การทดลองฟิลาเดลเฟีย สุดยอดอาวุธล่องหน
เมื่อ ฤดูใบไม้ร่วงปี 1943 สหรัฐนาวีได้ดำเนินการทดลองงานเทคโนโลยี่ อย่างหนึ่งที่อู่ทหารเรือฟิลาเดลเฟีย งานทดลองนั้นเกี่ยวข้องกับ ทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่มีชื่อเรียกว่า “ยูนิไฟด์ ฟีลด์” (Unified Field Theory) สาระสำคัญของทฤษฎีที่ว่านี้ ก็คือความถ่วง สภาวะแม่เหล็ก และไฟฟ้า ทั้งสามอย่างนี้ควบคุมโดยพลังงานอย่างเดียวกัน ดังนั้นถ้าเปลี่ยนแปลงถ้าเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะแม่เหล็ก กับไฟฟ้า ก็จะสามารถยักย้าย ความถ่วงและมวลสารได้ (แต่ทฤษฎีนี้ไม่สมบูรณ์ แล้วตอนหลังไอน์สไตน์ก็ขอถอน) จุดมุ่งหมายของการทดลอง ครั้งนี้ก็เพื่อ จะหาทางทำให้เรือไม่ถูก เรดาห์ของข้าศึกตรวจจับได้
9.00 น. ของวันที่ 22 กรกฎาคม 1943 ขณะที่เรือพิฆาตคุ้มกันของนาวีสหรัฐชื่อ เอลดริดจ์ (USS Eldridge) ซึ่งได้ติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า ไทม์-ซีโร่ เยอเนอเรเตอร์ (Time Zero Generator) และเครื่องกำเนิดแม่เหล็กไฟฟ้าอีก 4 เครื่อง กำลังแล่นทดลองอยู่ในทะเลนั้น พลันก็ปรากฏหมอกควันสีเขียวจาง ๆ ห่อหุ้มเรือ แล้วเรือเอลดริดจ์ก็หายวับไปจากสายตาของบรรดานายทหารเรือชั้นสูงที่เฝ้าดู การทดลองครั้งนี้อยู่ แต่น่าประหลาดที่ยังคงแล เห็นเหมือนรอยท้องเรือ เป็นร่องลึกลงไปในน้ำ ยี่สิบนาทีผ่านไปเรือเอลดริดจ์ก็กลับมา ให้เห็น อีกครั้งหนึ่ง
เรื่อง ไม่เพียงแต่แค่นี้ พวกลูกเรือบนเรือเอลดริดจ์คล้ายจะเป็นบ้า วิ่งกันให้พล่าน พร่ำส่งเสียงที่ฟังไม่เป็นภาษา บางคนมีอาการเหมือนเมาเหล้าส่งเสียง หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่พวกที่เฝ้าสังเกตการณ์ สามารถมองเห็นพวกเขาได้นั้น พวกลูกเรือกลับบอกว่าเขามอบไม่เห็นใครเลย และหลายคนยังบอกอีกว่า พวกเขาเห็นสถานีทหารเรือที่นิวปอร์ตในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทดลองถึง 965 กม. และมีผู้เห็นด้วยว่าในช่วงเวลาที่การทดลองปฏิบัติการครั้งนี้เรือ เอลดริดจ์ได้ไปอยู่ที่นิวปอร์ตจริง ?
อีกสามสัปดาห์ต่อมา ได้ทดลองกันอีกครั้ง คราวนี้เปลี่ยนลูกเรือเป็นชุดใหม่ และมีเรือ แอนดรูว์ ฟูรูเสธ (SS Andrew Furuseth) ทำหน้าที่ ควบคุมแล่นกำกับไปด้วย ตามข่าวว่ามีเรือสินค้าอีกลำชื่อเรือมาเลย์ (SS Maley) ที่ บังเอิญอยู่แถวนั้นก็พลอยเห็นเหตุการณ์ไปด้วย แล้วก็อีก ผู้เฝ้าสังเกตการณ์ แลเห็นหมอกสีเขียว ปรากฏขึ้นอีก แต่คราวนี้ผลที่เกิดกับลูกเรือออกจะน่ากลัวมาก บางคนไฟลุกไหม้ขึ้นมาเฉย ๆ บางคนก็เหมือนฝังจมเข้าไป กับส่วนบนของเรือ หลายคนเสียสติ มีคนหนึ่งหายตัวไปเลย
เรื่องนี้ก็เหมือนนิทานชาวเรือทั้งหลายที่ฟังสนุกน่าตื่นเต้น แต่ก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง รอย เบนตันนักเดินเรือเก่าที่เคยตระเวนไปเจ็ดย่าน น้ำบอกว่าถ้าอยากรู้ความจริงก็ต้องย่อยเรื่องออกเป็นส่วน ๆ แล้วดูซิว่าส่วนไหนจริงส่วนไหนไม่จริง แล้วค่อยเอามาประกอบกับขึ้นใหม่
แรกทีเดียวก็ มาดูกันว่าเรือลำนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ปรากฏว่ามีจริง เรือลำนี้ต่ออยู่ที่อู่ของบริษัทเฟดเดอรัลชิปบิลดิ้งแอนด์ดรายด็อค ที่เมืองนิววาร์ก รัฐนิวเจอร์ซี่ วางกระดูกงูเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1943 ใช้เวลาสร้าง 6 เดือน 1 วัน ส่งมอบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ดังนั้น ที่ว่าการทดลองทำกันเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม จึงไม่น่าจะใช่
เรือลำนี้ได้รับ การตั้งชื่อตามชื่อของ จอห์น เอลดริดจ์ จูเนียร์ ผู้บังคับการฝูงบินลาดตะเวณที่ 7 ประจำเรือบรรทุกเครื่องบินวอปส์ ซึ่งได้เสียชีวิต ในการรบที่เกาะโซโลมอนหลังปี 1943 เรือลำนี้ถูกส่งไปปฏิบัติงานที่เมดิเตอเรเนียน แล้วตอนปลายสงครามได้ไปปฏิบัติการรบย่านแปซิฟิก และปลดระวางในปี 1946 จากนั้นก็ถูกขายต่อให้ราชนาวีกรีกในวันที่ 15 มกราคม 1951 และได้รับชื่อใหม่ว่า ลีออน (Leon)
ที่ นี้มาดูกันว่าเคยมีการทดลองเกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้ากันบ้างหรือไม่ ก็เคยมีอีกเหมือนกัน เมื่อตอนที่อังกฤษกู้ทุ่นระเบิดแม่เหล็กแบบใหม่ ของเยอรมันที่ชูบิวรี่เนส เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1939 นั้น พวกนักวิทยาศาสตร์ ได้คิดวิธีทำให้ทุ่นระเบิด ระเบิดห่างจากตัวเรือหลายร้อยหลา วีธีการคือเพิ่มสนามแม่เหล็ก ในตัวเรือด้วยการเดินสายไฟเสริมไปตามดาดฟ้าเรือ จึงได้มีการต่อเรือกวาดทุนระเบิดแม่เหล็กลำแรกขึ้นมา คือเรือหลวงบอร์ด ของราชนาวีอังกฤษ แต่วิธีการที่ใช้นี้ไม่ได้ผลเสมอไป การวิจัยดำเนินกันต่อมา จนกระทั่งได้ค้นพบ ว่าเรือที่มีขั้วแม่เหล็กเป็นขั้วใต้เท่านั้น ที่จะได้รับ อันตรายจากทุนระเบิดแม่เหล็ก แต่เรือที่ต่อทางซีกโลกเหนือจะมีขั้วแม่เหล็กเป็นขั้วเหนือทั้งสิ้น ดังนั้น ต่อมาจึงมีการลบสนามแม่เหล็ก (de-gaussed) ในเรือด้วยการเดินสายไฟไว้ตอนในของท้องเรือ ส่วนเรื่องจะให้เรือรอดพ้นจากการถูกตรวจจับโดยโซนาร์และเรดาห์นั้นยังคงเป็นความฝันอยู่
Morris K. Jessup Carlos Miguel Allende
แล้วเรื่องที่เรียกกันต่อมาในตอนหลังว่า “การทดลองฟิลาเดลเฟีย” เกิดขึ้นตอนไหน ก็พบว่าเมื่อปี 1955 มอริส เค เจสสุป (Morris K. Jessup) เซลส์แมน ขายอะไหล่ รถยนต์ที่รัฐวอชิงตัน ซึ่งกำลังทำปริญญาเอกด้านดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่ มหาวิทยาลัยมิชิแกน เกิดแจ๊คพ็อตด้วย ปรากฏว่าหนังสือ The Case For the UFO ของเขาเกิดขายดิบขายดี ซึ่งมอริสผู้นี้เชื่อในทฤษฏี ยูนิไฟด์ฟิลด์ ของไอน์สไตน์มาก
ระหว่างที่เที่ยว ตะเวนพบปะพูดคุยกับนักอ่านตามเมืองต่างๆ เพื่อโฆษณาหนังสือของเขาไปด้วยนั้น เขาได้พูดถึงความเป็นไปได้ของทฤษฏีนี้ไปด้วย แล้วในวันที่ 13 มกราคม 1956 เขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากบุคคลที่ชื่อ คาร์ลอส มีเกล อาเยนเด (Carlos Miguel Allende) เขียนเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องการทดลองของเรือ เอลดริดจ์ทั้งหมด แถมยังบอกว่า เรือพิฆาตลำนั้นถูกย้าย ด้วยวิธี “Teleported” จากฟิลาเดลเฟียไป นิวพอร์ต ภายในชั่วไม่กี่นาที อาเยนเดอ้างว่า ตัวเขาตอนนั้นเป็นลูกเรือ แอนดรูว์ ฟูรูเสธ จึงได้รู้เห็นเหตุการณ์
อาเยนเด เกิดที่เมืองสปริงเดลในรัฐเพนซิลวาเนีย เมื่อปี 1925 พ่อเป็นชาวอังกฤษแม่มีเชื่อสายฝรั่งเศส เขามีน้องชายอีกสามคน สมัยเรียน หนังสือเขาเก่งเลขและพีชคณิต และพูดได้หลายภาษา เขาให้ที่อยู่ของเขาไว้ว่าอยู่ในเพนซิลวาเนีย แต่ปรากฏว่าจดหมายของเขาประทับตราไปรษณีย์เกนสวิลล์ รัฐเทกซัส เมื่อสอบดูแล้วปรากฏว่า อัลเลนเคยเป็นทหารเรือจริง มีหมายเลขประจำตัว Z-416175
เจสสุ ปสนใจเรื่องนี้มาก จึงเขียนจดหมายติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมแต่ไม่ได้รับข่าว จนเวลาผ่านไปสี่เดือน ตอนนั้นเจสสุปกำลังยุ่งๆ อยู่กับการจะออกหนังสือเล่มใหม่ของเขา แล้วในวันที่ 25 พฤษภาคม 1956 เขาก็ได้รับจดหมายอีกฉบับหนึ่ง คราวนี้ลงนามว่า คาร์ล เอ็ม อัลเลน เจสสุป จึงเขียนถามไปใหม่ ขอทราบชื่อลูกเรือเอลดริดจ์และรายละเอียดวันเวลาต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบจนบัดนี้
ขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องชวนให้น่าสงสัยเกิดขึ้น คือเจสสุปถูกสำนักงานวิจัยทางนาวี (ONR = Office of Naval Research) เชิญตัวไปสอบ ปากคำเพราะมีผู้ส่งหนังสือคำอธิบายประกอบหนังสือเรื่องจานผีที่เจสสุป เขียนไปให้หน่วยงานแห่งนั้น หนังสือเหล่านั้นลงนามโดย มิสเตอร์เอ , มิสเตอร์บี และผู้ใช้นามแฝงว่า เจมี ทั้ง 3 ฉบับเขียนตอบข้อข้องใจในหนังสือของเขา ลายมือในหนังสือฉบับที่ลงนามโดย มิสเตอร์เอ นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นรายมือของ อาเยนเด เจสสุปจึงมอบจดหมายทั้ง 2 ฉบับที่ อาเยนเดเขียนถึงเขาให้หน่วย งานทหารเรือแห่งนั้นไป และหน่วยงานแห่งนั้นก็ได้ให้โรงพิมพ์วาโรคอร์ปอเรชั่น ที่การแลนด์ รัฐเทกซัส พิมพ์หนังสือคำอธิบายที่ว่านี้ขึ้นมา 25 เล่ม
ทำไม โอเอ็นอาร์ถึงพิมพ์ขึ้นมาก็ยังคงไม่มีใครให้เหตุผลได้ อย่างไรก็ตามอัลเลน ได้ส่งหนังสือพิมพ์ที่ สำนักพิมพ์วาโรพิมพ์ขึ้นมานี้ เล่มหนึ่งไปให้บิดาของเขาเมื่อเดือน มีนาคม 1978 พร้อมทั้งเขียนไปในจดหมายว่า “ได้ส่งหนังสือที่ผม ร่วมเขียนกับศาสตราจารย์ มอร์ริส เค. เจสสุป แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนเมื่อ 25 ปีก่อนมาพร้อมกันนี้” และยังบอกอีกว่าเขียนโดยตัวเขาเองลำพังไม่ใช่ มิสเตอร์เอ มิสเตอร์บี
ต่อมามีผู้พบเจสสุ ปตายด้วยแก็สคาร์บอนโมน๊อกไซต์ในรถสเตชั่นเวกอน ของเขาที่จอดอยู่ที่ แมทธีสันสแฮมมอค ใกล้เมืองไมอามี มีสายยางต่อจากท่อไอเสียสอดเข้าไปทางกระจกหน้าต่างหลังที่ไขแง้มอยู่และมี ผ้าขี้ริ้วชิ้น ๆ อุดช่องเอาไว้ ไม่พบจดหมายลาตายหรือเอกสารใด ๆ ในรถ
ผู้ที่มีโอกาสเห็นเจสสุปเป็นครั้งสุดท้ายก็คือ ดร.แมนสัน วาเลนไทน์ นักสมุทรศาสตร์ เจสสุป อยากจะขอหารือกับท่านเกี่ยวกับงานเขียน เรื่องการทดลองฟิลาเดลเฟียที่เขาคิดว่า เขารู้คำตอบแล้ว ท่านจึงเชิญเขาไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านท่านเมื่อคืนวันที่ 20 เมษายน 1959 และตาม ที่ท่านว่าเจสสุปอยู่ในสภาพจิตใจหดหู่ท้อแท้
คราวนี้ ลองดูว่ายังจะหาตัวลูกเรือเอลดริดจ์เพื่อสอบถามเรื่องนี้ได้บ้างหรือไม่ ก็พอดีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 1959 อดีตลูกเรือเอลดริดจ์ได้จัด งานคือสู่เหย้าขึ้นเป็นครั้งแรก แล้วเมื่อนำเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อปี 1943 มาเป็นหัวข้อสนทนา โรเบิร์ต เชียร์ ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานก็บอกว่า “ตามความเห็นของผม ผมว่ามันเกิดจากจินตนาการของบางคน มันเป็นแค่นวนิยายวิทยาศาสตร์” แต่เชียร์เพิ่งจะเข้าประจำการบนเรือนี้ในตำแหน่ง ช่างกลชั้นสามเมื่อเดือนมีนาคม 1945 หลังเหตุการณ์ บิลล์ แวน อัลเลน นายทหารประจำเรือเมื่อตอนที่อ้างว่ามีการทดลองบอกว่า “ผมไม่เคยรู้ว่ามีอะไร แบบนั้นเกิดขึ้น ผมนึกไม่ออกเลยว่าข่าวลือนั่นเกิดขึ้นได้อย่างไร”
มีพยานรู้เห็น รายหนึ่งน่าสนใจ เป็นนายทหารเรือนอกราชการชื่อ เอ็ดเวิร์ด ดัดเจียน รับราชการในกองทัพเรือระหว่างปี 1942 – 1945 เคยศึกษาวิชาอิเล็คโทรนิคส์ที่มหาวิทยาลัยไอโอว่า เขาบอกว่า เรือเองสตรอม (Esgstrom) ของเขาก็ติดอุปกรณ์ลับแบบเดียวกับเรือเอลดริดจ์ เขาเล่าว่า “เรือเอลดริดจ์และเรือเองสตรอม จอดอยู่ในอ่าวด้วยกันจริง ๆ แล้วเรือของเราต่อพร้อมกันเมื่อเดือนมิถุนายนหรือกรกฏาคม 1943 มีเรือ 48, 49, 50 และเอลดริดจ์ กองทัพเรือทำดีเกาส์เรือทั้งหมดที่อู่แห้ง รวมถึงเรือสินค้าด้วย หาไม่แล้วเรือจะเป็นเหมือนแม่เหล็กดูด ตอปิโดให้เข้ามาหา ไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเรือเอลดริดจ์ เมื่อเราขึ้นฝั่งเมื่อปี 1944 ได้พบลูกเรือเอลดริดจ์ ก็ไม่เห็นพวกเขาเอ่ยถึงอะไรที่ผิดปกติ อาเยนเดแต่งขึ้นมาทั้งหมด”
แล้วเมื่อถามถึง Teleported ดัดเจียนอธิบายว่า “เมื่อ 5 ทุ่มเรือเอลดริดจ์ได้ออกไป (จากฟิลาเดลเฟีย) เรียบร้อยแล้ว ถ้าใครมองดูท่าเรือคืนนั้นก็จะ สังเกตเห็นว่าเรือมิได้อยู่ที่นั่นอีกแล้วและมันไปปรากฏอยู่ที่นิวปอร์ตจริง เรือกลับมาอยู่ที่อ่าวฟิลาเดลเฟียในเช้ารุ่งขึ้น ซึ่งมันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ หากถ้าคุณดูในแผนที่คุณก็จะเห็นว่าเดินทางแบบนี้ เรือสินค้าจะต้องใช้เวลาสองวัน พวกเขาต้องหาคนนำร่องผ่านตาข่ายกันเรือดำน้ำ ทุ่นระเบิดและอื่น ๆ แถวปากอ่าวที่จะออกสู่แอตแลนติก แต่ทหารเรือเขาใช้คลองเชสปิก – เดลาแวร์เป็นเส้นทางลัด เราใช้เวลาแค่ราวหกชั่วโมง”
แล้วไปนิวปอร์ตทำไม? ก็ได้รับคำตอบว่า “ที่นั้นเป็นที่ที่เราไปบรรทุกระเบิด ผมรู้ว่าเอลดริดจ์ไปที่นั้นเพราะเราสวน กันในอ่าวเชสปิกเมื่อตอน ที่กลับมาจากเวอร์จิเนีย”
พอ ดีมีกะลาสีคนหนึ่งอยากจะอวดรู้พูดเรื่องอุปกรณ์ลับขึ้นมาเลยถูกสั่งให้หุบ ปาก การทะเลาะวิวาทจึงเกิดขึ้น ทำให้หมดโอกาสจะได้รู้อะไร เกี่ยวกับเรือเอลดริดจ์ต่อ
ถ้าลองค้นดูตามแผงหนังสือก็จะพบว่า วิลเลี่ยม มัวร์ และ ชาร์ลส์ เบอร์ลิตซ์ ได้เขียนหนังสือชื่อThe Philadelphia Experiment : Project Invisibility ขึ้นมาเมื่อปี 1979 และอ้างว่าเป็นเรื่องจริง หนังสือเล่มนี้ บ๊อบ ริคคาร์ด นักค้นคว้าเรื่องลึกลับต่าง ๆ อ่านแล้ววิจารณ์ว่า สนุกดี แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน ผู้แต่งพูดเอาเอง ทั้งนั้น อีกสองสามปีต่อมา เบอร์เกอร์ และซิมป์สัน ก็เขียนหนังสือนวนิยายอีกเรื่องหนึ่งชื่อ Thin Air เนื้อเรื่องเล่าถึงประสบการณ์สยองขวัญ ของกลาสีบนเรือเอลดริดจ์เหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นก็มีผู้สร้างภาพยนต์เรื่องทำนองนี้ขึ้นมาอีกหลายเรื่องเช่น เรื่อง The Final Countdown แล้วเดี๋ยวนี้ก็มีปรากฏเว็บไซต์อีกหลายราย
เครดิตจาก artsmen.net
โพสท์โดย: moses