ผู้เชี่ยวชาญชี้ อาจสิ้นศาสนาในอีก 30 ปี
นักจิตชีววิทยาไอริชระบุ ศาสนาอาจถึงถึงยุคอวสานในปี 2584 เพราะ คนจะเน้นการครอบครองทรัพย์สมบัติมากกว่า
ไนเจล บาร์เบอร์ นักจิตชีววิทยาจากไอร์แลนด์ ทำการศึกษาคนใน 137 ประเทศทั่วโลก พบว่า ความไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพิ่มขึ้นในประเทศที่มีพัฒนาแล้ว ในขณะเดียวกัน คนก็มีความร่ำรวยทางวัตถุเพิ่มมากขึ้น
ความไม่เชื่อว่ามีพระเจ้านั้นมีเพิ่มขึ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อน ในขณะเดียวกัน ศาสนาจะลดความสำคัญ พร้อมๆ ความร่ำรวยของบุคคลที่เพิ่มขึ้น
ศาสนาที่ลดความสำคัญลงนั้นเกิดมาจากคนพึ่งพาเรื่องเหนือธรรมชาติลดลง เมื่อการครอบครองวัตถุสามารถตอบสนองความต้องการได้มากกว่า นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิต ลดความเสี่ยงการเป็นโรคร้ายแรง ได้รับการศึกษาที่ดีและ มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บาร์เบอร์ เชื่อว่าความต้องการในหลายๆ สังคมมีความต้องการในศาสนาลดลง เช่น ญี่ปุ่น และสวีเดน ซึ่งคนทั่วไป และคนส่วนมากไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนา
แต่สำหรับประเทศไทย คงไม่ใช่เพราะความมีทรัพย์สมบัติช่วยให้ตัวเองมีความสุขขึ้น มีสุขภาพจิตดีขึ้นเท่านั้น แต่เป็นเพราะผู้เผยแผ่ศาสนาจำนวนมาก ขาดซึ่งวุฒิทางปัญญา ขาดซึ่งความศรัทธาต่อพระธรรมคำสั่งสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เข้ามาสู่ร่มกาสาวพักตร์ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป ไม่เหมือนแต่ก่อนในอดีตกาล ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พระสงฆ์เหล่านั้นจะปฏิบัติตนผิดเพี้ยนไปจากวัตรปฏิบัิติที่พึงกระทำ การเข้าวัดหรือการมีปฏิสัมพันธ์ของฆราวาสกับสงฆ์ของคนไทยจึงเปลี่ยนไปด้วย ย่อมเป็นธรรมดาที่ความศรัทธาย่อมลดลง และในอนาคตศาสนาคงไม่ใช่ที่พึ่งทางใจให้กับหลายๆ คนอีกต่อไป
เราเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นข่าวกันอยู่เกือบทุกวัน ถ้าหากผู้เกี่ยวข้องโดยตรงยังไม่หาหนทางแก้ไขอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม คงไม่ถึง 30 ปี คนรุ่นใหม่อาจไม่เข้าวัดอีกเลยก็เป็นได้
"อย่ามัวแต่หลงไปกับเปลือก
จงเข้าไปสู่ใจกลางของแก่นธรรม
เราทุกคนทำได้ หากใช้ปัญญา"
ด้วยความเคารพ...mata
วิเคราะห์และเรียบเรียง พรชัย สังเวียนวงศ์ (mata)
http://www.posttoday.com/