เกินความจริงมากไป หากจะพูดว่า พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคนมากที่สุดในโลก ในทุกยุคทุกสมัย นี่ไม่ใช่ความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น แต่เป็นคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ เรืองนามท่านหนึ่งชื่อ Kenneth Scott Latourette ท่านได้เขียนไว้ว่า "พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของคนมากที่สุดในโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาในประวัติศาสตร์ และอิทธิพลที่พระองค์มีต่อชีวิตคนนั้น นับวันจะทวีขึ้นเรื่อยๆ" พระเยซูคริสต์ใช้เวลาในการทำราชกิจของพระองค์เพียงสามปีเท่านั้น แต่เป็นสามปี ที่มีความหมายสูงสุด เป็นสามปีที่ได้ พลิกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์โลก ดังที่เราเห็นจากตัวอย่างข้อเท็จจริงเหล่านี้ พระเยซูคริสต์ไม่เคยเขียนหนังสือแม้สักเล่มแต่มีหนังสือในทุกชาติภาษาที่เขียนถึงเรื่องของพระองค์ พระเยซูคริสต์เป็นครู ที่มีศิษย์มากที่สุดในโลก (จำนวนคริสตชนในปัจจุบัน มีมากกว่าหนึ่งพันล้านคน) พระเยซูคริสต์ได้รักษาผู้ที่จิตใจฟกซ้ำ มาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนตลอดทุกยุคสมัย ในประวัติศาสตร์มีคนจำนวนมหาศาล ยินยอม พลีชีพเพื่อพระเยซูคริสต์ด้วยความจงรักภักดีทั้งทื่พระองค์มิได้เป็นผู้กุมอำนาจทางการทหารหรือการเมือง ใช่แล้ว สามัญชนผู้นี้แหละที่คนจำนวนมากทั่วโลกยินดีมอบชีวิตของตน เพื่อติดตามพระองค์ ทำไมหรือ ก็เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า ที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ จึงสามารถเข้าใจและเห็นใจในความอ่อนแอบกพร่องตลอดจนความทุกข์และความเจ็บปวดในชีวิตของเรา และพระองค์ยังเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ในปัจจุบัน จึงสามารถเป็นที่ปรึกษาและเป็นเพื่อนอยู่กับเราตลอดไปได้
7. พระเยซูคริสต์ สามารถสนองตอบความต้องการส่วนลึกสุดของจิตใจมนุษย์ ทุกวันนี้วิทยาการยิ่งก้าวหน้าดูเหมือนว่า มนุษย์กลับยิ่งไม่มีความสุข มนุษย์มีความสามารถสารพัด เอาชนะธรรรมชาติ พิชิตดวงจันทร์ แต่ไม่สามารถพิชิตตนเอง เพราะว่าปัญหาพื้นฐานของมนุษย์อยู่ที่จิตใจ ภายในจิตใจมนุษย์คือช่องว่างที่ไม่อาจถมให้เต็มได้ด้วย เงินทอง บ้านช่องสวยหรู อำนาจ ชื่อเสียงหรือกามารมณ์ นั่นเพราะเราแสวงหาในทางที่ผิด Augustine นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง เคยร้องทูลพระเจ้าว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงสร้างเรามาเพื่อพระองค์เอง จิตใจของเราไม่อาจพบความสงบสุขแท้ได้เลย จนกว่า เราพบความสงบสุขในพระองค์" ทุกวันนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่ยังคงดิ้นรนต่อสู้ แก้ปัญหาทุกวิถีทางด้วยความสามารถที่จำกัดของตนโดยปราศจากพระเจ้าและหลายครั้ง เราก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะสังคมมนุษย์ จมดิ่งสู่ความชั่วมากขึ้นทุกที ยิ่งกว่านั้น ความทุกข์ ความสิ้นหวัง ความว้าเหว่ ความว่างเปล่า และความกลัว ได้ครอบงำจิตใจของมนุษย์มากขึ้นๆ จนเราไม่แน่ใจว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่อะไรกันแน่ ท่ามกลางความสิ้นหวังของสังคมมนุษย์นี้เอง พระเยซูคริสต์ได้ก้าวเข้ามาพร้อมกับอาสาที่จะแก้ไขปัญหาหลักของมนุษย์ โปรดฟังคำ ท้าชวนของพระองค์ต่อไปนี้ ด้วยจิตใจที่พินิจพิจารณา "บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข" (มัทธิว 11:28) "เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขที่เราให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย" (ยอห์น 14:27) "ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม" (ยอห์น 7:37) "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจเราจะไม่กระหายอีกเลย" (ยอห์น 6:35) "เรามาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิตและได้อย่างครบบริบูรณ์" (ยอห์น 10:10)
สรุป
คำตรัสเชิงท้าชวนให้ทุกคนมาสัมผัส ชีวิตของพระองค์ตามที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดสวยงามที่ปรากฎบนแผ่นกระดาษเท่านั้น แต่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วด้วยชีวิตจริงร่วม 2,000 ปี คนจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วโลก ในทุกประเทศทุกยุคสมัย ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน ว่า พระเยซูคริสต์ที่เขาต้อนรับเข้าสู่ชีวิตของเขานั้น ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาใหม่ สร้างค่านิยมใหม่ มอบสันติสุขใหม่ และให้ความหวังใหม่แก่เขา ในลักษณะที่เขาไม่เคยประสบมาก่อนเลย ทุกวันนี้พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ที่ทรงพระชนม์อยู่ ที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้ในประสบการณ์ ชีวิตส่วนตัวของเรา โดยยอมมอบความศรัทธาไว้กับพระองค์ แน่นอน ประสบการณ์เพียงอย่างเดียวย่อมพิสูจน์อะไรไม่ได้ แต่ถ้าหากประสบ การณ์ของคุณนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและหลักฐานอันหนักแน่นแห่งความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์แล้ว ประสบการณ์นั้นก็น่า ลองและมีคุณค่าต่อชีวิตของคุณอย่างแน่นอน
หลังจากอ่านแล้วท่านอยากจะทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ท่านสามารถติดต่อมาที่เจ้าของกระทู้ได้ครับ
ต้องการทราบข้อมูลหรือหนังสืออ่านเพิ่มเติม
หรือท่านต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของท่าน ท่านสามารถอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานของท่านเอง โดยอธิษฐาน ตามตัวอย่างนี้
" ข้าแต่พระเยซูคริสต์เจ้า ขอขอบพระคุณในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ และขอบพระคุณสำหรับความรัก ของพระองค์ ที่ได้ตายเพื่อความผิดบาปของข้าพเจ้า ขณะนี้ข้าพเจ้า ขอสารภาพความผิดบาปทุกอย่างของข้าพเจ้า และขอต้อนรับพระองค์เข้ามาในจิตใจ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นผู้นำทางชีวิตของข้าพเจ้า ต่อไป อธิษฐานในพระนาม พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
หากคุณไม่เข้าใจเรื่องราว ให้คุณดูคลิบจาก Youtube ได้ที่นี้ เป็นเรื่องราวตั้งแต่สร้างโลกจนถึง พระเยซู
ถ้าหากคุณยังไม่เข้าใจกับคำศัพท์คำไหน ผมแนะนำเว็บนี้ข้างใต้นี้ครับ จะใช้ศัพท์ที่ทันสมัยกว่า อ่านแล้วเข้าใจง่ายกว่า หรือยังไม่เข้าใจก็ลองเปิด Google แล้วพิมพ์คำที่อยากจะทราบก็ได้ครับ
http://www.biblegateway.com/passage/?search=%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5+2&version=ERV-TH
ข้อควรปฎิบัติอันสำคัญของคริสเตียน
"จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสุดสิ้นความคิดของเจ้า..จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง..ธรรมบัญญัติทั้งสิ้นก็ขึ้นอยู่กับ2ข้อนี้" มัทธิว บทที่ 22 ข้อ37-40
"ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง" 1 โครินธ์ บทที่ 13 ข้อ 4-7
ขอขอบพระคุณที่ท่านอ่านจนจบ หากไม่เข้าใจข้อไหน หรืออยากจะทราบข้อมูลเพิ่้มเติม ติดต่อผมได้ทางสเปซครับ ขอบคุณครับ