หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พร้อมด้วยสามเณร ๔-๕ รูป มุ่งหน้ายังภูลังกา แต่เวลาก็บ่ายคล้อยใกล้ค่ำเข้ามาทุกที มองเห็นวัดร้างท้ายหมู่บ้านซึ่งมีหญ้าปกคลุมแทบมองไม่เห็นทางเข้า
ผ่านประตูวัดก็ถึงศาลาหลังหนึ่งที่ทรุดโทรม มองดูโย้..เย้..จะพังมิพังแหล่ ที่มีอยู่เพียงหลังเดียวของวัด รอบๆ ศาลา เห็นมีต้นหมาก ต้นมะพร้าว สูงลิบลิ่วเลยหลังคาศาลาไปไกล
แสดงว่าวัดนี้สร้างมานานแล้วนั่นเอง หลวงปู่บอกว่ามองดูบนศาลาที่มีไม้กระดานปูพื้นยังไม่เต็มศาลาดีนั้นดูระเกะระกะ สกปรก รกรุงรัง มองเพดานเห็นมีแต่ยากไย่ใยแมลงมุมสะสมมานาน ขี้ค้างคาวก็หนาเตอะ
หลวงปู่ให้เณรน้อยสาม-สี่รูปรีบไปสรงน้ำให้เสร็จก่อนมืดเดี๋ยวจะมองไม่เห็นอะไร สามเณรได้มาปูที่นอนจำวัดถวายหลวงปู่ไว้ด้านมุมศาลาใกล้พระประธานที่มีอยู่องค์เดียวของวัด ส่วนสามเณรก็ปูที่นอนเรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบสวยงามอีกมุมศาลาด้านหนึ่ง...
สามเณรสรงน้ำยังไม่ทันเสร็จ ก็มีเสียงระฆังที่แขวนอยู่ใกล้บันไดทางขึ้น ดัง..เหง่ง..หง่างๆ สุนัขในหมู่บ้านเห่าหอนรับกันเป็นทอด ๆ สามเณรรีบเดินกลับมายังศาลาอย่างรวดเร็ว
หลวงปู่ถามว่า "เณร ! เคาะระฆังทำไม เดี๋ยวชาวบ้านก็มาเต็มวัดหรอก.."
สามเณรต่างองค์ต่างมองหน้ากันแล้วกราบเรียนหลวงปู่ว่า.. "กระผมเข้าใจว่าหลวงปู่เคาะเรียก พวกกระผมจึงรีบกลับมาครับผม.."
หลวงปู่จุดเทียนไขที่มีติดย่ามมานั้น แล้วสวดมนต์นั่งสมาธิ อบรมสั่งสอนสามเณรเป็นประจำวัน..แล้วจึงได้แยกย้ายกันพักผ่อนด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดทั้งวัน..
ยิ่งมืดก็ยิ่งเงียบและวังเวง...เสียงนกแสกและนกฮูกร้องรับกันอยู่บนหลังคาศาลา...หนูที่ซุกตัวอยู่ตามซอกตามมุมวิ่งกันให้พล่านไปทั้งศาลา ...ดึกมากแล้ว
นี่..สามเณรองค์ไหนมาเดินเล่นทำไม? พื้นกระดานของศาลาให้ดัง ..กุบ..กั้บ..ๆ..สลับกับมีเสียงลากเสื่อดังพรืด !..ๆ.. อยู่บนศาลาด้านที่สามเณรนอนเรียงกัน..หลวงปู่หันไปมองโดยอาศัยแสงไฟจากเทียนไขที่ริบหรี่ รำไร ใกล้จะมอดดับแต่ยังพอมองเห็นอะไรเป็นอะไรได้บ้างนั้น..
หลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่งกำลังจับขาสามเณรที่นอนเรียงกันสูงบ้างต่ำบ้างดึงลงมาเพื่อให้เท่า ๆกัน เสร็จแล้วก็เดินไปด้านบนหัวนอน หลวงตาก็จับหัวสามเณรดึงขึ้นไปอีก..
สามเณรองค์เล็กซึ่งต่ำกว่าเพื่อนก็จะถูกจับลากจับดึงมากกว่าองค์อื่น หลวงตาวนเวียนดึงหัวดึงเท้าสามเณรอยู่อย่างนั้น..เวลาหลวงตาเดินผ่านมาทางแสงเทียนสังเกตว่าตัวท่านสูงศีรษะเกือบชนขื่อของศาลา แถมยังมีกลิ่นสาบฉุน ๆ ตามมาอีกด้วย..
หลวงปู่กำหนดจิตดูจึงรู้ได้ว่า หลวงตาที่ออกมาเดินจัดระเบียบสามเณรอยู่นี้ คือ "เปรตขรัววัดองค์ก่อน ได้ทำบาปไว้มากเหลือเกินจึงติดหนี้สงฆ์ เพราะกินของสงฆ์ไม่ได้อุปโลกน์นั่นเอง.."
หลวงปู่เล่าว่า..พอเสียงไก่ที่หมู่บ้านขันบอกยามสองยามสามแล้วนั่นเอง เปรตหลวงตาจึงหายเงียบเข้าไปที่ห้องข้าง ๆ สามเณรนอนอยู่นั่นเอง ...ฟ้าสางของวันใหม่แล้วจึงพากันออกบิณฑบาต มีชาวบ้านออกมาใส่บาตรพร้อมกับถามว่าเมื่อคืนพักที่ไหน..
พักที่วัดท้ายบ้าน..หลวงปู่ตอบ.!..
วัดนี้สร้างมานานแล้วตั้งแต่สมัยปู่โน่นแหละครับ แต่ไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าที่ไหนอยู่ได้ข้ามคืน เป็นเพราะขรัววัดองค์เก่าที่ท่านตายไปแล้วท่านยังหวงยังห่วงสิ่งของของท่าน
ใครไปหยิบไปจับอะไรในวัดไม่ได้เลย ขนาดกลางวันแสกๆ ยังออกมาตีฆ้อง ตีระฆัง ให้สนั่นหวั่นไหว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้วัดได้เลย พวกชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าจะช่วยท่านได้อย่างไร ทำบุญให้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที..
หลวงปู่เดินกลับจากบิณฑบาต มีชาวบ้านตามมาส่งจังหันตามธรรมเนียมของคนอีสาน หลวงปู่ได้หารือว่าควรช่วยกันทำบุญสงเคราะห์สมภารท่านอีกสักครั้ง เพราะท่านตกระกำลำบาก
เป็นเปรตเวทนาเฝ้าวัดอยู่อย่างนี้ ท่านอุตส่าห์สร้างวัดสร้างวามาแล้ว มาเป็นอย่างนี้ หลวงปู่จึงให้ชาวบ้านออกไปหานิมนต์ครูบาอาจารย์สายป่ามาอย่างน้อย ๕ รูป และมอบให้ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งช่วยไปจัดหาอาหารและสิ่งของเพื่อถวายเป็นไทยทานอุทิศส่วนกุศลให้เปรตสมภารในวันพรุ่งนี้
หลวงปู่อธิบายต่อไปอีกว่า "ทานที่ทำแล้วจะได้บุญมากต้องพร้อมหน้าแห่งวัตถุสาม ได้แก่ ๑. ศรัทธา ๒. ไทยธรรม ๓. ทักขิไณยบุคคล ทั้งสามประการนี้ แต่ธรรมสองประการหาได้ง่าย คือ ไทยธรรมและทักขิไณยบุคคล.. แต่ศรัทธานั้นหาได้ยาก เพราะปุถุชนมีศรัทธาไม่มั่นคง.."
คืนต่อมาภายหลังจากทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิแล้ว สามเณรหลับสนิทตามประสาเด็ก เปรตสมภารองค์เดิมก็จำแลงกายออกมาจัดระเบียบเหมือนอย่างคืนก่อนอีก สามเณรที่ตัวเล็กที่สุดจะถูกดึงขึ้นดึงลงอีกทั้งคืนเช่นเคย...
หลวงปู่ได้นั่งมองดูด้วยความสังเวช จึงส่งกระแสจิตถามไปว่า "ท่านเป็นใคร ทำไมจึงมาเป็นเปรตอยู่อย่างนี้ ไม่อยากไปเกิดหรือ..."
สมภารเปรตตอบว่า " เราเป็นขรัววัดนี้เอง สมัยที่ยังไม่ตายได้ทำบาปเพราะกินของสงฆ์... ตายแล้วจึงต้องมาเป็นเปรตเฝ้าใช้หนี้สงฆ์อยู่อย่างนี้ ทุกข์ทรมานเหลือเกิน อยากจะไปเกิด แต่ก็ไม่มีใครทำบุญให้
ญาติพี่น้องก็ไม่เคยทำบุญให้เลย ชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่มาวัดอีก เพราะเขากลัว เราพยายามตีกลองตีระฆังให้เขามากัน เพื่อต้องการจะบอกว่าเราทุกข์ทรมานเหลือเกินช่วยทำบุญให้ด้วยเถิด..
เขาก็พากันกลัว.. เราหวีดร้องเพื่อให้เขาได้ยินเสียงของเรา เขาก็กลัวอีกเช่นกัน...จึงไม่รู้จะทำอย่างไร ทรมานอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานมากแล้ว?"..
หลวงปู่ถามต่ออีกว่า " ท่านทำบาปอะไรไว้มากมายนักหรือ จึงไม่สิ้นบาปสักที..."
"เราเป็นสมภารก็จริง แต่ครูบาอาจารย์ไม่เคยบอกเราเลยว่า สิ่งของที่ชาวบ้านนำมาถวายวัดที่เป็นครุภัณฑ์ ประเภท จอบ เสียม มีด พร้า นั้นจัดเป็นของสงฆ์แจกแบ่งกันไม่ได้
แต่เราได้นำของสงฆ์เหล่านั้นไปให้ลูกหลาน ญาติพี่น้อง และของบางอย่างเราก็ขาย จึงเป็นบาปหนักเพราะเอาของสงฆ์ไปขาย.. และอีกอย่างหนึ่ง เมื่อชาวบ้าน เขาถวายภัตตาหารถวายสังฆทานด้วยคำว่า 'ภิกขุ สังฆัสสะ..'
เราไม่เคยได้เผดียงสงฆ์อุปโลกน์ก่อนแจกเลย เราแจกเองกินเองโดยไม่ได้เผดียงสงฆ์ จึงชื่อว่าได้กินของสงฆ์มาโดยที่ไม่ได้อุปโลกน์ให้ถูกต้องตามพระวินัยเสียก่อน เราจึงกินของสงฆ์มาตั้งแต่บวชจนกระทั่งตาย ตายแล้วก็ต้องมาเป็นเปรตเฝ้าวัดจัดระเบียบอยู่อย่างนี้ไปไหนไม่ได้ทรมานมาก โปรดช่วยเราด้วยเถิด"
วันพรุ่งนี้จะทำบุญอุทิศให้ เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมในการรับส่วนกุศลเสียเถิดนะท่านสมภาร..หลวงปู่กล่าว...
เช้าวันใหม่ท้องฟ้าแจ่มใสกว่าทุกวัน ชาวบ้านได้พร้อมใจกันมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้สมภารเปรตอีกครั้งตามที่หลวงปู่ขอร้อง ได้พากันจัดหาสิ่งของต่างๆ ที่สมภารเอาของสงฆ์ไปขาย
มาใช้คืนสงฆ์แทนให้ท่านสมภาร เช่น จอบ มีด พร้า เป็นต้น ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติที่นิมนต์ไว้มาพร้อมแล้ว หลวงปู่ก็เริ่มนำชาวบ้านประกอบพิธีทำบุญถวายทานโดยเฉพาะเจาะจงให้แก่ท่านสมภารที่เป็นเปรตโดยตรง ลำดับแรกบูชาพระรัตนตรัย ให้ญาติโยมรับศีลห้ากันทุกคน เสร็จแล้วได้กล่าวคำถวายสังฆทาน
เสร็จแล้วเพื่อความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่จึงพากล่าวคำกรวดน้ำตามแบบอย่างของพระเจ้าพิมพิสารว่า
"อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย ของข้าพเจ้าทั้งหลายมีท่านสมภารวัดแห่งนี้เป็นต้น จงมีความสุขเถิด ฯ"
เปรตสมภารวัดซึ่งรอรับส่วนกุศลอยู่แล้วก็อนุโมทนาในตอนนั้นนั่นเอง ...
ต่อมาภายหลังหลวงปู่ได้สอบถามผู้คนที่ผ่านไปมาถึงวัดดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีพระอยู่เป็นที่เรียบร้อย สมภารเปรตนั้นก็เงียบหายไปไม่เคยมาหลอกหลอนใครอีกนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ข่าวการทำบุญให้เปรตในครั้งนี้ทราบไปถึงท่านพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร แห่งวัดภูลังกา พระอาจารย์วังจึงให้ญาติโยมมาติดต่อ ขอนิมนต์หลวงปู่ช่วยไปทำบุญให้เปรตที่วัดบ้านนางัวด้วย เพราะที่วัดบ้านนางัวนั้นก็มีเปรตอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านอยู่เช่นกัน
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=246727822155649&set=a.105766246251808.12844.100004552991588&type=1&theater
ที่มา: