ระบบศาลยุติธรรมของไทยโบราณ
ตั้งแต่อยุธยามาจนถึงปลายรัชกาลที่ 5 แม้แต่สมัยต้นรัชกาลที่ 5 เองก็ยังยึดถือระบบโบราณอยู่ คือไทยไม่มีกระทรวงยุติธรรมอย่างสมัยนี้ แม้แต่ศาลที่เป็นศาลล้วนๆ อย่างเดี๋ยวนี้ก็ไม่มี
สมัยโน้น ราชการฝ่ายบริหารและตุลาการไม่ได้แยกจากกัน เพราะถือว่าการชำระความโดยเฉพาะความอาญา เป็นเรื่องการใช้อำนาจปกครองเพื่อปราบปรามและลงโทษผู้กระทำผิด
ดังนั้นกรมอะไรๆ ก็มีหน้าที่ชำระความของตัวเองได้ ข้าราชการสังกัดกรมนั้นก็อาจได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ตุลาการชำระความในกรมของตัวเองได้เช่นกัน
หน้าที่ตุลาการสมัยโน้นคือสอบสวนซักถามพิจารณาหาข้อเท็จจริง ส่วนข้อกฎหมายเป็นหน้าที่ของลูกขุน และผู้ปรับก็คือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย
สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยจะรู้กัน รู้แล้วก็รู้สึกว่าตลก คือข้าราชการหรือขุนนางสมัยโน้น แม้ว่ามีหน้ามีตา แต่ไม่ค่อยจะมีสตางค์ เพราะระบบราชการไม่มีเงินเดือนให้ มีแต่เบี้ยหวัดซึ่งจ่ายปีละครั้งสองครั้ง บางทีก็ไม่จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นผ้าลายบ้าง ทองคำบ้าง แล้วแต่ท้องพระคลังจะมีให้มากน้อยแค่ไหน
สมัยรัชกาลที่ 2 พบกันว่าท้องพระคลังหาเงินไม่ค่อยได้ ต้องติดเบี้ยหวัดขุนนาง ไปจ่ายเป็นผ้าลายแทนก็มี จนถึงรัชกาลที่ 3 ทรงคิดระบบเจ้าภาษีนั่นแหละ พระคลังหลวงจึงค่อยมีเงินทองขึ้นมามากหน่อย
ในเมื่อขุนนางไม่มีสตางค์ แต่มีลูกเมียบริวารต้องเลี้ยงกันมากมายในแต่ละบ้าน ก็มักจะไปร้องเรียนขอความเห็นใจจาก เจ้ากรม เจ้ากรมก็หาทางหางานพิเศษ ทำ "โอ.ที" ให้ลูกน้อง โดยมอบความแพ่งหรืออาญา ให้ขุนนางผู้นั้นเอาไปเป็นตุลาการชำระความที่บ้าน เป็นรายได้พิเศษ
รายได้พิเศษยังไงน่ะหรือครับ ก็เพราะการชำระความไม่ได้กินเวลาแค่ครั้งเดียวจบ แต่ว่าต้องสืบสวนสอบสวนทวนพยานกันนานเป็นปี คู่ความทั้งโจทย์และจำเลยตลอดจนพยาน ก็ต้องอพยพกันมาปลูกกระท่อม นอนค้างอ้างแรมในบริเวณบ้านตุลาการ ต้องหาข้าวปลาอาหารของใช้มาส่งเสียตัวเอง และเพื่อจะเอาใจตุลาการให้ชำระความเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน ก็ต้องเผื่อแผ่ของกินของใช้ให้ตุลาการด้วย ตุลาการก็ค่อยคลายความฝืดเคืองลงได้
จนกว่าจะชำระความเสร็จซึ่งอาจจะกินเวลานานเป็นปี โจทย์จำเลยถึงจะหอบข้าวของ(ถ้ายังมีเหลือ) ออกจากบ้านตุลาการไปได้ ไม่ต้องเจอกันอีก ส่วนฝ่ายไหนจะแพ้ความไปติดคุก ฝ่ายไหนชนะความได้กลับบ้านก็เป็นอีกเรื่อง
พระยาเพ็ชรรัตน์ในฐานะเจ้ากรม นอกจากจะแบ่งคดีให้ข้าราชการรองๆ ลงไปช่วยชำระความ ท่านก็ชำระความของท่านเป็นรายได้พิเศษประจำตัวเองด้วย พอเลี้ยงครอบครัวกันไปได้ไม่ลำบาก
อ่านมาถึงตอนนี้อาจจะมีคนโวยวายด้วยความสงสัยว่า แบบนี้ลำเอียงกันได้น่ะซิ ฝ่ายไหนประเคนเงินทองข้าวของอาหารการกินให้มากกว่า ตุลาการก็ต้องลำเอียงเข้าข้างคนนั้นเป็นธรรมดา แล้วจะเอาความยุติธรรมมาจากไหน
สุนทรภู่ก็เป็นคนหนึ่งที่โวยขึ้นมาแบบนี้ หาอ่านได้ในกาพย์พระไชยสุริยาตอนหนึ่ง ที่บรรยายเมื่องสาวัตถี ว่า
คดีที่มีคู่.............................คือไก่หมูเจ้าสุภา
ใครเอาข้าวปลามา.............................ให้สุภาก็ว่าดี
ที่แพ้ แก้ชนะ.............................ไม่ถือพระประเวณี
ขี้ฉ้อก็ได้ดี.............................ไล่ด่าตีมีอาญา
สุภา ก็คือตุลาการ นั่นละครับ คำเหน็บแนมของสุนทรภู่โดยยกเมือง สาวัตถี เป็นแบบอย่างของความชั่วในเมือง ในความเหลวไหลต่างๆ มีการกินสินบาทคาดสินบนบวกเข้าไปด้วยอีกอย่างหนึ่ง
ในความเป็นจริง ระบบชำระความแบบนี้ ก็ทำกันต่อมาจนกระทั่งมีการตั้งศาลในระบบสากลขึ้น ตอนปลายรัชกาลที่ 5
ถ้าถามว่า โจทย์จำเลยที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจะไปฟ้องร้องกับใครได้ ข้อนี้ก็มีคำตอบให้เหมือนกัน
ข้อลำบากของตุลาการอยู่ที่ว่าเมื่อตัดสินความออกมาว่าใครผิดใครไม่ผิด โจทย์กับจำเลยยอมรับได้ก็หมดเรื่องไป แต่ถ้ายอมรับไม่ได้ เขาก็สามารถอุทธรณ์ได้
แต่การอุทธรณ์สมัยนั้นผิดกับสมัยนี้ สมัยนี้จะอุทธรณ์ว่าคำตัดสินนั้นไม่ถูกต้องตรงไหนและแย้งได้ยังไงบ้าง แต่สมัยนั้น เวลาอุทธรณ์ เขาจะอุทธรณ์ว่าตุลาการตัดสินไม่ยุติธรรม เข้าข้างอีกฝ่ายหรือรับสินบน ยื่นคำร้องให้ตุลาการชั้นสูงขึ้นไปพิจารณา
พอถึงตอนนี้ ตุลาการชั้นต้นก็กลายมาเป็นจำเลย มีหน้าที่ต้องแก้คำอุทธรณ์โดยชี้แจงให้ได้ว่าตัวเองตัดสินไปนั้นเที่ยงธรรมดีแล้ว ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างใครหรือว่ารับสินบนใคร เพราะไม่งั้นถ้าระดับบนเอาเรื่องตัวเองก็ลำบากเหมือนกัน
ทางออกของตุลาการชั้นต้น เผื่อเกิดเรื่องเจอโจทย์จำเลยหัวหมอ ต่อสู้ไม่ยอมแพ้ขึ้นมา แม้ว่าการตัดสินนั้นอาจจะถูกต้องแล้วก็ตาม ก็จะต้องไม่ประมาทในการรับมือ ก็คือทำความคุ้นเคยฝากเนื้อฝากตัว ทำตัวเป็นผู้น้อยที่ดี ต่อตุลาการชั้นผู้ใหญ่เอาไว้เสียตั้งแต่แรก เพื่อจะได้เกิดความเมตตา หรือช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เวลาถูกโจทย์จำเลยเล่นงานเอา
พระยาเพ็ชรรัตน์เองก็ไม่ประมาทที่จะฝากเนื้อฝากตัวให้ผู้ใหญ่เหนือขึ้นไปกว่าให้เมตตาปรานี ท่านเป็นมิตรที่ดีของตุลาการชั้นสูงอยู่หลายคน หนึ่งในจำนวนนั้นคือพระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนศิริธัชสังกาศ (ต้นราชสกุลศรีธวัช ณ อยุธยา) อธิบดีศาลฎีกา
ลูกชายของพระยาเพ็ชรรัตน์ ทั้ง 3 คน ต่างคุ้นเคยกับการชำระความของบิดามาตั้งแต่เล็ก โตขึ้นจึงใฝ่ใจที่จะเป็นตุลาการกันทั้งหมด หนึ่งในจำนวนนั้นคือเจ้าพระยามหิธร
ขอบคุณข้อมุล เทาชมพู
ขอบคุณภาพจาก http://kid-pitchaya.blogspot.com/2010/08/blog-post.html