อันตรายจากคลื่นโทรศัพท์มือถือ
ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราเป็นอย่างมาก หลาย ๆ คนมีโทรศัพท์มือถือมากกว่า 1 เครื่อง หรือใน 1 เครื่องก็มีมากกว่า 1 ซิม หากวันใดลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้านก็จะรู้สึกขาดความมั่นใจทันที เพราะหลาย ๆคนเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้ในโทรศัพท์มือถือ แ ละนั่นก็ส่งผลให้เราจดจำอะไรได้น้อยลง เช่น หมายเลขโทรศัพท์ต่าง ๆ ทุกวันนี้เมื่อเราผ่านไปตามท้องถนนหรือห้างสรรพสินค้าก็จะเห็นวัยรุ่นคุยโทรศัพท์กันตลอดเวลา บ้างก็แชทหรือโพสต์ข้อมู,ใน Social Network ปลูกผักปลูกหญ้ากันในโทรศัพท์ขณะเดินห้างสรรพสินค้า ซึ่งก็นับว่าเป็นนวัตกรรมที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับสิบปีที่แล้ว ที่โทรศัพท์มือถือรุ่นแรก ๆ ของ Motorola ยังได้รับสมญาว่าเป็น “รุ่นกระติกน้ำ”
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการส่งสัญญาณ จึงมีความตระหนักถึงอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะในเด็ก ๆ ที่พัฒนาการทางสมองยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ดังนั้นที่ผ่านมาจึงมีงานวิจัยเพื่อไขข้อข้องใจถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “คลื่นโทรศัพท์มือถือ” กับการเกิด “โรคมะเร็ง” อย่างมากมาย และมีการสรุปผลทั้งไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ดังนั้น อยู่ที่ผู้บริโภคว่าจะเลือกรับฟังข้อสรุปแบบใด ทั้งนี้ จะขอสรุปเฉพาะในส่วนที่มีผลการศึกษาว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็ง
งานวิจัยในประเทศฟินแลนด์ที่มี “องค์การความปลอดภัยด้านรังสีและนิวเคลียร์” ของฟินแลนด์เป็นผู้ทำการศึกษา โดยองค์การฯ แยกเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ใช้มือถือเกือบ 5,000 คน แบ่งเป็นผู้ใช้มือถือที่ป่วยเป็นมะเร็งสมองชนิด Gliomas จำนวน 1,521 คน และผู้ใช้ที่ไม่เป็นมะเร็งสมองอีก 3,301 คน เมื่อไม่นำเอาปัจจัยเกี่ยวกับระยะเวลาของการใช้มือถือมาพิจารณา คณะผู้วิจัยไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างมือถือกับการเกิดมะเร็งสมอง อย่างไรก็ตาม เมื่อนำปัจจัยเรื่องเวลาเข้ามาคิดด้วย จะพบว่า ร้อยละ 37 ของกลุ่มผู้ที่ใช้มือถือที่จะเป็นมะเร็งสมองล้วนแต่มีประวัติการใช้มือถือมานานกว่า 10 ปี ทั้งนี้ มะเร็งที่ตรวจพบ ได้แก่ มะเร็งชนิด Gliomas หรือมะเร็งบริเวณระบบประสาท นอกจากนั้น ตำแหน่งที่เกิดมะเร็งจะเกิดขึ้นภายในศีรษะข้างที่ต้องแนบติดกับตัวเครื่องมือถือเป็นประจำ เบื้องต้นจึงตั้งสมมติฐานได้ว่า ความถี่และระยะเวลาของการใช้มือถือนั้นยิ่งนานเท่าไหร่ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดมะเร็งสมอง
ผลวิจัยในสวีเดนเตือนเด็กและวัยรุ่นว่ามีความเสี่ยงเพิ่ม 5 เท่าที่จะเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงจากการใช้โทรศัพท์มือถือ โดยนักวิจัยระบุว่าเด็กมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากสมองและระบบประสาทยังพัฒนาไม่เต็มที่ นอกจากนี้ด้วยการที่เด็กมีศีรษะขนาดเล็กกว่าและกะโหลกบางกว่ายังทำให้คลื่นพลังงานจากโทรศัพท์มือถือสามารถทะลุทะลวงเข้าสู่สมองเด็กได้มากกว่า และงานวิจัยจากสวีเดนที่เผยแพร่ต่อที่ประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยโทรศัพท์มือถือและสุขภาพของผู้ใช้ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่อังกฤษเมื่อเร็ว ๆ นี้ มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งว่าด้วยความเสี่ยงจากการแพร่กระจายคลื่นพลังงานที่เป็นต้นเหตุของมะเร็ง โดยศาสตราจารย์เลนนาร์ต ฮาร์เดลล์ จากมหาวิทยาลัยฮอสปิตอลในโอเรโบร สวีเดน ผู้นำการวิจัยแถลงต่อที่ประชุมว่า ผู้ที่เริ่มใช้โทรศัพท์มือถือก่อนอายุ 20 ปี มีโอกาสเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงเพียง 50 % เท่านั้น และแค่ 2 เท่าสำหรับมะเร็งบริเวณส่วนต่อของหูกับสมอง และศาสตราจารย์ฮาร์เดลล์กล่าวว่า ผลศึกษานี้ถือเป็นสัญญาณอันตราย และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือ ยกเว้นเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ส่วนวัยรุ่นควรใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรีหรือชุดหูฟัง และควรใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อพิมพ์ข้อความเป็นหลัก สำหรับคนอายุ 20 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงจะลดลงเนื่องจากสมองมีการพัฒนาเต็มที่แล้ว ศาสตราจารย์ฮาร์เดลล์ยังยอมรับว่า อันตรายต่อเด็กและวัยรุ่นอาจมีมากกว่าที่พบในการศึกษานี้ เนื่องจากการศึกษานี้ไม่ได้แสดงผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือระยะยาว ขณะที่มะเร็งส่วนใหญ่ใช้เวลานานกว่า 10 ปีในการก่อตัว หรือยาวนานกว่าช่วงเวลาที่ใช้โทรศัพท์มือถือเริ่มวางขายในตลาด นอกจากนี้ งานวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่ที่ใช้อุปกรณ์สื่อสารชนิดนี้นานกว่า 10 ปีมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงและมะเร็งบริเวณส่วนต่อของหูกับสมอง อย่างไรก็ดีศาสตร์จารย์ฮาร์เดลล์ยอมรับว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลายาวนานเพิ่มความเสี่ยงสำหรับคนที่เริ่มต้นใช้ในวัยรุ่นอย่างไร จึงควรทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
งานวิจัยที่ให้ผลในลักษณะเดียวกันอักงานหนึ่งเป็นของ Dr.George Carlo นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน โดยสรุปว่า การใช้โทรศัพท์มือถืออาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง พร้อมได้กล่าวถึงผลการศึกษาที่ยังไม่ได้มีการตีพิมพ์ออกมาว่า การใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกในสมองชนิดที่พบไม่บ่อยนักเช่นเดียวกับผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยบริสตอล ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ ซึ่งศึกษากับผู้ใหญ่จำนวน 36 คน โดยให้ได้รับรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขนาดเดียวกับที่ปล่อยออกมาจากโทรศัพท์มือถือเป็นเวลา 20 – 30 นาที ปรากฏว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวทำให้หน้าที่ของ visual cortex เปลี่ยนไป ดังนั้น นักวิจัยจึงได้แนะให้ใช้โทรศัพท์มือถือให้ได้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การศึกษาวิจัยเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือมาก ๆ จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งในสมองหรือไม่นั้น ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ถึงจะมีนักวิจัยหลายสำนักได้ผลิตผลงานวิจัยออกมาว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการใช้โทรศัพท์มือถือจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในสมองมากขึ้นแต่ในงานวิจัยเหล่านั้นก็มักสรุปในตอนท้ายว่ายังไม่สมบูรณ์แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังจะต้องมีการทำวิจัยเพิ่มเติม
เพื่อความปลอดภัยในการใช้โทรศัพท์มือถือ ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ใช้ไมโครโฟนแบบเสียบหูฟัง (Headset) หรือ Bluetooth เพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ที่มาจากโทรศัพท์มือถือพุ่งตรงเข้าที่สมอง
2. เปิดลำโพงขณะคุยโทรศัพท์ แต่อาจไม่เหมาะนักสำหรับการคุยเรื่องส่วนตัว
3. ใช้วิธีส่งข้อความแทนการพูด
4. เลือกซื้อโทรศัพท์มือถือประเภทกำลังการกระจายรังสีต่ำ
5. คุยโทรศัพท์ครั้งละสั้น ๆ
ถึงแม้จะมีบทความมากมายเกี่ยวกับอันตรายจากโทรศัพท์มือถือในการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แต่ปัจจุบันนี้ได้มีการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากโทรศัพท์มือถือเพื่อรักษาโรคมะเร็งด้วยเช่นกัน โดยคณะแพทย์จาก MIT และฮาร์วาร์ดได้คิดค้นชิป microNMR ซึ่งภายในเป็นสนามแม่เหล็กที่อยู่ในรูปแบบอนุภาคนาโน สามารถวัดโปรตีนและส่วนประกอบทางเคมีอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดเนื้องอกได้โดยเมื่อต้องทำการตรวจก็เพียงตัดเนื้อเยื่อขนาดเล็กใส่ไว้ในอุปกรณ์เสริมของมือถือที่ออกแบบมาเพื่อตรวจเนื้องอกโดยเฉพาะ จากนั้นมือถือก็จะสามารถวิเคราะห์อัตราการเกิดเนื้องอกที่เป็นส่วนสำคัญก่อให้เกิดมะเร็งได้ภายใน 1 ชั่วโมงผ่านหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้มีต้นทุนเพียง 7,000 บาท ทั้งผลการวิจัยยังระบุอีกว่า ผลการวิเคราะห์แม่นยำถึง 96 % (สูงกว่าแบบเก่าที่ใช้เครื่องขนาดใหญ่และต้องรออีกหลายวันที่มีความแม่นยำ 94 %) เทคโนโลยีนี้มีความสำคัญต่อมนุษยชาติอย่างมาก เพื่อที่จะบอกคนไข้ได้ไวและแม่นยำที่สุดถึงอัตราการเสี่ยงที่จะเกิดโรคร้ายและสามารถป้องกันได้ทันท่วงที
สำหรับประเด็นด้านการกำหนดกฎหมายในการใช้โทรศัพท์มือถือนั้น ณ ขณะนี้ มีเพียงการเคลื่อนไหวในประเทศอเมริกา โดยสภาร่างกฎหมายรัฐเมน ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังจะทำให้รัฐเมนเป็นพื้นที่แรกที่ออกกฎให้ผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือทุกเครื่องที่วางจำหน่ายในรัฐ ต้องติดฉลากเตือนผู้ใช้ว่ามีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งสมอง รัฐเมนมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น 950,000 คนจากประชากรรวม 1.3 ล้านคน โดยในขณะนี้สหรัฐฯมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น 270 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 110 ล้านคนในปี 2000 ถึงแม้การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จำนานมาก รวมถึงผู้ผลิตจะยืนยันว่าการใช้โทรศัพท์มือถือจะไม่มีผลใดๆ ก็ตาม โดยแนวคิดการติดฉลากคำเตือนเรื่องมะเร็งสมองในกล่องโทรศัพท์มือถือถูกเปิดเผยบนเวทีประชุมสภาร่างกฎหมายแห่งชาติสหรัฐอเมริกาหรือ National Conference of State Legislators และนายกเทศมนตรีของซานฟรานซิสโกก็กำลังพยายามผลักดันให้ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองแรกที่ออกกฎให้กล่องโทรศัพท์มือถือต้องติดฉลากเตือนมะเร็งเช่นกัน