บุปผาในกุณฑีทอง
บุปผาในกุณฑีทอง เป็นวรรณกรรมจีนที่ประพันธ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง อ้างตามฉบับพิมพ์สมัยราชวงศ์หมิงในช่วงรัชสมัยของของจักรพรรดิเสินจง ศักราชว่านลี่ ปีติงซื่อ (ปีที่ 45 ของรัชกาล) ผู้รจนานิยายเรื่องนี้ใช้นามปากกาว่า หลานหลิงเซี่ยวเซี่ยวเซิง เดิมนับว่าเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับนวนิยายอีกสามเรื่องคือ สามก๊ก ซ้องกั๋ง และไซอิ๋ว เรียกรวมกันว่า "สี่วรรณกรรมอันยิ่งใหญ่" แต่ต่อมาเรื่อง บุปผาในกุณฑีทอง ถูกต่อต้าน เนื่องจากในเรื่องมีการพรรณนาถึงบทสังวาสจำนวนมาก จนถูกเรียกว่าเป็นหนังสือโลกีย์ จึงมีการจัดให้ ความฝันในหอแดง นิยายอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนแทนที่
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าบุปผาในกุณฑีทอง หรือ จินผิงเหมย จะเป็นนิยายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกียะและบางยุคก็ถือเป็นหนังสือต้องห้าม แต่ก็แต่งด้วยสำนวนภาษาที่มีความงดงามละเมียดละไม นิยายเรื่องนี้ได้ทำลายขนบในการเขียนนิยายอิงพงศาวดารและนิยายเกี่ยวกับผีสางเทวดาลง โดยใช้ลีลาการเขียนด้วยสำนวนง่ายๆ กะทัดรัด และมีชีวิตชีวา มีการบรรยายชีวิตตัวละครและตัวประกอบ โดยใช้ชีวิตประจำวันของซีเหมินชิ่งและคนในครอบครัวเป็นศูนย์กลาง กล่าวถึงชีวิตของซีเหมินชิ่งที่รุ่งเรืองและตกอับ ทำอย่างไรให้ร่ำรวยขึ้นมา และทำอย่างไรให้ตัวตกอับ ถือเป็นการบรรยายถึงสภาพสังคมในช่วงราชวงศ์หมิง ซึ่งแสดงถึงทัศนคติและมุมมองของประชาชนทั่วไปในคริสต์ศตวรรษที่ 16 อีกด้วย
ที่มาของชื่อเรื่องจินผิงเหมยนี้ มักถูกเข้าใจว่าชื่อเรื่องมีความหมายว่า ดอกบ๊วยในแจกันทอง เนื่องจากนำคำว่า จิน, ผิง และคำว่าเหมย มารวมกันทำให้มีความหมายดังกล่าว แต่แท้ที่จริงแล้วชื่อเรื่องจินผิงเหมย นำมาจากชื่อของตัวละครหญิงที่สำคัญ 3 คนในเรื่อง คือ พานจินเหลียน , หลี่ผิงเอ๋อร์ และผังชุนเหมย
ในหนังสือบันทึกหยิวจวีซื่อลู่ของเหฺยวียนจงต้าวที่แต่งขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิง ได้กล่าวไว้ว่า "...เหตุที่เรียกว่า 'จิน ' คือ 'จินเหลียน' นั่นเอง ที่เรียกว่า 'ผิง ' นั่นก็คือ 'ผิงเอ๋อร์' และ 'เหมย ' ก็คือ 'ชุนเหมย ' นั่นเอง..."
นอกจากนี้ ตงอู๋น่งจูเค่อ ได้กล่าวไว้ในคำนำของจินผิงเหมยว่า "...แม้ว่าเรื่องนี้จะมีชื่อผู้หญิงจำนวนมาก แต่ใช้เฉพาะชื่อของ 'พานจินเหลียน ' 'หลี่ผิงเอ๋อร์ ' และ 'ชุนเหมย ' มาตั้งชื่อเท่านั้น..."
ประวัติ
บุปผาในกุณฑีทอง หรือ จินผิงเหมย เป็นวรรณกรรมจีนที่ประพันธ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง อ้างตามฉบับพิมพ์สมัยราชวงศ์หมิงในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิเสินจง ศักราชว่านลี่ ปีติงซื่อ (ปีที่ 45 ของรัชกาล) โดยพิมพ์จาก จินผิงเหมยฉือฮว่า ซึ่งเป็นฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดฉบับหนึ่ง ได้กล่าวถึงผู้ประพันธ์นิยายเรื่องจินผิงเหมยนั้น เป็นคนในช่วงราชวงศ์หมิง ใช้นามปากกาว่า หลานหลิงเซี่ยวเซี่ยวเซิง แต่ไม่สามารถยืนยันชื่อและแซ่ของเจ้าของนามปากกานี้ได้
เนื่องจากจินผิงเหมยฉบับดังกล่าวมีสำนวนภาษาหลู่หนาน ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นทางตอนใต้ของมณฑลซานตงจำนวนมาก ซึ่งทำให้ผู้อ่านทั่วไปเข้าใจได้ยาก ดังนั้นในรัชสมัยของจักรพรรดิฉงเจิน ได้มีปัญญาชนชาวเมืองหางโจวที่ไม่สามารถยืนยันแซ่ได้ ซึ่งได้ปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้อ่านทางตอนใต้ การปรับปรุงดังกล่าวนั้นไม่เพียงแต่ตัดสำนวนภาษาพื้นบ้านกับบทบรรยายออกไปเท่านั้น แต่ยังได้แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาและรายละเอียดต่าง ๆ จำนวนมาก จนเป็นที่มาของจินผิงเหมยฉบับฉงเจิน
นับแต่นั้นมา จินผิงเหมยฉบับที่แพร่หลายเรียกว่า "จินผิงเหมยฉบับจริง" หรือ "จินผิงเหมยฉบับเก่าแก่" รวมไปถึงจินผิงเหมยที่ขายตามท้องตลาดในปัจจุบัน ล้วนมาจากฉบับเดียวกันทั้งสิ้น แม้ว่าจะมีการแก้ไขอย่างดีแต่ก็มีหลายแห่งที่แก้ไขด้วยความเข้าใจผิด หรือแก้ผิดอยู่ โดยคนทั่วไปส่วนใหญ่มักจะได้อ่านจินผิงเหมยฉบับฉงเจิน แต่ไม่เคยได้อ่านจินผิงเหมยฉบับดั้งเดิมเลย จึงทำให้ไม่ทราบความแตกต่างของทั้งสองฉบับนี้ นอกจากนี้ยังมีภาษาท้องถิ่นที่มีความหมายไม่แน่ชัดทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน
เรื่องย่อ
เป็นเรื่องราวของซีเหมินชิ่งกับนางพานจินเหลียนซึ่งเป็นตัวละครของนิยายเรื่องซ้องกั๋ง มาเป็นตัวละครหลักในการประพันธ์ โดยกำหนดให้ซีเหมินชิ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง เดิมซีเหมินชิ่งเป็นเศรษฐีที่ครอบครัวตกอับที่เมืองชิงเหอ แต่ในนิยายเรื่องนี้ซีเหมินชิ่งได้ร่ำรวยขึ้นมาอีกครั้งในบ้านมีภรรยาหลวง 1 คน และภรรยาน้อยอีก 3 คน เมื่อซีเหมินชิ่งได้มีความสัมพันธ์กับนางพานจินเหลียน ซีเหมินชิ่งก็ได้แต่งงานกับเศรษฐิณีม่ายชื่อเมิ่งอวี้โหลว หลังจากที่ซีเหมินชิ่งได้แต่งพานจินเหลียนเข้ามาแล้ว ซึเหมินชิ่งก็แอบไปมีความสัมพันธ์ลับกับนางหลี่ผิงเอ๋อร์ ภรรยาของพี่ชายร่วมสาบานชื่อฮวาจื่อซวี จนเมื่อฮาจื่อซวีเสียชีวิตไป ซีเหมินชิ่งก็ได้แต่งงานกับนางหลี่ผิงเอ๋อร์เข้ามาเป็นอนุภรรยาคนที่ 6 ซีเหมินชิ่งได้ทรัพย์สินเงินทองจากเมิ้งอวี้โหลวกับหลี่ผิงเอ๋อร์เป็นจำนวนมาก ทำให้ซีเหมินชิ่งสามารถติดสินบนกับบรรดาขุนนาง คบค้าสมาคมกับชนชั้นสูงเพื่อนที่ตนจะได้เป็นขุนนางบ้าง จนไม่ว่าจะเป็นราชองครักษ์, ขันที หรือแม้แต่ขุนนางท้องถิ่นต่างต้องลดตัวลงมาคบหาสมาคมกับซีเหมินชิ่ง
ด้วยเหตุนี้อำนาจของซีเหมินชิ่ง รวมทั้งกิจการการค้าก็รุ่งเรืองขึ้นทุกวัน นอกจากร้านขายยาสมุนไพร ก็ยังเปิดโรงรับจำนำ ร้านขายผ้าต่วน ผ้าแพร ร้านไหมพรม ทั้งยังมีเรือสินค้านำเกลือมาจากเมืองหยางโจวเข้ามาขาย เฉพาะหลงจู๊ของแต่ละกิจการก็มีมากกว่า 10 คน เมื่อมีทรัพย์มากก็มีอำนาจเพิ่มขึ้นโดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหัวเมืองชายทะเลอย่าง เมืองหางโจว, หูโจว, ซงเจียง และหนานจิง
ทั้ง ๆ ที่เขาก็มีอนุภรรยาเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็ไปมีความสัมพันธ์กับชุนเหมย สาวใช้ของพานจินเหลียน และยังไปแอบมีความสัมพันธ์สวาทกับสตรีคนอื่นทั้งในบ้านและนอกบ้านเพื่อบรรลุโลกียสุขโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมและศีลธรรมและไม่สนว่าจะได้มาด้วยวิธีใด ทำให้ครอบครัวผู้อื่นบ้านแตกสาแหรกขาด ผู้คนล้มตาย จนท้ายที่สุดร่างกายของเขาก็ทรุดโทรมลง และเขาก็เสียชีวิตลงขณะร่วมสังวาสกับนางพานจินเหลียน
การตีพิมพ์
เมื่อแรกเริ่มจินผิงเหมยจะเป็นรูปแบบที่เขียนด้วยมือ จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ. 1610 จึงได้มีการพิมพ์แกะไม้โบราณเป็นฉบับแรก และในสมัยสาธารณรัฐจีน ปีที่ 20 พบว่าได้มีการพิมพ์จินผิงเหมยจำนวน 100 ตอน โดยสมาคมจัดพิมพ์นิยายโบราณที่สูญหายแห่งเมืองเป่ย์ผิง (ปัจจุบันคือ กรุงปักกิ่ง) และฉบับของสำนักพิมพ์วรรณคดีประชาชนเป็นผู้เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1933 และในปี ค.ศ. 1956 ตามลำดับ
หนังสือเรื่องจินผิงเหมยจึงเป็นหนังสือที่หายาก ต่อมาภายหลังเมื่อได้รับการยกย่องด้านวรรณศิลป์มากขึ้นกว่าการขนานนามว่าเป็นหนังสือต้องห้าม[2] จึงได้มีการจัดพิมพ์อย่างแพร่หลาย เช่น ฉบับการจัดพิมพ์จินผิงเหมยที่กรุงไทเป, ฉบับฮ่องกงโดยสำนักพิมพ์เซียงกั่งม่อไฮ่เหวินฮว่า, ฉบับจีนโดยสำนักพิมพ์วรรณคดีประชาชน โดยมีจำนวน 100 ตอนเช่นเดียวกัน
การตีพิมพ์ในประเทศไทย
ในประเทศไทยได้มีการตีพิมพ์เรื่องจินผิงเหมยด้วยเช่นกัน โดยเป็นผลงานการแปลของโชติ แพร่พันธุ์ เจ้าของนามปากกา ยาขอบ สาเหตุที่เขาแปลจินผิงเหมยเป็นภาษาไทยนั้น เนื่องจากเขาได้รับหนังสือเรื่องจินผิงเหมยฉบับภาษาอังกฤษชื่อ Chin P'ing Mei ของเบอร์นาร์ด เมียลล์ (Bernard Miall) (ซึ่งแปลจากภาษาเยอรมันที่ ฟรันซ์ คูห์น (Franz Kuhn) ได้แปลมาจากภาษาจีน) จากเพื่อนผู้หนึ่งมาอ่านขณะที่ตนเจ็บป่วยซึ่งแพทย์ก็ได้สั่งห้ามเขียนหนังสือ แต่ยาขอบได้ประทับใจนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังใจความตอนหนึ่งความว่า "...หนังสือเล่มนั้นดูดดึงความรู้สึกของข้าพเจ้าเหลือเกิน บัดนี้ข้าพเจ้ากล้ากล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเพราะอาศัยความดื่มด่ำจากรสชาติของภาษาและความละมุนละไมตามเนื้อเรื่องของหนังสือเล่มนั้น-เล่มที่ข้าพเจ้าได้อ่าน-บัดนี้ข้าพเจ้าหาระย่อต่อความตายแล้วไม่!"
ด้วยเหตุนี้เองยาขอบจึงได้แปลจนจบและมอบให้สำนักพิมพ์วรรธนะพิบูลย์พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2498 ก่อนหน้าที่ยาขอบจะเสียชีวิตได้ไม่นาน อย่างไรก็ตามบุปผาในกุณฑีทองของยาขอบหากเปรียบเทียบกับจินผิงเหมยฉบับภาษาจีนก็จะพบว่ายาขอบแปลเรื่องจินผิงเหมยตั้งแต่บทที่ 1 ขึ้นไปจนถึงบทที่ 26 เท่านั้น จากทั้งหมด 100 ตอน หรือเพียง 1 ใน 4 ของต้นฉบับภาษาจีน นอกจากนี้ยาขอบยังได้แบ่งตอนใหม่เป็น 45 ตอนและไม่ตรงตอนเดิมของฉบับภาษาจีน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ตรงกับฉบับภาษาจีน แต่อาจมีความคลาดเคลื่อนไปบ้างเนื่องจากการแปลของยาขอบแปลมาจากฉบับภาษาอังกฤษที่แปลมาจากภาษาเยอรมันและภาษาจีนอีกทอดหนึ่ง การแปลจึงเป็นการแปลเอาความและมีลักษณะเอาของเก่ามาเล่าใหม่ แต่บุปผาในกุณฑีทองของยาขอบมีความพิเศษด้วยการหาคำประพันธ์ในวรรณคดีไทยที่มีเนื้อหาคล้องจองกันมาแทรกกับคำแปลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของยาขอบว่ามีความรู้ในวรรณคดีไทยเป็นอย่างดี
ยาขอบได้ถ่ายชื่อตัวละครในเรื่องซึ่งรับชื่อมาจากอักษรโรมันจึงมีความคลาดเคลื่อนบ้าง นอกจากนี้ยังได้แปลงชื่อจากสำเนียงกลางให้เป็นสำเนียงแต้จิ๋ว เนื่องจากสำเนียงดังกล่าวถือเป็นสำเนียงที่คุ้นหูของคนไทยในสมัยนั้น หรือทำชื่อให้เป็นชื่อไทยเช่น นางบัวคำ นางขลุ่ยหยก และนางดวงแข จึงทำให้ชื่อตัวละครคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับภาษาจีน เช่น
- ซี เหมินชิ่ง ฉบับยาขอบใช้ว่า ไซหมึ่งเข่ง บ้างเรียก ตั้วกัวยิ้ง
- พาน จินเหลียน ฉบับของยาขอบเรียกว่า พัวกิมเน้ย บ้างเรียก นางบัวคำ
- หลี่ ผิงเอ๋อร์ ฉบับของยาขอบเรียกว่า นางลีปัง หรือ ฮวยลีปัง
นอกจากฉบับของยาขอบแล้ว ในระยะเวลาใกล้เคียงกันก็มีผู้แปลเรื่องจินผิงเหมยเป็นภาษาไทยอีกคนหนึ่งคือ เนียน กูรมะโรหิต ภรรยาของสด กูรมะโรหิต โดยใช้ชื่อเรื่องว่า ดอกเหมยในแจกันทอง ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์แสนสุข แต่แปลและพิมพ์ไม่จบ
เขมรขอถก JBC ด่วน ยันไม่รับเส้นเขตแดน จากการใช้กำลังของไทย
"มัดหมี่ พิมดาว" แฉกลลวงสูญเงิน 8 ล้านบาท จากแรงศรัทธา
นรกแตกก่อนวันเซ็นสัญญา F16 ไทยบึ้มสะพาน คืนหมาหอน "ฮุนเซน" อกแตก แพ้หมดรูป จำยอมเซ็นสงบศึก
เจาะสเปก กริเพน ทําไมกองทัพไทยถึงเลือกใช้
บทเรียนราคาแพง 111 ล้าน เมื่อความเชื่อใจกลายเป็นช่องโหว่ให้คนสนิทฉกฉวย
เปิด 2 ข้อหาหนัก "ป้าแอน" แม่บ้านทคดีผสมเดทตอลในขวดนมเด็ก พบประวัติอาชญากรรมเมื่อปี 67
แม่บ้านเดทตอลมหาภัยถูกจับกลางรายการ ยืนยันไม่ได้ตั้งใจวางยาเด็ก เข้าใจผิดคิดว่าเป็นนม พร้อมขอโทษผู้เสียหาย
ไม่ปวกเปียกเป็นปลาป่วย
เมื่อจีนอยากทำหนัง The Shallows เป็นของตัวเอง จะเป็นยังไง
จารกรรมพันธุ์พืชเปลี่ยนโลก ปฏิบัติการขโมย "ชา" จากแผ่นดินมังกรสู่อินเดีย
เปิดอายุแท้จริงของ น้องจินนี่ ลูกสาว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ทำให้หลายคนเข้าใจผิด
10 วาทะเด็ดแห่งปี 2568 ที่คนไทยลืมไม่ลง
นรกแตกก่อนวันเซ็นสัญญา F16 ไทยบึ้มสะพาน คืนหมาหอน "ฮุนเซน" อกแตก แพ้หมดรูป จำยอมเซ็นสงบศึก
เปิดอายุแท้จริงของ น้องจินนี่ ลูกสาว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ทำให้หลายคนเข้าใจผิด
Luxuriate อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขแบบไม่ต้องรู้สึกผิด
ความหวังใหม่ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ชายออสเตรเลียคนแรกของโลกที่ใช้หัวใจเทียมทั้งหมด
เมื่อจีนอยากทำหนัง The Shallows เป็นของตัวเอง จะเป็นยังไง
"มัดหมี่ พิมดาว" แฉกลลวงสูญเงิน 8 ล้านบาท จากแรงศรัทธา
