ดื่มชาเขียวขวด..คาเฟอีนพุ่ง-น้ำตาลเพียบจริงหรือ??
โพสท์โดย ลูกสาวอบต
เปิดผลวิจัยคนไทยแห่ดื่มชาเขียวเพราะหวังเงินล้าน เกินครึ่งกระดกอย่างเดียว ไม่รู้ว่าคาเฟอีนพุ่ง-น้ำตาลเพียบ ห่วงเด็กๆ ร่างกายทรุด ต่ำกว่า 10 ขวบยังชอบดื่ม
ร้องติดฉลากแสดงส่วนผสมชัดเจน จี้หน่วยงานรัฐสางทุจริตในองค์กรอย่าปล่อยสินค้าทำลายสุขภาพวางตลาดเกลื่อน กระตุ้นทำหน้าที่ให้ข้อมูลคุ้มครองผู้บริโภค
ศ.ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ร่วมกับ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์และผู้ประสานงานเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค เปิดเผยผลวิจัยภาคสนาม เรื่อง "ปัญหาสุขภาพของประชาชนหลังจากดื่มชาเขียวบรรจุขวด : ใครต้องรับผิดชอบ"
ศ.ศรีศักดิ์กล่าวว่า การสำรวจพบว่า ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ประชาชน 69.6% เคยดื่มชาเขียวพร้อมดื่มบรรจุขวด อีก 30.4% ไม่เคยดื่ม โดยเฉลี่ยแล้วกลุ่มตัวอย่างดื่มชาเขียวประมาณ 3 ขวดต่อสัปดาห์ ซึ่งเหตุผลที่ดื่ม 5 อันดับแรก คือ 1.ต้องการแก้กระหาย 2.ชอบรสชาติ 3.ต้องการให้ร่างกายสดชื่น/ตื่นตัว 4.เชื่อว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย และ 5.อยากถูกรางวัล จึงกล่าวได้ว่าผู้ดื่มชาเขียว 1 ใน 4 หวังจะได้รางวัลเป็นเงินล้าน
ประธานสำนักวิจัยเอแบคโพลล์กล่าวอีกว่า เมื่อถามว่า "ชาเขียวพร้อมดื่มบรรจุขวดเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือไม่" มีผู้หลงเข้าใจว่าชาเขียวเป็นเครื่องดื่มสุขภาพถึง 50.8% โดยไม่ทราบว่าชาเขียวมีกาเฟอีนผสมอยู่เกินกว่าครึ่ง คือ 57.5% และไม่รู้ว่ามีปริมาณน้ำตาลเกินระดับที่ร่างกายควรได้รับ 72.1% รวมถึงไม่เคยทราบว่า มีผู้ดื่มชาเขียวแล้วมีอาการบาดเจ็บที่ลำคอ เนื่องจากกรดบางชนิด 61.3% ดังนั้นเมื่อถามถึงความเพียงพอในการได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเครื่องดื่มชาเขียว 57% จึงเห็นว่ายังไม่เพียงพอ
"โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ผลสำรวจระบุว่า 1 ใน 10 ของครอบครัว มีเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ ดื่มชาเขียวถึง 10.6% เพราะเด็กๆ ชอบที่รสชาติอร่อย แต่ไม่ทราบถึงผลเสีย รวมถึงอยากได้รางวัล" ศ.ดร.ศรีศักดิ์ระบุ
ประธานสำนักวิจัยเอแบคโพลล์กล่าวด้วยว่า ส่วน "เครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่มบรรจุขวด ขนาดบรรจุตั้งแต่ 500 มิลลิลิตรขึ้นไป ควรมีคำเตือนว่า เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม" หรือไม่ 80% เห็นด้วย ซึ่ง 91.2% เห็นด้วยที่จะให้หน่วยงานทางวิชาการควรเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และโทษของเครื่องดื่มชาเขียวให้มากขึ้น
ดร.นพดลกล่าวว่า ผลวิจัยนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ผู้บริโภคกำลังเสี่ยงกับปัญหาสุขภาพอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเด็กอ่อนวัยและสตรีมีครรภ์ ผู้ประกอบการควรมีจริยธรรมทางธุรกิจให้มากเพียงพอ ให้ข้อมูลเตือนประชาชนที่บรรจุภัณฑ์ กรณีชาเขียวบรรจุขวดควรระบุข้อความเตือนตัวแดงไว้ข้างขวด ว่าเด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม
"ปัญหาการคอรัปชั่นในหน่วยงานที่เกี่ยวกับสินค้าและบริการก็เป็นสาเหตุสำคัญ ดังนั้นควรตรวจสอบในหน่วยงาน อย่าปล่อยให้มีสินค้าอันตรายต่อสุขภาพออกสู่ตลาดโดยปราศจากคำเตือน" ดร.นพดลกล่าว.
ชาเขียว เป็นชาที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมานานกว่า 100 ปี ในขณะที่คนไทยเพิ่งรู้จักกันไม่เกิน 10 ปีมานี้เอง คนญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวร้อนร้อนกัน เพราะได้พิสูจน์แล้วว่าชาเขียวร้อนมีคุณสมบัติลดอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายคนเร
าให้ขับออกมาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ
ชาเขียวชึ่งทำให้ร่างกายสามารถขับพิษและลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่ แต่....คนไทย นิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น ซึ่งคนไทยส่วนมากไม่เคยรู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียวเลย ทำให้คนญี่ปุ่นรุ้สึกขบขันในใจแถมหัวเราะเยาะในใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยจะมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าคนญี่ปุ่น เพราะอะไรงั้นหรือ...เพราะว่าชาเขียวที่มีคุณอนันต์นั้น ย่อมมีโทษมหันต์เช่นกัน เพราะชาเขียว จะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันหากดื่มชาเขียวตอนที่เย็นแล้วกลับทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ การดื่มชาเขียวแช่เย็น นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกายได้แล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัว
แน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง นอกจากนี้ ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้าย ตามมา อาทิเช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น เรายังมีการทดสอบให้เห็นอย่างง่าย ๆและชัดเจนเกี่ยวกับอันตรายที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้ให้ท่านเห็นได้ด้วยตนเอง โดยการนำชาเขียวแช่เย็น ยิ่งเย็นยิ่งเห็นชัด นำมาเทลงในชามก๊วยเตี๊ยว จะพบว่าหลังจากเทชาเขียวแช่เย็นลงไปได้ครู่เดียว จะมีคราบไขมันลอยเห็นเป็นคราบบนน้ำซุป หรือเกาะเป็นคราบที่ชามก๊วยเตี๊ยวทันที แล้วร่างกายท่านล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อดื่มชาเขียวแช่เย็นเข้าไป...........สยองไหมละ
ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด แต่จะดื่มชาเขียวร้อนอย่างชาญฉลาด ในขณะที่คนไทยที่คิดว่าตนเองฉลาดกลับดื่มชาเขียวแช่เย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย แบบฉล๊าด ฉลาด......
อันตรายจากชาเขียวขวด
ชาเขียวขวดส่วนใหญ่ในท้องตลาด ส่วนใหญ่จะมีปริมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร์ (c.c.) มีส่วนผสมน้ำตาลตั้งแต่ 9% - 17% แล้วแต่ยี่ห้อ ก่อนอื่นมารู้จักกับชาเสียก่อนว่ามีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง
ในชาจะมีสารที่สำคัญเช่น คาเฟอีน แทนนิน สารต่อต้านมะเร็ง
1. คาเฟอีน มีทั้งผลดีและผลเสีย
- ผลดี คือ กระตุ้นสมองทำให้ความจำดี หายง่วงนอน กระตุ้นหัวใจทำให้สดชื่น
- ผลเสีย คือ จะทำให้ไขมันในเลือดขึ้นสูง ยิ่งดื่มคาเฟอีนมาก ยิ่งทำให้ไขมันในเลือดสูงมากขึ้นตาม ผลก็คือทำให้เส้นเลือดตีบตันเร็ว ความดันโลหิตสูง เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้น้อยลง ทำให้อวัยวะเหล่านั้นเสื่อมเร็วขึ้น หรือแก่เร็วขึ้น
2. เรื่องดื่มชาแล้วอ้างไขมัน
เป็นเรื่องของแทนนีนที่อยู่ในชา แทนนินจะทำให้การดูดซึมอาหารจากทางเดินอาหารเสียไป รวมถึงไขมันในอาหารด้วย ฉะนั้นเวลาทานเลี้ยงโต๊ะจีน ถ้าดื่มชามาก ๆ ไขมันจากมื้อนั้นก็จะไม่ถูกดูดซึมเข้าในกระแสเลือด แต่ไม่ใช่ดื่มชาแล้วล้างไขมันในเลือดให้ลดลง แทนนินยังทำให้ท้องผูกด้วย
3. ประโยชน์ของชาเขียวคือสารต่อต้านมะเร็ง
ในชาขาวมีมากสุด ถัดมาในชาเขียว ในชาดำมีน้อยที่สุด
i
ชาทั่วไปเด็ดจากยอดอ่อนซึ่งมีสีขาวเพราะยังไม่มีการสังเคราะห์คลอโรฟิล จึงยังไม่มีสีเขียว ฉะนั้นชาขาวจึงจะมีคุณสมบัติ 3 ข้อข้างบนมากที่สุด ต่อมานำมาบ่มเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเขียวหรือชาเขียว ถ้าบ่มต่อไปจะกลายเป็นสีดำหรือชาดำ ซึ่งคุณสมบัติของชาก็จะลดลงตามลำดับ
ฉะนั้นชาเขียวจะเป็นชาชนิดไหนก็ได้ที่บ่มจนกลายเป็นชาเขียว เช่น ชาหม่อน ชาอินเดีย ชาญี่ปุ่น เป็นต้น
ปกติไม่ควรดื่มคาเฟอีนเกินวันละ 200 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับชา 4 - 5 ถ้วย หรือกาแฟ 2 ถ้วยครึ่ง
ชาเขียวขวด มีน้ำตาลผสม 9 - 17% แล้วแต่ยี่ห้อ แปลว่าอะไร แปลว่าชาเขียว 100 มิลลิลิตร จะมีน้ำตาล 9 - 17 กรัม แต่ชาเขียว 1 ขวด มีปริมาณ 500 มิลลิลิตร จึงมีน้ำตาล 45 - 85 กรัม
ปริมาณความต้องการน้ำตาลของร่างกายไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา หรือ 50 กรัมต่อวัน หมายความว่า ทั้งวันเฉลี่ยกันไป เช่น เช้า 1 ช้อนชา สาย 1 ช้อนชา เที่ยง 1 ช้อนชา บ่าย 1 ช้อนชา เย็น 1 ช้อนชา กลางคืนอีก 1 ช้อนชา ถ้ากระจายบริโภคน้ำตาลอย่างนี้ น้ำตาลจะถูกนำไปเป็นพลังงานได้หมด โดยเฉพาะระบบประสาทและสมอง แต่ถ้าบริโภคครั้งเดียว 6 ช้อนชา หรือ 45 กรัม (1 ช้อนชามีน้ำตาล 9 กรัม) แสดงว่าวันนั้นหมดโควต้าแล้ว จะบริโภคน้ำตาลอีกไม่ได้เลย แต่ถ้าฝาจุกมีรางวัลด้วยแล้วบางคนก็ดื่มวันละ 3 - 4 ขวด ปริมาณน้ำตาลก็ยิ่งเกินความต้องการไปอีกมาก
ในแง่บริโภคน้ำตาลครั้งเดียว 45 กรัม(1 ขวดชาเขียวยี่ห้อดัง) ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้หมดในทันที ฉะนั้นระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นมาก ร่างกายมนุษย์จะหลั่งฮอร์โมน "อินซูลิน" ออกมาเพื่อกำจัดน้ำตาลที่มากเกินไปนั้น ผลปรากฎว่าทำให้น้ำตาลในเลือดลดต่ำเกินไปในระยะต่อมา เป็นผลทำให้คน ๆ นั้นเหมือนขาดน้ำตาล อยากกินของหวาน ๆ อีก และขณะที่น้ำตาลในเลือดต่ำลงนี้ สมองจะขาดพลังงาน เป็นผลให้เกิดอาการง่วงนอนหลังรับประทานของหวาน ฉะนั้นถ้ารับประทานหวานไปเรื่อย ๆ หรือดื่มชาเขียวไปทั้งวัน สมองก็จะขาดพลังงานไปทั้งวัน ผลที่ได้รับคือ สมองเสื่อมเร็วกว่าปกติ
การที่อินซูลินหลั่งออกมาเพื่อกำจัดน้ำตาลในเลือด ถ้าอินซูลินออกมามาก ๆ สุดท้ายตับอ่อนจะหมดสภาพที่จะหลั่งอินซูลินได้อีก ทำให้เป็นโรคเบาหวานได้
อีกประการหนึ่ง การบริโภคน้ำตาลมากเกินกว่าความต้องการของร่างกายแบบนี้ ส่วนใหญ่น้ำตาลจะถูกตับเปลี่ยนให้เป็นไขมัน "ไตรกลีเซอไรด์" ซึ่งสามารถทำร้ายร่างกายได้มากกว่า "คลอเลสเตอรอล" เสียอีก และเป็นเหตุให้ร่ากงายอ้วนได้มากกว่าการรับประทานอาหารไขมันอีกด้วย
แทนนินในชา จะรบกวนกระบวนการดูดซึมอาหารทำให้ท้องผูกด้วย ฉะนั้นถ้าดื่มชามาก ๆ จะเป็นสาเหตุให้ร่างกายขาดอาหารได้
สรุป หากจะดื่มชาเชียวให้พิจารณา
1. มีน้ำตาลกี่ % ถ้าคำนวนแล้วไม่เกิน 50 กรัม ก็ถูกต้องตามความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
2. การดื่มชาเขียว 1 ขวด ต้องดื่มทีละส่วนโดยแบ่งเป็น 6 เวลา ตั้งแต่เช้า - กลางคืน จึงจะไม่เป็นอันตราย
3. ถ้าดื่มชาเขียว 1 ขวดต่อวันแล้ว หมดสิทธิ์ที่จะบริโภคน้ำตาลจากอาหารอื่น ๆ ได้อีก
อ.ย.น่าจะบังคับให้บริษัทที่ผลิตชาเขียวขวด เขียนฉลากไว้ด้วยว่าต้องแบ่งดื่ม 1 ขวดเป็นช่วง ๆ 6 ช่วง
ใน 1 วัน และกำหนดด้วยว่าห้ามดื่มชาเขียวขวดเกินวันละ 1 ขวด จึงจะเป็ฯการคุ้มครองผู้บริโภค
คัดลอกจากนิตยสารสุขภาพ "ใกล้หมอ" ปีที่ 30 ฉบับที่ 3 เดือนมีนาคม 2549 หน้า 34 - 37 บทความ "ทัศนะ 'หมอชุม' ต่อระบบสาธารณสุขไทย"
พลตำรวจตรีนายแพทย์ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์คนแรกของกระทรวงยุติธรรม (2546 - 2548) ตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดี, กรรมการแพทยสภาจากการเลือกตั้ง 5 สมัย (2536 - 2546) , กรรมการแพทย์สำนักงานประกันสังคม (2545 - 2546) และรองเลขาธิการแพทยสภา 5 สมัย ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารและการต่างประเทศของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ , เป็นกรรมการบริหารแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทั้งเป็นประธานอนุกรรมการสอบสวนกรณีจริยธรรมชุดที่ 8 ของแพทยสภา ฯลฯ อีกด้วย ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
" ... หลักการตอนนี้ เราก็ต้องการให้เป็นไปในเชิงเสริมสร้างสุขภาพมากกว่า คือ มุ่งเน้นการป้องกันและสร้างเสริม พูดถึงการป้องกัน (Prevent) และสร้างเสริม ซึ่ง 2 อย่างนี้มันคนละเรื่องกันเลย การป้องกัน เช่น ฉีดวัคซีน นี่ป้องกันแน่ แต่สร้างเสริม หมายความว่า ทำอย่างไรอย่าให้ขี้โรค ทำอย่างไรให้ร่างกายแข็งแรงแล้วไม่เจ็บป่วย สร้างเสริม นั้นต้องละเว้น ลด ละ เลิก พฤติกรรม ที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ซึ่งไม่ค่อยยอมทำกัน เพราะอะไร เพราะผลของการโฆษณา โฆษณามันเข้ามาครอบหมดเลย ทุกวันนี้กินชาเขียวกันทำไมไม่รู้ ขวดละตั้ง 20 บาท กินกันทำไมไม่รู้ ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ น้ำตาลเกิดความจำเป็น แต่เราก็พูดได้เท่านี้ มันไม่ได้ให้ประโยชน์กับร่างกาย และมันเป็นแคลอรี่ส่วนเกินที่ไม่จำเป็นเลย
น้ำอัดลมนี่ก็ต้องมาคิดกันว่าจะทำอย่างไร ลูก ๆ จึงจะหยุดดื่ม ทำอย่างไรให้เลิกดื่มน้ำอัดลมให้ได้ เพราะในนั้นมีแต่แคลอรี่ส่วนเกิน ก่อนที่มันจะอ้วนเกินไป บุหรี่ก็ทำอันตรายอย่างสุขภาพอย่างชัดเจน ไม่มีอะไรจะชัดเจนได้เท่ากับบุหรี่ .....
... ก็ทำร้ายตัวเองมาตลอด จนถึงปี 2546 เพิ่งเลิกสูบบุหรี่ สูบมาตั้งแต่อายุ 18 ปี แล้วก็เปลี่ยนเป็นยาเส้น พอผ่านิ่ว ก็เลิกเด็ดขาด เลิกคือทิ้งเลย ตัดสินใจอย่างเดียวคือเลิก มันมีสัจธรรมเป็นข้อแลกเปลี่ยน ถ้ายังขืนสูบต่อไปแย่แน่ เช่น คนที่หัวใจวาย คนที่หัวใจขาดเลือด ขืนสูบอีกมวนเดียว ก็ไม่เหลืออะไร ... "
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
68 VOTES (4/5 จาก 17 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
"กองปริศนา" ปริศนาของเวทมนตร์ที่อาจอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด"ไข่ผำ" พืชจิ๋ว ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากข้อดี และ ข้อเสียของการดื่มกาแฟมีอะไรบ้าง อันตรายแค่ไหนHot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ไข่ผำ" พืชจิ๋ว ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากคลังฟันธง! "ดิไอคอน" เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ต้องครบ 3 เงื่อนไข ร่วมวง DSI สรุปสำนวนคดี"กองปริศนา" ปริศนาของเวทมนตร์ที่อาจอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิดใครบอกว่า สัตว์น้ำไม่นอน วาฬนอน พิสูจน์ว่าปลาก็นอนเหมือนเรา