ตามหาเลนิน: ตอนที่ 1 ความเป็นมาของรัสเซีย
สวัสดีคร้าบบบ วันนี้กระผม MarvelMan ได้เปลี่ยตัวเองมาอยู่ฝั่งคอมมิวนิสสักนิด เพื่อเอาความรู้เล็กๆน้อย (ตรงไหน)
มาให้อ่านกันนะครับ มันคือความรู้เกี่ยวกับประวัติของประเทศรัสเซียและสหภาพโซเวียตนะครับ
สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่านความรู้หรือเห็นว่ามันยาวเกินไปที่สมองของท่านจะรับได้ก็ขอให้กด x ทิ้งไปไม่ต้องอ่านก็ได้ไม่ว่ากันครับ
วันนี้ความรู้ล้วนๆๆ ขอเชิญรับชมๆเล้ยยยยยยย
ตามหาเลนิน: ตอนที่ 1 ความเป็นมาของรัสเซีย
ขึ้นชื่อว่าประเทศรัสเซียแล้ว เมื่อคนทั่วไปได้ยินคำนี้สิ่งแรกที่รู้สึกก่อนอื่นก็คือ กลัว ชื่อนี้น่ากลัวเพราะเป็นชื่อของ ( อดีต ) ประเทศคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คุณเชื่อหรือไม่ว่าพอผมบอกกับใครๆว่าจะไปรัสเซีย สีหน้าตกใจของคนเหล่านั้นจะปรากฏให้เห็นก่อน ตามมาด้วยสีหน้าแปลกใจ แล้วก็ตามมาด้วยสีหน้าที่ดูกังวลห่วงใย แต่พอได้สติหน่อยก็เริ่มมีสีหน้าที่เป็
ผมฝันไว้นานมาแล้วว่าอยากจะไปเหยียบผืนแผ่นดินรัฐสังคมนิยมอย่างรัสเซียสักครั้ง รอคอยโอกาสที่ว่านั้นจนเพลินไปหน่อย กว่าจะได้ไปตามฝัน "สังคมนิยมแบบรัสเซีย" ก็ล่มสลายไปเสียแล้ว ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังรู้สึกอยากจะไปอยู่ดี แม้อาจได้เห็นเพียงซากก็ตาม แต่ความรู้สึกภายในใจยังระลึกถึงอยู่เสมอว่าอย่างน้อยประเทศนี้ก็ได้เคยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประชาชนนั้นเป็นเจ้าของแผ่นดินได้ จากที่เคยหลอกลวงกันมานานแสนนานว่าประชาชนคนธรรมดาสามัญอย่างเรา ๆ ทั้งหลายนั้นอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินที่มีเจ้าของอยู่แล้ว ด้วยคนเพียงไม่กี่คนอุปโลกน์ตัวเองว่ามาจากสวรรค์เบื้องบน แล้วก็มาชี้เป็นชี้ตายให้กับผู้คน สมอ้างว่าตนเองและครอบครัวเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ คนพวกนี้มีชีวิตอยู่อย่างเหนือขีดจำกัดทั้งปวง พวกเขาอิ่มเอมจนล้นเหลือถึงขั้นต้องล้วงคอสำรอกออกเพื่อจะได้เสพใหม่ขณะที่มีคนอดอยาก หิวโหย ตายเพราะความหนาวและขาดอาหาร คนพวกนี้เป็นกลุ่มคนพวกเดียวที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดในเรื่องความมักมากในกาม วัน ๆ มั่วกับนางสนม นายสนม กันยุ่งไปหมด คนพวกนี้บังคับเกณฑ์แรงงานคนจำนวนมากมายมหาศาลไปเป็นทาส ขนหิน ขนดิน ขนทรายเพื่อก่อสร้างปราสาทราชวังขนาดใหญ่โตชนิด
ที่ยังมีอีกหลายห้องหลายแห่งที่เขายังไม่เคยได้เดินไปเหยียบย่างเลย คนพวกนี้เสริมสร้างอำนาจบารมีของตนด้วยกองทหารติดอาวุธเที่ยวก่อสงคราม ตีชิงปล้นเอาทรัพย์สมบัติ และผู้คนในถิ่นอื่นด้วยความกระหายและด้วยความโลภที่ไม่รู้จบ เขาหลอกลวงผู้คนด้วยข้ออ้างทางเชื้อชาติ ให้รักชาติแบบคลั่งชาติ ขาดสติไร้ซึ่งเหตุผล เพื่อให้ผู้คนคิดแต่การเทิดทูนตนเองไปจนชั่วชีวิต โดยหารู้ไม่ว่าพวกเขาได้เอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าในสงครามเพียงเพื่อค้ำจุนบัลลังค์ให้กับคนพวกนี้ เท่านั้น ทั้งหมดนี้มีแบบอย่างให้ได้เห็นกันในประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซีย ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นไปจนถึงจุดจบอย่างครบถ้วนเสียด้วย
ประเทศนี้แต่เดิมเคยได้รับสมญาว่าเป็นลูกคนสุดท้องทางอารยธรรมของยุโรป เพราะเจริญช้ากว่าใคร ๆ แต่เวลาผ่านไปไม่ทันไร ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมารัสเซียกลับได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในโลก และมีความเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดทั้งในทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ประเทศนี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐสังคมนิยมแห่งแรกของโลก โดย เลนิน ( V.I.LENIN ค.ศ. 1870-1924 ) ซึ่งเป็นผู้ทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ประสพความสำเร็จอย่างเป็นจริงประเทศนี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มการเดินทางออกจากโลกท่องไปในอวกาศ โดยเริ่มจากยานอวกาศลำแรกของโลก ที่มีชื่อว่าสปุ๊กนิค (SPUTNIK I 4 ตุลา 1957) ตามมาด้วย สุนัขไลก้า (LAIKA 3 พ.ย. 1957) สิ่งมีชีวิตตัวแรกที่ออกไปนอกโลก แล้วก็มาถึงสหายยูริ กาการิน (Y.GAGARIN 12 เม.ย 1961) มนุษย์อวกาศคนแรกของโลก ตลอดไปจนถึงสถานีอวกาศแห่งแรกของโลกที่ชื่อ เมียร์ (MIR ค.ศ. 1986-2001) ที่ใช้เป็นบ้านนอกโลกให้มนุษย์อยู่นานนับ10 ปี หากมองย้อนหลังไปอีกก็จะพบว่ากองทัพแดง (RED ARMY) ที่เต็มไปด้วยสหายหนุ่มสาวผู้กล้าหาญชาวสังคมนิยมสหภาพโซเวียตซึ่งสร้างชื่อเสียงไว้ให้โลกอย่างไม่มีวันลืม ทหาร
กองทัพแดงกว่า 25 ล้านคนเสียสละพลีชีพไปในการสงครามครั้งนี้ พวกเขาได้สร้างวีรกรรมในสมรภูมิที่ถือได้ว่าดุเดือดรุนแรงที่สุดในโลกไม่ว่าจะเป็นตำนานการสู้รบด้วยรถถัง รถกระป๋องคันเล็ก ๆ ของเหล่าสหายกองพลรถถังภายใต้การนำของจอมพลวาตูติน กับกองทัพรถถัง PANZER อันทันสมัยที่สุดแห่งยุคที่ไม่เคยแพ้ใครของนาซี ในทุ่งหญ้าเล็กแห่งหนึ่ง (THE BATTLE OF KURSK ค.ศ. 1943) ไปจนถึงการรบเพื่อพิทักษ์ปิติภูมินครเลนินกราด (LENINGRAD ค.ศ.1941-1943) มอสโคว์ ( MOSCOW ค.ศ. 1941-1942 ) และสตาลินกราด ( STALINGRAD ค.ศ. 1942-1943 ) สิ้นสุดลงด้วยการบุกเข้าเผด็จศึกที่มั่นสุดท้ายของกองทัพนาซีเยอรมัน ทหารกองทัพแดงเป็นผู้ปิดฉากสุดท้ายของฮิตเล่อร์ ที่นครเบอร์ลิน ซึ่งถือได้ว่าการเข้าร่วมสงครามของคอมมิวนิสต์รัสเซียกับสัมพันธมิตรเป็นมูลเหตุอันสำคัญที่สุดในการเอาชนะฝ่ายอักษะและสามารถยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 (WORLD WAR II ค.ศ. 1939-1945) ลงได้ แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้เอง ในที่สุดรัฐสังคมนิยมแห่งแรกของโลกแห่งนี้ก็ได้มาถึงจุดจบอันน่าเศร้าด้วยน้ำมือของผู้นำชาวพรรคคอมมิวนิสต์เองในปี ค.ศ. 1991 สหภาพโซเวียตรัสเซียมีสิริรวมอายุได้ 74
ปี (ค.ศ.1917-1991) นับต่อจากนี้เป็นต้นไปไม่ว่าประเทศรัสเซียจะย่างก้าวไปในทิศทางใดก็จะเป็นกรณีศึกษาที่สุดแสนจะคลาสสิคที่สุดของชาวลัทธิมาร์กซ-เลนินและผู้สนใจไปอีกนานแสนนาน
บรรพบุรุษของชาวรัสเซียมาจากชนเผ่าไวกิ้งกลุ่มหนึ่งที่เดินทางเร่ร่อนมาจากยุโรปเหนือ เข้าสู้รบแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรกับชนเผ่าอื่น ๆ มีหัวหน้าเผ่าชื่อรูคริค (RIURIK) สามารถเข้าครอบครองเมืองนอฟโกรอฟซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของรัสเซียในปัจจุบันได้ในปี ค.ศ. 882 แล้วก็ขยายอิทธิพลลงใต้เรื่อยมา จากหัวหน้าชนเผ่าเร่ร่อนเล็ก ๆ กลายมาเป็น เจ้าผู้ครองแคว้น แล้วต่อมาก็เริ่มตั้งตนเองและครอบครัวเป็นกษัตริย์ และมีราชวงศ์เป็นของตนเอง ในเวลานั้นนครรัฐที่สำคัญที่สุดในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ก็คือนครคีเอฟ หรือ เคียฟ (KIEV) ที่ปกครองโดยเจ้านครชื่อซวีอาโต สลาฟ (SVIATO SLAV ค.ศ. 962-972 ) ใช้ภาษาพูดที่เรียกว่าภาษาสลาฟตั้งแต่นั้น ชาวสลาฟเหล่านี้ได้ยอมรับเอาคริสต์ศาสนานิกายออร์ธอดอกซ์มาเป็นศาสนาประจำชาติของนครต่าง ๆ ทั้งหมดในรัสเซียโดยเจ้าผู้ครองนครคนหนึ่งที่ชื่อว่าวลาดิเมียร์ (VLADIMIR ค.ศ. 980-1015 ) มีการรบพุ่งทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่างเจ้าผู้ครองนครรัฐต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องต่อมาอีกนับเป็นร้อยปี ประชาชนต่างต้องอพยพหนีภัยสงครามกันตลอดเวลา บ้านเมืองพังพินาศ สังคมเสื่อมถอยอ่อนแอ เป็นเหตุให้บาตูข่าน (BATU KHAN) หลานปู่ของเจงกิสข่านจากตะวันออก สามารถนำทัพมองโกลและตาตาร์เข้าครอบครองรัสเซียได้ทั้งหมด ในปีค.ศ. 1237-1240 นับเป็นเวลาเกือบ 2 ศตวรรษที่รัสเซียตกอยู่ภายใต้การครอบครองของพวกมองโกลและถูกเรียกว่าเป็นเขตปกครองตนเองชื่อว่า โกลเดนฮอร์ด (GOLDEN HORDE)
ในขณะที่พวกมองโกลปกครองอยู่นั้นก็ได้เกิดนครรัฐใหม่ขึ้นที่มอสโคว์ (MOSCOW) มีอิวานที่1 (IVAN I ค.ศ.1325-1341) เป็นเจ้าผู้ครองนครผู้เป็นที่ยอมรับในหมู่พวกมองโกลเป็นอย่างดีต่อมาเมื่อมาถึงยุคอิวานที่ 3 (IVAN III ค.ศ.1462-1505) ประชาชนต่างพร้อมใจกันลุกฮือแย่งยึดอาณาจักรรัสเซียคืนได้สำเร็จ เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง เมื่อได้ประกาศอิสรภาพจากมองโกลแล้ว รัสเซียก็เริ่มรับเอาอารยธรรมทางยุโรปเข้ามามากขึ้น บ้านเมืองเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้งจนสามารถประกาศให้รัสเซียเป็นโรมที่3 (THE THIRD ROME) คือเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาแทนโรมและคอนแสตนติโนเบิลได้ในยุคของพระเจ้าอิวานมหาราชองค์นี้ (IVAN THE GREAT) ต่อมาเมื่อถึงอิวานที่4 หลานปู่ของอิวานมหาราชก้าวขึ้นมามีอำนาจ เขาเป็นคนแรกที่ให้ตำแหน่งกษัตริย์ (KING) เรียกชื่อเสียใหม่ว่าซาร์ (CZAR or TSAR) อันมาจากคำว่าซีซาร์ (CAESAR) ตำแหน่งจักรพรรดิโรมัน อิวานที่ 4 ผู้นี้มีกองทหารที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรชื่อว่ากองทหารคอสแซค(COSSACK) เขาส่งทหารเข้าตีเมืองต่าง ๆ เพื่อขยายอาณาจักรไปทุกทิศทุกทาง ซาร์องค์นี้ได้ชื่อว่ามีใจคอโหดเหี้ยมไม่ผิดเพี้ยนไปจากปู่ของเขา ไม่เคยมีความเมตตาให้ใคร ถึงขนาดเคยสั่งฆ่าและเผาชาวเมืองนอฟโกรอฟจนหมดสิ้น เพราะเชื่อเพียงข่าวลือว่าจะมีการก่อกบฎ ยามเมื่อโกรธจัดก็เคยฆ่าลูกในไส้คนโตตายด้วยมือของตัวเองมาแล้ว ยุคนี้กรุงมอสโคว์ก็ได้เป็นเมืองหลวงของรัสเซีย ในที่สุดเมื่ออิวานจอมโหด (IVAN THE TERRIBLE ค.ศ. 1533-1584) ผู้นี้สิ้นชื่อไปแล้ว เกิดการแย่งชิงบัลลังค์กันชุลมุน รัสเซียก็เข้ามาสู่ยุคที่มีแต่การจลาจลปั่นป่วนไปทั่วอีกครั้ง ในช่วงนี้เองก็มีพวกโปแลนด์และสวีเดนเข้ามารุกรานและมีส่วนเกี่ยวข้องในทางประวัติศาสตร์ของรัสเซียด้วย จนถึงปี ค.ศ. 1613 ชาวรัสเซียก็สามารถขับไล่ต่างชาติเหล่านี้ออกไปได้สำเร็จและกลับฟื้นขึ้นมาใหม่จนมีความเจริญรุ่งเรืองสูงขึ้นมาอีกครั้ง ซาร์ผู้โชคดีในยุคนี้ก็คือปีเตอร์มหาราช ( PETER THE GREAT ค.ศ. 1682-1725 )
ซาร์ผู้นี้เมื่อยังเล็ก ๆ ได้ครองอำนาจร่วมกับอิวานพี่ชาย แต่พงศาวดาร รัสเซียบอกว่าพระพี่ชายองค์นี้สุขภาพไม่ดี ปีเตอร์รอจนถึงอายุ 17 ปี แผนการยึดอำนาจไว้เพียงคนเดียวก็ประสพความสำเร็จ แน่นอนว่าภายในเวลาไม่กี่ปีหลังจากนั้น อิวานผู้พี่ก็ตาย ปีเตอร์ที่ยังวัยรุ่นมักทำอะไรตามใจตัวเอง มีอารมณ์ร้าย โกรธง่าย ใจคอโหดเหี้ยม ชอบแข่งขันท้าทายการกินเหล้าทน กินเหล้าเก่งกับผู้อื่นอยู่เสมอ ไม่ชอบความสะอาดเรียบร้อย กินเก่ง ปีเตอร์พยายามขยายอาณาจักรของตนเองมากขึ้น เขาอยากให้ชาวรัสเซียดูดีมีความเป็นชาวยุโรปอย่างแท้จริง ระหว่างปี ค.ศ. 1695-1696 รัสเซียก็รบชนะพวกเติร์ก ( ตรุกี ) เข้ายึดทางออกสู่ทะเลดำได้สำเร็จ ได้เปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่าง ๆ อย่างขนานใหญ่ ประชาชนต่างช่วยกันสร้างความเจริญให้ประเทศรัสเซียทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปในทุก ๆ ด้านให้เร็วที่สุด ในเวลานั้นเองรัสเซียก็ยังมีคู่อริที่สำคัญคือประเทศสวีเดนซึ่งมีกษัตริย์หนุ่มอายุ 18 ปีมีนามว่าชาลส์แห่งสวีเดน ได้ชื่อว่ามีความฉลาด ชอบทำสงคราม ในขณะนั้นสวีเดนกำลังทำสงครามเข้ายึดครองเดนมาร์ก และเข้าตีโปแลนด์ แน่นอนเป้าหมายต่อไปย่อมหนีไม่พ้นรัสเซีย แต่สงคราม 6 ปีที่ชาลส์แห่งสวีเดนทำอยู่นั้น ได้เปิดโอกาสให้รัสเซียมีเวลาตระเตรียมกองทหาร เสบียง และสร้างป้อมค่ายไว้คอยรับมือ มีการขยายเมืองป้อมเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเนวา (NFVA) ที่เคยยึดได้จากสวีเดนสถาปนาเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ให้ชื่อว่าเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก(ST.PETERSBURG) ในปี ค.ศ. 1703 เมื่อชาลส์แห่งสวีเดนบุก รัสเซียก็ได้พบกับการสู้รบอย่างชาญฉลาดของชาวรัสเซียที่ใช้กลยุทธ์การดึงเวลา ล่อลวงกองทัพข้าศึกให้เข้าลึกเพื่อมาติดกับดักแห่งฤดูหนาวอันโหดร้ายที่สุดของรัสเซีย ความหนาวเหน็บได้ช่วยบั่นทอนกำลังทหารสวีเดนลงไปอย่างมากมาย รบกันมาจนถึงปี ค.ศ. 1709 แม้ว่าจะพ้นจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว และแม้ว่าจะสามารถรุกต่อไปได้ถึงแคว้นยูเครน (UKRAINE)ได้แล้วก็ตาม ชาลส์แห่งสวีเดนในเวลานั้นก็รู้แล้วว่าตนเองหลงกลชาวรัสเซียเข้าเสียแล้ว เมื่อต้องพบกับกองทัพขนาดใหญ่รออยู่ ในที่สุดกองทัพสวีเดนก็พ่ายแพ้ต่อ กองทัพรัสเซียอย่างยับเยิน ผลแห่งชัยชนะครั้งนี้ทำให้รัสเซียได้ครอบครองอ่าวฟินแลนด์ไว้ได้ทั้งหมด รัสเซียมีพื้นที่ใหญ่โตขึ้นมากและก็ทำให้บัลลังก์ของปีเตอร์มั่นคงมากยิ่งขึ้นไปอีก หลังจากนั้นนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก็ถูกเนรมิตให้เป็นนครที่มีความสวยงามเป็นเลิศที่สุดในแถบทะเลบอลติก ถือกันว่านครแห่งนี้เป็นหน้าเป็นตาของรัสเซียอย่างแท้จริง แน่นอนในการนี้ประเทศรัสเซียต้องระดมลงทุนด้วยเงินทองและแรงงานผู้คนไปอย่างมากมายมหาศาลยุคหนึ่งทีเดียว การขยายตัวเติบใหญ่ของรัสเซียได้ดำเนินต่อมาจนถึงสมัยของพระนางแคทธอรีนมหาราชินี (CATHERINE THE GREAT ค.ศ. 1762-1769) ซึ่งนางเป็นชาวเยอรมันธรรมดาโดยกำเนิด เมื่อนางได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าปีเตอร์ที่ 3 แห่งรัสเซียก็กลายเป็นราชินี นางมีคุณสมบัติที่เก่งกาจ และชาญฉลาดกว่าสวามีมาก นางสามารถผูกใจให้ชาวรัสเซียมีความรักใคร่เทิดทูนในตัวนางเยี่ยงราชินีรัสเซียเป็นอย่างมาก นางพูดเก่งเพราะเชี่ยวชาญภาษารัสเซีย และได้เปลี่ยนการนับถือศาสนาจากลัทธิโปรเตสแตนท์อย่างชาวเยอรมันมาเป็นแบบรัสเซียคือ กรีกออธอร์ดอกซ์ (GREEK ORTHODOX) เชื่อกันว่านางลอบฆ่าสวามีแล้วปล่อยข่าวว่าสิ้นใจเพราะโรคประสาทกำเริบอย่างรุนแรง ทั้งยังเชื่อกันอีกว่าราชินีองค์นี้มี "นายสนม" รับใช้มากยิ่งกว่า "นางสนม" ของกษัตริย์รัสเซียองค์ใด พระนางเจ้าแคธอรีนมหาราชินี (CZARINA) สามารถเสวยอำนาจในรัสเซียได้ถึง 34 ปี และก็เช่นเดียวกันอีก นางชอบสร้างปราสาทราชวัง ชอบสะสมสมบัติล้ำค่าเช่นเครื่องเพชร เครื่องเงินเครื่องทอง ภาพเขียน รูปปั้นและงานศิลปะต่าง ๆ จากยุโรป บางเวลาก็ทำสงครามเพื่อปล้นชิงเอา บางเวลาก็ใช้เงินที่ได้จากการรีดภาษีประชาชนไปซื้อเอา เหมือนอย่างที่กษัตริย์รัสเซียองค์ก่อน ๆได้เคยทำไว้
แล้วก็มาถึงสมัยของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 (ALEXANDER I ค.ศ. 1801-1825) ยุคนี้ทหารรัสเซียก็ได้สร้างชื่อเสียงอีกครั้งเมื่อสามารถรบชนะจักรพรรดิ นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ได้ในปี ค.ศ. 1812 ด้วยกลยุทธ์เดิมเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ในเวลานี้รัสเซียสามารถขยายดินแดนออกไปทางทิศตะวันออกจนถึงแม่น้ำอามูร์ และแย่งชิงเมืองท่าวลาดิวอสสต๊อกจากจีนได้สำเร็จ ซาร์ผู้นี้พยายามจะเข้าครอบครองเกาหลีและปอร์ตอาเธอร์ (ส่วนหนึ่งของญี่ปุ่น) เขาได้ก่อให้เกิดสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซีย คราวนี้รัสเซียต้องพ่ายแพ้ย่อยยับต้องถอยกลับไป นับว่าเป็นการรุกรานชาวบ้านครั้งสุดท้ายของกษัตริย์รัสเซีย ต่อมาในสมัยของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ปี ค.ศ. 1861 ซาร์ผู้นี้โชคไม่ค่อยดีเพราะต้องมาถูกแรงกดดันของประชาชนให้ยกเลิกระบบทาสและให้มีการปฏิรูป การปกครองเสียใหม่ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และมีโอกาสในการศึกษามากขึ้น เริ่มมีนักศึกษาปัญญาชนจำนวนหนึ่งเห็นว่าระบบกษัตริย์เป็นตัวการทำลายสังคมและขัดขวางความเจริญของประเทศรัสเซียอย่างแท้จริง ในเวลาใกล้ ๆ กัน ชาวผรั่งเศสก็สามารถโค่นล้มกษัตริย์นโปเลียนที่ 3 ได้สำเร็จในปี ค.ศ.1871
ในปี ค.ศ. 1881 ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ถูกลอบสังหาร ข่าวว่าเป็นฝีมือของพวกกบฎหัวก้าวหน้า ดังนั้นเมื่อซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ขึ้นมามี อำนาจ ก็ได้พยายามกลับไปใช้ระบบกษัตริย์ที่เผด็จการเด็ดขาดเหมือนเดิมอีก มีการปราบปรามประชาชนผู้ไม่เห็นด้วย (กบฏ) อย่างขนานใหญ่และอย่างต่อเนื่อง มีผู้ถูกฆ่า และถูกจับขังคุกด้วยข้อหาทางการเมืองเป็นจำนวนมากจวบจนถึงสมัยของซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งราชวงศ์โรมานอฟผู้โชคร้าย เขาผู้นี้ได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจในปี ค.ศ. 1894
จากการที่ต้องใช้ทหารเข้าปราบปรามประชาชนเพื่อค้ำจุนบัลลังก์ของตนเอง แถมต้องมาทำสงครามแย่งพื้นที่กับเยอรมัน ทำให้สังคมรัสเซียอยู่ในสภาพที่อ่อนแอทรุดโทรมมาก แรงงานภาคเกษตร และอุตสาหกรรมขาดแคลนอย่างหนักเพราะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัวพร้อมด้วยสมุนบริวารต่างเสวยสุขกันภายในมหาราชวัง ในขณะที่ประชาชนต่างอดอยาก แร้นแค้น พวกเขายังคงใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยขณะที่ประชาชนแทบไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่กันหนาว ในยามคับขันนั้นเองได้มีนักบวชผู้หนึ่งชื่อกาปอน (GAPON) แห่งเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นผู้ที่ได้รับความยอมรับนับถือจากประชาชนมาก พระรูปนี้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสมาคมอุตสาหกรรมขึ้นในปี ค.ศ. 1904 เพื่อช่วยเหลือชาวกรรมกรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยเจตนาที่ดีและวิธีที่ไม่ผิดกฎหมายในปี ค.ศ. 1905 พระกาปอนนำประชาชนราว 150,000-200,000 คนเดินขบวนฝ่าลมหนาวเพื่อถวายฎีกาต่อซาร์นิโคลัสที่ 2 ให้ช่วยเหลือประชาชนที่ทุกข์ยากเดือดร้อน แต่สิ่งที่ได้รับคือความตายจากห่ากระสุนปืนที่ทหารรักษาพระองค์ระดมยิงใส่ฝูงชนอย่างไร้ความปรานี มีผู้บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์
ครั้งนั้นถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ให้จดจำเรียกกันว่า "วันอาทิตย์นองเลือด" นับจากวันนั้นเป็นต้นมาความเคียดแค้นชิงชังต่อระบอบกษัตริย์ ขุนนาง พวกเจ้าที่ดิน และนายทุน ก็ระเบิดระบาดไปทั่วประเทศรัสเซีย มีการเดินขบวน การหยุดงาน การเผาปล้นทำลายทรัพย์สินของเจ้าที่ดินเกิดขึ้นไปทั่ว แม้ทหารจะเข้าปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนอย่างหนักแต่สถานการณ์กลับดูเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ซาร์นิโคลัสที่ 2 เมื่อเห็นว่าการปราบปรามชักจะไม่ได้ผลอีกต่อไป ซาร์ก็ยอมลดตัวลงมายินยอมมอบเสรีภาพบางส่วนเช่น เสรีภาพในการพูดในที่ชุมนุม การรวมตัวกันเป็นสมาคม สัญญาว่าจะเปิดโอกาสให้ใช้กฎหมายแทนการใช้อำนาจของกษัตริย์ ยอมฟังเสียงจากสภาดูมา (DUMA) มากขึ้น แต่ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นภายหลังล้วนเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น
ครั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสเซียก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก แถมยังมีนักบวชชื่อรัสปูติน (GREGORY RUSPUTIN) เข้ามามีอิทธิพลในการปกครองบ้านเมือง กษัตริย์และราชินีต่างเชื่อคำแนะนำของนักบวชผู้นี้มากกว่าใคร ๆ รัสปูติน บอกว่ารบชนะแน่พระย่ะค่ะ ก็ส่งทหารไปรบ ผลก็คือทหารรัสเซียต้องล้มตายไปเป็นจำนวนมาก รัสเซียพ่ายแพ้อย่างย่อยยับต่อเยอรมัน ครั้นสภาดูมาแนะนำสิ่งที่ดี ๆ ก็โกรธสั่งยุบสภาเสีย ทหารและประชาชนนับวันเริ่มเบื่อหน่ายกษัตริย์หันไปสนับสนุนความคิดปฎิวัติมากขึ้นทุกที
แล้ววันนั้นก็มาถึงจนได้ การปฏิวัติเริ่มในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1917 ประชาชน ผู้หิวโหยก่อการจลาจล ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทหาร กรรมกรและประชาชนต่างจับมือร่วมกันตั้งสภาโซเวียต (SOVIET) เพื่อเป็นองค์กรนำไปสู้รบกับกอง ทหารคอสแซค(COSSACK) ของซาร์นิโคลัสที่ 2 เกิดการจลาจลไปทั่วรัสเซีย การปฏิวัติครั้งนี้ชาวพลพรรคบอลเชวิค (B0LSHEVIKS) ที่นำโดยเลนิน (V.I.LENIN) นำการปฎิวัติ โดยชูคำขวัญ "สันติ ที่ดิน และขนมปัง" เขาสัญญาว่าจะยุติสงครามของกษัตริย์ ถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาจะยึดที่ดินที่ครอบครองโดยพวกกษัตริย์และเจ้าที่ดินมาคืนให้แก่ชาวนา เขาจะให้กรรมกรมีสิทธิ์ในโรงงานแทนการเป็นแค่ทาสแรงงานของกรรมกร และแล้วในคืนวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 พระราชวังฤดูหนาวที่นครเปรโตกราดอันโอ่อ่าของพระเจ้าซาร์ก็ถูกยึดโดยประชาชน ราชวงศ์โรมานอฟทั้งหมดถูกจับขัง และถูกสำเร็จโทษเรียบไม่มีเหลือในปี ค.ศ. 1918
เวลานั้นทั่วทั้งประเทศรัสเซียอันกว้างใหญ่ไพศาลกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้คนทั่วทั้งโลกต่างตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดากษัตริย์ ขุนนาง ข้าราชบริพาร เจ้าที่ดิน และนายทุน ในประเทศต่าง ๆ พวกเขาทั้งหลายต่างจดจ้องมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น พลันก็ไพล่นึกไปถึงวาระสุดท้ายของพรรคพวกตนเยี่ยงราชวงศ์โรมานอฟ โอ มันน่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร เพราะการเสวยสุขเสพสมเยี่ยงเทวดาบนหลังคนที่ทำกันมานมนานจนเคยชินนั้นสำหรับประเทศรัสเซียมันได้สิ้นสุดลงแล้ว "ผีคอมมิวนิสต์" ตนนี้กำลังเริ่มออกอาละวาดหลอกหลอนพวกเขาแล้ว รัฐสังคมนิยมแห่งแรกของโลกได้สถาปนาขึ้นแล้ว รัสเซียในยุคใหม่ที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียและท่านเลนิน กำลังจะนำพาประเทศรัสเซียไปสู่ยุคใหม่ในระบอบใหม่ที่ไม่เคยมีใครในโลกรู้จักมาก่อน.
หมายเหตุ : ข้อมูลส่วนใหญ่คัดมาจากเอกสารประกอบการเดินทางของทัวร์ ซึ่งก็คัดมาจาก สัมผัสรัสเซีย ของ ขจัดภัย บุรุษพัฒน์ : สนพ.แพร่พิทยา 2542 และ ธนิต ธรรมสุคติ, เที่ยวรัสเซีย : บ. สี่เกลอ จก. 2525 และ ศ.ดวงเดือน พิศาลบุตร , ผช.เพิ่มจิตร สิงหเสนี , สหภาพโซเวียต : สนพ.บรรณกิจ 2523และ รูปภาพไม่มีมากมายเพราะหายากดีแท้ - -
ขอบคุณมากครับ ติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะครับ :)