ทำไมคำหยาบถึงหยาบ (Why Are Bad Words Bad)
(ไมเคิล)
สวัสดี Vsauce ผมไมเคิล
เวลาคุณโทรไปหาศูนย์บริการลูกค้า คุณมักจะได้ยินประมาณว่า “เพื่อการพัฒนาคุณภาพการบริการ บทสนทนาจะถูกบันทึก” ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันถูกบันทึกเก็บไว้จริงๆ ปีที่แล้วสถาบัน MarchEX ได้วิเคราะห์บันทึกบทสนทนากว่า 600000 ชิ้นที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ของธุรกิจในสหรัฐอเมริกา ปรากฎว่า คนจากรัฐโอไฮโอใช้คำสบถมากที่สุด คำหยาบที่ขึ้นต้นด้วย A, F, และ S ในขณะที่รัฐวอชิงตันใช้คำหยาบน้อยที่สุด
แล้วอะไรทำให้คำหยาบ หยาบหรือไม่ดีละ ระวังกันหน่อย เพราะว่า หากพูดตามหลักแล้วละก็ แค่คำว่า bad ไม่ดี ก็ถือว่าเป็นคำหยาบแล้ว คำนี้มันเริ่มมาจากภาษาอังกฤษยุคเก่าเพื่อเป็นการกล่าวถึงความเสื่อมเสียโดยใช้เรียกชายที่มีลักษณะเหมือนหญิง
80% ของคำสบถนั้นถูกพูดถึงอย่างมากในที่สาธารณะในช่วงปี 1996, 1997, และ 2006 ล้วนเป็นคำเดียวกัน และ 1 ใน 3 ของคำเหล่านั้นคือคำหยาบยอดนิยมสองอันดับแรก นั่นคือ F*$% และ S#!&
รายงานจาก Slate’s Brilliant Lexicon Valley (Lexicon = พจนานุกรม)ระบุว่าคำหยาบยอดฮิต 10 คำนี้คิดเป็น 0.7 % ของคำทั้งหมดที่คนพูดภาษาอังกฤษพูดโดยเฉลี่ยในแต่ละวัน นี่หมายความว่าคำที่หยาบสำหรับสังคมเท่าไปเหล่านี้ ถูกใช้บ่อยพอๆกับคำสุภาพที่เป็นที่ยอมรับของสังคม คำสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลที่ 1 เช่น “we”, “our”, และ “us” นั้นคิดเป็น 1 % ของคำที่เราพูดในแต่ละวัน
ในขณะที่คำหยาบถูกพูดออกมา มันจะออกมาด้วยความถี่เสียง 1 กิโลเฮิร์ซ ซึ่งฟังแล้วเป็นแบบนี้ “B!%*#”
รู้มั้ยว่า สัญลักษณ์และอักขระพิเศษต่างๆที่ใช้แทนตัวอักษรในคำหยาบนั้นมีชื่อเรียกเฉพาะว่า Grawlixes ซึ่งถูกตั้งชื่อโดย Mort Walker มอร์ท วอล์คเกอร์ ในหนังสือ The Lexicon of Comicana ของเค้า ซึ่งเค้าได้ตั้งชื่อสิ่งต่างๆมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำที่เปิดเผยได้สะกดได้อย่างโจ่งแจ้ง ไม่ได้ซ่อน ซ่อนในที่นี้คือการซ่อนคำหยาบ โดยเฉพาะเมื่อเรารู้แน่ๆว่าคำที่ซ่อนนั้นคือคำว่าอะไร
อันที่จริงแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนที่บอกได้ว่าทำไมคำหยาบถึงหยาบ
Steven Pinker สตีเว่น พิงเกอร์ ซึ่งเป็นนักบรรยายที่มีชื่อเสียงได้จำแนกคำสบถออกเป็น 5 ประเภทด้วยกัน
1 คำบางคำนั้นหยาบโดยตั้งใจ กล่าวคือคำนั้นถูกบัญญัติขึ้นมาและถุกใช้ให้เป็นคำหยาบเพื่อทำร้ายผู้อื่น เค้าคำหยาบชนิดนี้ว่า Abusive เหยียดหยาม เราใช้คำชนิดนี้เพื่อทำให้คนที่เราไม่ชอบนั้นอับอาย แล้วถ้าคนที่เราไม่ชอบเป็น God พระเจ้าหละ เรากำลังพูดถึงคำหยาบชนิดเหนือธรรมชาติ ซึ่งคำประเภทนี้ถูกโจษจันกันมาตั้งแต่สมัยวิคตอเรีย ซึ่งเชื่อว่าการที่เรากล่าวคำหยาบที่มีการพาดพิงพระเจ้านั้นเป็นการทำร้ายพระเจ้าด้วย ดังนั้นในยุคนั้นจึงมีการใช้คำ เช่น Zounds หรือ Gadzooks ซึ่ง Zounds หมายถึง God’s wounds และ Gadzooks หมายถึง God’s Hooks ซึ่งอ้างอิงถึงตะปูที่ใช้ตอกตรึงกางเขนพระเยซู
2 คำหยาบบางทีก็มาจากสิ่งที่เรากลัว สิ่งที่เราคิดว่ามันอันตราย แข็งแรงกว่าเรา หรือคาดเดาไม่ได้ เช่น การตาย โรค หรือโรคจากเพศสัมพันธ์ โรคจากการแลกเปลี่ยนสารคัดหลั่ง ของเหลว หรือสิ่งที่น่าขนลุก อาการกลัวสิ่งแปลกๆทั้งหลาย และสำหรับสิ่งที่น่าขนหัวลุกทั้งหลาย มันจึงกลายเป็นคำที่น่ากลัว หยาบในตัวมันเอง และไม่สะดวกใจที่จะพูดออกมา แต่ใช่ว่าคำที่น่ากลัวทั้งหลายจะไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม และนั่นทำให้เรามาถึงคำหยาบชนิดที่ 2 นั่นคือ Emphatic เด่นชัด คำหยาบชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อ ข้อห้ามในการใช้คำหยาบกลายมาเป็นการใช้มันอย่างแพร่หลาย ซึ่งโดยสถานการณ์ปกติคุณจะไม่ใช้มัน แต่คุณจะใช้มันเมื่อคุณรู้สึกว่าต้องการอธิบายความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ภายในออกมา
3 Dysphemism คำว่า Euphemism คือคำสุภาพหรือชนิดของคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆที่ไม่เป็นที่ปรารถนาในแบบที่สุภาพ ในขณะเดียวกันก็บอกคนที่ได้ยินว่าคุณรู้ว่ามันไม่ปรารถนาและก็เคารพความนัยของมัน เช่นว่าหากคุณจะพูดคำว่า S#!T คุณคงจะพูดคำว่า Defecate อุจจาระ แทน ในทางกลับกันหากคุณต้องการสื่อถึงความไม่ปรารถนาแบบที่เข้าถึงอารมณ์มากกว่านั้น Dysphemism หรือคำหยาบชนิดนี้จึงเหมาะจะใช้ในการนี้ เช่น คุณคงไม่ใช้ว่า K9 defecate แต่ใช้ว่า dog’s S#!T มากกว่า (K9 = สุนัข) คำว่า Defecate และ S#!T สองคำนี้สื่อถึงสิ่งเดียวกันแต่มีการยอมรับทางสังคมเมื่อได้ยินต่างกัน นั่นแปลว่าการเลือกคำนั้นนอกจากทำให้เราสื่อถึงสิ่งต่างๆที่เราพบเจอในโลกนี้แล้ว ยังบ่งบอกความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้นได้อีกด้วย หากว่าคำทั้งสองคำนั้นมีระดับความสุภาพหรือการยอมรับที่เท่ากัน เราอาจจะต้องหาคำหยาบหรือคำไม่สุภาพคำอื่นเพื่อมาทดแทนและทำให้เราสามารถระบายความรุนแรงของอารมณ์เราไปในคำพูดได้
เวลาเราพูดถึงคำสองคำที่มีความหมายเหมือนกันแต่มีการยอมรับทางสังคมที่ต่างกัน ใครเป็นคนตัดสินว่าคำไหนดี คำไหนแย่หละ จากการศึกษาพบว่าคำหยาบส่วนใหญ่ที่เราใช้กันทุกวันนี้เป็นผลมาจากความแตกต่างของชนชั้น ในยุคกลางนั้น พวกแซ็กซอน ชนชั้นล่างนั้นพูดภาษาเยอรมัน ในขณะที่ชนชั้นสูงในขณะนั้นพูดภาษาที่มีความเกี่ยวข้องกับภาษาฝรั่งเศสและภาษาลาตินมากกว่า ภาษาอังกฤษที่พวกเราพูดอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นผลสืบเนื่องจากความแตกต่างของชนชั้นเช่นกัน ชนชั้นล่างทำงานกับสัตว์ และทำให้เรามีชื่อสัตว์ เช่น cow วัว, chicken ไก่, pig หมู, deer กวาง, และ sheep แกะ ในขณะที่ชนชั้นสูงนั้นแค่กินสัตว์เหล่านั้น ทำให้เรามีชื่อเนื้อของสัตว์ต่างๆ เช่น beef เนื้อวัว, poultry เนื้อไก่, pork เนื้อหมู, venison เนื้อกวาง, และ mutton เนื้อแกะ คำหยาบก็มีที่มาที่คล้ายกัน คำว่า Defecation มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินที่หรูหรา แต่คำว่า S#!T นั้นมาจากภาษาเยอรมัน
4 Idiomatic คำหยาบเชิงสำนวน ซึ่งไม่ได้มีส่วนไหนของคำที่ถูกเน้นเป็นพิเศษ ไม่ได้ส่วนที่หยาบคายเลย เป็นคำที่ออกแนว บ้านๆง่ายๆ ให้บรรยากาศที่สบายกว่า และคำสบถก็สามารถพูดออกมาได้เลย
5 Cathartic ชนิดนี้ค่อนข้างจะต่างกับแบบอื่น มันเป็น Lalochezia ซึ่งเป็นศัพท์ทางการพแพทย์ที่แปลว่าการปลดปล่อย หรือการบรรเทาความเจ็บปวดด้วยการสบถคำหยาบออกมา การสบถนั้นก่อนให้เกิดกิจกรรมมากมายภายในหูของเรามากกว่าขณะที่เราพูดภาษาปกติ ซึ่งทำให้คนที่มีอาการ amphesia ทางสมอง ซึ่งเกิดจากสมองได้รับการบาดเจ็บบางส่วนนั้นไม่สามารถสร้างหรือคิดคำพูดแบบปกติได้ แต่สามารถสบถหรือกล่าวคำหยาบออกมาได้อย่างราบรื่น หรือคนที่เป็น coprolalia ที่สามารถใช้ภาษาสุภาพปกติทั่วไปได้ดี แต่ไม่สามารถอดทนต่อคำหยาบคายได้เลย มันกลายเป็นว่าการสบถหรือพูดคำหยาบนั้นถูกควบคุมที่ศูนย์กลางของสมองในส่วนระบบ Limbic ที่ควบคุมเรื่องการเคลื่อนที่ สัตว์หลายชนิดมีการส่งเสียงแบบอัตโนมัติเวลาเจ็บ ถูกคุกคาม หรือถูกโจมตี หรือเพื่อให้ตัวอื่นๆรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ในขณะนั้น ซึ่งหากเป็นในมนุษย์นั้น คำหยาบก็ดูจะเหมาะสมกับการณ์นี้ เพราะว่ามันสามารถถูกใช้อย่างจำเพาะเจาะจงเพื่อเตือน การสบถเป็นการเปลี่ยนคำหยาบให้ถูกใช้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ในบรรดาคำ 7 คำ George Carlin กล่าวว่าคุณไม่สามารถพูดในโทรทัศน์ได้ แต่ทุกวันนี้ทุกๆวินาที มีคนทวีตคำหยาบเหล่านั้นถึง 22 ครั้งในทวิตเตอร์
ในอนาคตคำสบถจะเป็นอย่างไร มันคงจะไม่หายไปหรอก เพราะมันก็ดูใช้งานได้ดีอยู่นะ แต่คำที่เราไม่ชอบได้มีการเปลี่ยนแปลงไป จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เมื่อโรคภัยต่างๆนั้นน่ากลัวน้อยลง เรื่องเพศ และเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากขึ้น คำที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก็ดูจะถูกลดหย่อนผ่อนปรนลงไปมาก ไม่เป็นที่ต้องห้ามเหมือนแต่ก่อน หากแต่คำที่ดูเป็นคำสามัญกลับกลายเป็นคำที่ไม่ปรารถนามากขึ้น บางทีในอนาคตคำอย่างเช่น schizo จิตเภท, mental เกี่ยวกับจิต, aspy ออทิสติก, หรือ depressed หดหู่ อาจจะกลายเป็นคำหยาบ
หรือคำที่ John McWhorter ใช้อธิบายเกี่ยวกับชนชั้นเช่น opportunity โอกาส หรือ disadvantage การเสียเปรียบ จะกลายเป็นคำต้องห้าม salt of the earth คนที่มีคุณค่า, trash ขยะ, chav ห้อง, pikey คนต่างด้าว, urban บ้านนอก จะกลายเป็นคำหยาบกลุ่มใหญ่
เมื่อ McKay ได้ก่อตั้งชมรมงดคำหยาบขึ้นมาที่โรงเรียนของเค้า การรณรงค์ของเค้ากลายเป็นเป้าของการโจมตีในโลกออนไลน์อย่างมาก ถูกเหยียดว่าประหลาด หรือเป็นการต่อต้านอิสรภาพทางการพูด เค้าถึงกับตั้งฉายาให้ตัวเองในหนังสือของเค้าว่าเป็นเด็กที่โดนแกล้งในอินเตอร์เน็ตมากที่สุดในโลก
คนทั้งหลายใส่ใจกับเรื่องนี้ การเซ็นเซอร์หรือการบอกว่าเราทำหรือพูดอะไรได้หรือไม่ได้ เป็นเหมือนเกราะป้องกันไม่ให้คำที่ไม่สุภาพถูกใช้มากเกินไปจนมันเกร่อและธรรมดา หรือจริงๆแล้วมันเป็นขอบเขตของสิ่งที่เราไม่ต้องการ บางทีเราก็ยอมรับบางทีเราก็ไม่ยอมรับ และมันกำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ยอมรับได้มากขึ้น อาชญากรรมที่เกี่ยวกับความเท่าเทียมกันนั้นเกิดขึ้นมาช้านาน แต่เมื่อวง NWA ได้เขียนเพลงที่มีคำหยาบเป็นชื่อเพลงนั้น F#CK The Police มันทำให้กรมตำรวจถึงกับออกประกาศค้านเพลงนี้เลย และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ FBI ได้ออกประกาศเกี่ยวกับคำหยาบ คำหยาบนั้นมีพลังมากจริงๆ และหากคุณต้องการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คุณต้องมีบางอย่างเพื่อเปลี่ยนมัน หากเมื่อทุกๆอย่างปกติดีแล้ว มันก็ไม่เท่ซิ ดังนั้นการใช้คำหยาบมันก็เป็นเหมือนการเร่งของกระบวนการที่ใหญ่กว่า คือขั้นตอนการแปรเปลี่ยนพวกเราให้ดิบขึ้นเป็นสิ่งที่พวกเราอยากเป็น Deep S#!T ตกต่ำที่สุด
และเหมือนทุกที ขอบคุณที่ติดตามชม
เรื่อง : ทำไมคำหยาบถึงหยาบ (Why Are Bad Words Bad)
ชื่อเจ้าของคลิป : Vsauce
URL : http://www.youtube.com/watch?v=Dd7dQh8u4Hc
โพสท์โดย: I sea u