แบ๊คแพ๊คไป ฮอยอัน เงิน 7 พันเอาอยู่!! ตอนที่ 3
วันที่ 22 ตุลาคม 2555
และแล้วความขี้เกียจก็ผสมปนเปเข้ากับ internet แสนช้าที่ฉันใช้งานอยู่
มันทำให้ฉันผลัดวันประกันพรุ่งที่จะเขียน blog แต่ในใจก็คิดว่าเขียนให้มันเสร็จๆไปเถอะ
แต่เอ๊ะ!!! ถ้าเขียนด้วยความรู้สึกแบบนั้น blog ก็ต้องออกมาไม่น่าอ่านหน่ะสิ ปรับอารมณ์ใหม่ๆ
พร้อมแล้วค่ะที่จะกลับมาเล่าเรื่องการเดินทางที่แสนจะตะกุกตะกักให้เพื่อนๆฟัง
เช้าวันที่นี้เราตื่นนอนมาอย่้างสดใส เพราะว่าจบทริปเมื่อวานมันเหนื่อยมาก
เรา 2 คนหลับเป็นตายตั้งแต่หัวค่ำ เมื่อเสร็จภารกิจตอนเช้าเราก็มารอรถที่ล๊อบบี้โรงแรม
โรงแรม Y not? ที่เราพักเป็นโรงแรมเล็กๆ แต่สิ่งที่ประทับใจคือรีเซ็บชั่น ผู้หญิงตัวเล็กๆใส่แว่นตา
ยิ้มแย้ม ไถ่ถามเรื่องต่างๆ คอยให้ข้อมูลเรา จริงๆฉันมีความคิดว่าอยากขอเฟซบุ๊ํคเค้าด้วยซ้ำ
เพราะว่าเราคุยกันแล้วมันรู้สึกดี แต่ก็ไม่กล้าจนถึงท้ายสุด
และแล้ว 8.30 ล้อรถก็หมุนพาพวกเราไป ฮอยอันซักที
ภาพข้างทางระหว่างที่รถค่อยๆเคลื่อนตัวไป รูปทรงบ้านของเวียดนามจะต่างจากไทยนิดหน่อย อากาศครึ้มๆกำลังดี
โชคดีที่ได้เห็นขบวนขันหมากของคนเวียดนาม แต่งชุดกันเต็มมากๆๆ
วิวระหว่างทาง กับ เำพลงจาก mp3 ที่เสียบหูฟังอยู่มันช่างเข้ากันซะนี่กระไร
ฉันชอบการเดินทางแบบช้าๆ โดยการนั่งรถหรือรถไฟ มันอาจจะเป็นข้ออ้างของคนที่งบประมาณน้อย
มันก็ช่วยประหยัดได้ส่วนหนึ่ง ถ้าเราไม่รีบเพื่อจะไปถึงจุดหมายฉันว่าเราควรค่อยๆเดินทางไปช้าๆดีกว่า
"จุดหมายอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ" ระหว่างทางต่างหาก ทั้งมิตรภาพ สิ่งต่างๆที่เราจะได้พบเจอระหว่างทาง
นี่คือสิ่งที่ฉันประทับใจ และ อยากจะค่อยๆเดินทางแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ตอนนี้่สภาพเส้นทางระหว่าง เว้ - ฮอยอันจะเหมือนขึ้นดอยย่อมๆ ทางคดเคี้ยวใช้ได้
รถที่เรานั่งมาได้ลอดอุโมงด้วย เป็นอุโมงที่เจาะผ่านภูเขา สุโค่ยยยย!!! ยกนิ้วให้เวียดนามจริงๆ
ว้าวเห็นทะเลแล้วๆๆๆๆ ตื่นเต้นๆๆที่เห็นทะเลเวียดนาม แต่เพื่อนฉัีนยังหลับราวกับว่าจำศีล อยากจะปลุกก็กระไรอยู่
พอออกจากภูเขา อากาศหนาวและหมอกหนาเริ่มหายไป แทนที่ด้วยแสงแดดแสบผิว เราต้องปรับตัวกันเหมือนซาลาแมนเดอร์
รถมาจอดพักให้ทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารติดทะเล อาหารมันแพงมากเราเลยไม่แตะได้แต่สั่งน้ำผลไม้มากิน รสชาติห่วยแตก
ราคาตั้ง 3 หมื่น ให้ตายเถอะ!! แต่ยังดีที่มีวิวของหาดทรายและคลื่นมาทดแทนอาหาร เป็นอาหารตาชั้นเยี่ยมให้เราได้อิ่มเอมใจ
แต่หาอิ่มท้องไม่
และแล้วเราก็มาถึง DANANG ดานัง เมืองท่าของเวียดนาม ลักษณะจะคล้ายกับชลบุรี ได้เห็นสิ่งปลูกสร้างอลังการมากมาย
เมืองเจริญมาก มีทั้งสะพานแขวน ตึกสูง คอนโด โอ้ว้าว เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นบ้านนอกเข้ากรุง
สิ่งปลูกสร้างรูปโดมขนาดยักษ์นี่คืออะไรกันนะ ?
...............................................................................................................................................................................................................
เวลาผ่านไปประมาณ บ่ายโมงกว่าๆเราก็มาถึง Hoi an แล้วเย้ แต่เอ๊ะ!! รถมาจอดที่ Phu an hotel ราคาคืนละ 25 เหรียญ เราจ่ายไม่ไหวหรอก
เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างใหญ่มีพนักงานยกกระเป๋า พร้อมอาหารเช้า แต่ว่ามันก็ยังแพงไปสำหรับคนที่มาเที่ยวแสนประหยัดอย่างพวกเรา
เพราะงั้นเลยต้องเดินหาโรงแรม ก่อนหน้านี้ฉันไม่มีข้อมูลในหัวเลยเรื่องโรงแรมในฮอนอัน ไม่มีแผนที่ ไม่รู้จะเดินไปทางไหน
โชคช่วย!!!!!!!!!!
พี่คนไทย 2 คนที่นั่งรถมาด้วยกันก็จะเดินหาโรงแรมเหมือนกัน เราเลยปฏิบัติการเดินหาฮอยอัน ซึ่งเราก็อยู่ในฮอยอันนั่นแหละ
แต่เราอยากรู้ว่าเรายืนอยู่ตรงไหน ถามชาวบ้านก็ไม่ค่อยได้ความ คุณพี่เลยงัดไม้เด็ดออกมาคือ i pad เอามาเปิดเกิ้ลแมพ ว่าเราส่วนใหน
ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะถ่ายรูปเพราะ กระเป๋าที่แบกอยู่หนักมาก แดดร้อนจนแสบผิว เหงื่อแตก ไม่รู้จะเดินไปทางไหน ท้องร้องโครกคราก
ความรู้สึกของเราตอนนี้คือหลงทาง กรี้ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เดินไปเรื่อยๆ พลางถามทางไปด้วย เพื่อหาโรงแรมราคาถูก
เดินมา 1 ชม. กว่า เข้าโรงแรมนู้นออกโรงแรมนี้ บางที่ 20 เหรียญเราก็ไม่เอาเพราะแพง ต้องการ 10-15 เหรียญเท่านั้น
จนได้มาพบกับโรงแรมเก่าๆ โทรมๆ เปิดราคามา 15 เหรียญเอาเลยๆๆๆ ไม่ไหวที่จะเดินหาแล้ว
Thanh binh hotel
ห้องพักก็ไม่ได้แย่อะไร มีแอร์ น้ำอุ่น wifi อยู่ได้สบายแฮ~
มีอ่างให้แช่ด้วยหละ
ได้เวลาออกทัวร์รอบเมืองและหาอาหารให้กระเพาะแล้ว ขั้นแรกเราขอแผนที่เมืองจาก รีเซ็ปชั่น โรงแรมก่อนเค้าก็แนะนำนู่นนี่
ใกล้ๆกับโรงแรมมีคุณยายเปิดให้เช่าจักรยานวันละ 1 เหรียญ คุณยายใจดีช่างพูดช่างคุยยิ้มแย้มมาก
เริ่มหาร้านอาหาร Trung bac เป็นร้านที่เห็นคนไทยหลายคนบอกว่าอร่อย เราเลยตามมาพิสูจน์
ก่อนอื่นแวะซื้อตั๋วก่อน สำหรับเข้่าสถานที่สำคัญเช่น วัด บ้านเก่า ชมการแสดง หลายๆอย่างในเมือง
ตั๋วใบนึงสามารถเข้าได้ 5 สถานที่ ซึ่งในฮอยอันมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมประมาณ 20 กว่าๆ
เลือกเอาได้เลยว่าจะไปไหน ราคาก็ 5 เหรียญ ตื่นเต้นๆ
เจอซะทีร้าน Trung bac หลังจากปั่นจักรยานหามานานแสนนาน
ภายในร้าน เก็บภาพระหว่างรอ มือสั่น ปากสั่น ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
CAO LAO เกา เลา อ่านแบบนี้นะจ๊ะ อร่อยเหาะมาก หมู 3 แผ่นนี้คือไฮไลท์
White Rose เป็นคล้ายๆเส้นใหญ่ห่อหมูแป้งเหนียวนุ่ม หมูอร่อย มีน้ำจิ้ม หวานและซีอิ้ว
อยู่ฮอยอันกินจานนี้ไปประมาณ 5-6 รอบ แหะ แหะ มันอร่อยอ่ะ
จานนี้คือ Nem lui เนมลุย หรือที่เรารู้จักกันในนามกุ้งพันอ้อยนั่นเอง
จานสุึดท้ายจำชื่อไม่ได้เพราะไม่ค่อยประทับใจ ทานละน้าา อ้ามมมมมม
รู้ัตัวอีกทีแสงอาทิตย์อันร้อนแรงก็ค่อยหายไป แสงไฟจากโคมตามร้านค้าต่างๆ เริ่มส่องสว่าง จุดตรงนี้คือจุดที่เรือประมงมาจอดพักไว้
เป็นช่วงน้ำกร่อย มีช่องน้ำที่สามารถออกทะเลได้ แสงโคมนับร้อยหลากสีสันต่างอวดแสงแข่งกัน เมืองตอนเย็นๆเริ่มคึกคักนักท่องเืที่ยวออกมา
เดินเล่นเพราะว่าอากาศเริ่มจะเย็น
ฉันยังพยายามจะตบหน้าตัวเอง ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันสวยเกินที่ฝันไว้ ฉันก็ไม่ได้คิดว่าฮอยอันจะสวยขนาดนี้
ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มาต่างประเทศครั้งแรกด้วยเงินเก็บเอง นี่คงเป็นก้าวแรกของการเดินทาง เป็นก้าวแรกที่สำคัญ เราจะไม่มีทางลืม
ความรู้สึเหล่านี้ ครั้งหน้าฉันอาจจะไปที่ไหนก็ตาม ฉันจะคิดถึงครั้งแรกนี้...ตลอดไป
ดีใจที่ทริปนี้มีเธอไปด้วย ปกติเวลาเราไปเที่ยวเราต้องมีบ้างแหละที่จะทะเลาะกับเพื่อนหรือไม่เข้าใจกัน
ทริปนี้เราก็ตามประสาเพื่อนสนิท ทะเลาะกัน งอนกันเป็นว่าเล่น แต่ฉันก็ดีใจที่เธอไปด้วยเพราะถ้าฉันไปคนเดียว
คงจะเลิกลักทำอะไรไม่ถูก เราคอยช่วยกันคิด ช่วยกันวางแผนตลอด
ปกติฉันชอบไปไหนมาไหนคนเดียวมันคล่องตัว นึกอยากจะทำอะไรก็ทำมันง่ายไปหมด
แต่ทริปนี้ฉันดีใจนะที่เธอมาด้วย แล้วหลังจากนี้ ทางของเรามันคงจะไกลขึ้นอีก
จาก 1000 กิโลเมตร ไปถึง 1 ล้านกิโลเมตร บนโลกแห่งการเดินทางและโลกแห่งความเป็นจริง
ที่เธอเป็นเพื่อนสนิทฉัน เธอกับฉันเราต้องเดินไปด้วยกันอีกไกล ขอบใจนะที่มาด้วยกัน...........
พวกเราบอกลา เรือและสายน้ำ มุ่งเข้าสู่ในเมืองเพื่อหา ของหวานมากระแทกปากแรงๆ
Hoi an มีร้านเค้กเต็มไปหมด เลือกเอาได้เลยจะทานร้านไหน ราคาถูกแสนถูก ราวๆ 60 บาท อย่างนี้ต้องเบิ้ล
เอ๊ะวันนี้มันมีแต่ของกินนี่นา เราไม่ได้ไปเที่ยวไหนกันเลยใช่ม้ายยยยยย
ซัดกันไป คนละ 2 ชิ้น แทบจะอ้วกเป็นสายรุ้ง
หลังจากอิ่มท้องเราก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง เวลาล่วงเลยมาเรื่อยๆ เพื่อนฉันแม้จะอยู่ไกลประเทศตัวเอง
แต่ก็ยังคงนั่งดูละครไปบ่นไป นังนก แกมัน $%^%#^&* ฉันได้ยินชื่อนี้ก็ถึงกับเอ๋อ
แหม่ แม้จะมาเที่ยวแต่ก็ไม่พลาดชม "แรงเงา" เราก็นั่งๆนอนๆกันไปเรื่อยๆ
จน 23.30 ไฟในห้องดัีบพรึบ!!!!!!!
กระวนกระวายมากนาทีนั้น เกิดอะไรขึ้นเนี่ยคนที่เข้ามาพักในโรงแรมต่างเปิดห้องออกมาไถ่ถามรีเซ็ปชั่น
เพื่อนฉันออกไปสืบ เพื่อนฉันบอกว่าเค้าประหยัดไฟ อ๋อ!! เล่นประหยัดกันแบบนี้เลยหรอ ไม่มีไฟเลย
ดับทั้งเมือง ไปๆมาๆ เพื่อนฉันน่าจะฟังมาผิด เพราะว่าตอนนี้ ตี 1 แล้ว ไฟก็ยังไม่มาอากาศก็ร้อนมาก
คาดว่าน่าจะขัดข้องชัวร์ ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม หน้าต่างก็ไม่กล้าเปิดได้แต่นอนเฉยๆ ภาวนาให้ไฟมาซักที
เหมือนแรงอธิฐานจะไม่เป็นผลเอาซะเลย
ฉันเลยตัดใจเลิกรอไฟอย่างลมๆแร้งๆ ฉันหมดแรงนอนหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
รู้สึกตัวอีกทีเริ่มหนาวๆ ตื่นขึ้นมาห้องสว่าง แอร์ทำงานอยู่ หยิบนาฬิกามาดู ตี 4
ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เฮ้อ.........รอดแล้ว ฉันหันไปมองเพื่อนที่กำลังนอนไม่รู้สึกรู้สา
ราวกับถูกปิดสวิตท์ไปแล้ว คิดว่าจะปลุกชวนไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่เธอคงจะไม่ตื่นง่ายๆ
ฉันเลยตัดสินใจจะไปทะเลคนเดียว พร้อมแบกความรู้สึกบางอย่างไป...............