Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageแชร์ลิ้ง
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

8 สิ่งมหัศจรรย์ของระบบสุริยะ

โพสท์โดย mata

หากพูดถึงคำว่า "สิ่งมหัศจรรย์" คนส่วนใหญ่คงนึกถึง สิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 21 สิ่ง ของโลกจาก 3 ยุคสมัย ซึ่งล้วนสิ่งก่อสร้างที่สร้างด้วยฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น แต่สิ่งเหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้สรรค์สร้างขึ้นมานานแสนนาน ในบทความนี้ จิตรกรชื่อ ลอน มิวเลอร์ จะพาพวกเราเดินทางไปรับชมความอัศจรรย์ทางธรรมชาติทั้ง 8 สิ่ง จาก 8 สถานที่ในระบบสุริยะของเรา ผ่านทางภาพวาดที่วาดขึ้นโดยการวิเคราะห์ข้อมูลจริงจากโครงการสำรวจต่างๆ ขององค์การนาซา

อันดับที่ 1 วงแหวนของดาวเสาร์ (The Rings of Saturn)


จากรูปที่เห็น นี่คือบรรยากาศชั้นโทรโปสเฟียร์ของดาวเสาร์ ด้านบนคือภาพวงแหวนในมุมมองที่ชัดเจน จะมองเห็นโครงสร้างเป็นชั้นๆ ที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุดในระบบสุริยะ แสงสะท้อนสีขาวจากวงแหวนแท้จริงแล้วคือก้อนน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนที่โคจรอยู่สูงจากศีรษะขึ้นไป 75,000 กิโลเมตร แสงสะท้อนนี้ถูกเรียกว่า Ringshine หากเปรียบเทียบแล้ว Ringshine มีความสว่างกว่าพระจันทร์เสี้ยวบนโลกถึง 6 ดวง ในรูป หากก้มมองต่ำลงมา สิ่งที่เห็นคือดวงอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้าของดาวเสาร์ แสงอาทิตย์หักเหและสะท้อนกับหมอกและผลึกของแอมโมเนีย เกิดเป็นปรากฏการณ์ซันด๊อก (ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ซ้อนกัน 3 ดวง) แม้สถานที่ตรงนี้จะมีปรากฎการณ์ที่สวยงามแต่ก็แฝงไปด้วยอันตราย หากคุณไปอยู่ตรงนั้น คุณจะได้รับอันตรายจากสายลมแอมโมเนียที่พัดกรรโชกด้วยความเร็ว 1,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่เพียงเท่านั้น ต่ำลงไปใต้เท้าของคุณประมาณ 30,000 กิโลเมตร คือมหาสมุทรของโลหะเหลวไฮโดรเจน ความดันของมหาสมุทรนี้สูงมากจนไม่มีสิ่งใดจะทนต่อความดันนี้ได้ จึงเป็นเหตุให้ไม่มีพาหนะใดที่ร่อนลงบนดาวดวงนี้ได้อย่างปลอดภัย

อันดับที่  2 จุดแดงยักษ์บนดาวพฤหัส (Jupiter's Red Spot)

นี้คือทิวทัศน์ที่ขอบของจุดแดงยักษ์ ซึ่งเป็นพายุที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ กระแสลมของพายุเคลื่อนที่หมุนในทิศทวนเข็มนาฬิกา สวนทางกับการหมุนของพายุส่วนใหญ่บนโลก (จึงเรียกว่า แอนติไซโครน) เส้นผ่านศูนย์กลางของพายุมีขนาดใหญ่จนสามารถบรรจุโลกเข้าไปในพายุได้สองใบพอดี มนุษย์เคยสังเกตเห็นพายุนี้มาเป็นเวลาประมาณ 400 ปี แล้ว นั้นหมายความว่าพายุนี้ต้องพัดมานานกว่า 400 ปี และไม่มีท่าทีว่าจะหยุด สาเหตุของการเกิดพายุที่ยิ่งใหญ่ รุนแรง และพัดติดต่อกันนาน ที่สุดนี้ยังคงเป็นปริศนา ในรูป การม้วนตัวของเมฆสีส้มทางด้านซ้ายคือเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของจุดแดงยักษ์ สภาพของขอบพายุสะท้อนถึงความอันตรายอย่างสุดขีด สายฟ้าผ่าในมวลเมฆนั้นใหญ่และรุ่นแรงเพียงพอที่จะขยี้เมืองทั้งเมืองได้ สายลมที่ขอบนอกของจุดแดงยักษ์มีความเร็วมากกว่า 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และหมุนครบรอบทุกๆ 7 วัน มีกระแสลมหมุนและพายุเล็กๆ รายล้อมจุดแดงยักษ์นี้ ทั้งหมดต่างประสานเสียงคำรามกึกก้องทั่วทั้งท้องฟ้า

อันดับที่ 3 หุบเขามารินาริส บนดาวอังคาร (Valles Marineris, Mars)

ไม่ว่านักเดินทางหรือนักปีนเขาจะเก่งกล้าเพียงใดก็คงต้องออกอาการยอมแพ้ตั้งแต่ครั้งแรกไปถึงหุบเขามารินเนอร์บนดาวอังคาร ในรูปนี้แสดงถึงนักสำรวจยืนอยู่บนหุบเขา จะเห็นมีหมอกของน้ำแข็งสีขาวอยู่จางๆ อยู่เบื่องล่าง แสงสีส้มที่ขอบฟ้าด้านหลังของหุบเขาแสดงถึงดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นมาจากหุบเขาฝั่งนั้น หุบเขาแห่งนี้มีความลึกและความกว้างเป็นที่สุดของระบบสุริยะ หากคุณยืนอยู่บนหุบเขาแล้วมองลงไปคุณต้องรู้สึกใจหายในคว่ำทันที เพราะพื้นเบื่องล่างของหุบเขาอยู่ลึกจากเท้าลงไปประมาณ 6.44 กิโลเมตร และเมื่อคุณมองไปข้างหน้า คุณอาจต้องเครียด เพราะอีกฝั่งของหุบเขาอยู่ไกลออกไปถึง 1 ใน 4 ของระยะทางรอบโลก ถึงขนาดที่ หากมีนักเดินทางอีกคนยืนอยู่อีกฝากหนึ่งของมารินเนอร์ นักเดินทางคนนั้นจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นก่อนคุณถึง 6 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์สันนิฐานว่ากาลครั้งหนึ่งในอดีต คงจะเคยมีน้ำอยู่ระหว่างหุบเขานี้ หรือ อาจเป็นมหาสมุทรบนดาวอังคารเลยก็ว่าได้

อันดับที่ 4 น้ำพุเกร็ดน้ำแข็งบนดวงจันทร์เอนเซลาดัส (The Geysers of Enceladus)

เอนเซลาดัสคือหนึ่งในดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์ ผิวของเอนเซลาดัสถือเป็นทุ่งน้ำแข็งที่อันตรายที่สุด หากคุณได้ลงไปเดินบนทุ่งน้ำแข็งแห่งนี้ สิ่งเดียวที่เป็นลางบอกภัยคือแรงสันสะเทือนที่ถ่ายทอดจากพื้นสู่ตัวคุณ ทันใดนั้นพื้นน้ำแข็งก็ปริแตกแล้วพ่นเกร็ดน้ำแข็งจำนวนมากขึ้นสู่อวกาศด้วยความเร็วสูงถึง 1,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากเอนเซลาดัสมีขนาดเล็ก มีแรงโน้มถ่วงที่ผิวไม่เกิน 1 ใน 100 ของแรงดึงดูดโลก ดวงจันทร์นี้จึงไม่มีบรรยากาศ ทำให้ไม่มีเสียง อันตรายจากน้ำพุเกร็ดน้ำแข็งนี้จึงเป็นภัยเงียบอย่างแท้จริง คำแนะนำสำหรับผู้ที่จะท่องทุ่งน้ำแข็งคือ ให้ผูกตัวคุณเองไว้กับเครื่องช่วยกระโดด (jetpack) และเดินอย่างระมัดระวัง หากเห็นท่าไม่ดีให้รีบเปิดเครื่องช่วยกระโดดแล้วกระโดดหนีทันที รูปที่เห็นคือน้ำพุเกร็ดน้ำแข็งที่สะท้อนกับแสงจากดวงอาทิตย์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน้ำพุเกร็ดน้ำแข็งคือหลักฐานบ่งชี้ว่ามีน้ำเหลวอยู่ใต้ดวงจันทร์เอนเซลาดัส เมื่อน้ำได้รับความร้อนใต้พิภพจะทำให้น้ำกลายเป็นไอแล้วพุ่งสู่เบื่องบนด้วยความเร็วสูง เมื่อไอน้ำเหล่านั้นได้รับความเย็นที่ผิวของเอนเซลาดัส จึงแข็งตัวกลายเป็นเกร็ดน้ำแข็ง จึงเกิดเป็นน้ำพุเกร็ดน้ำแข็งดังที่แสดงในรูป

อันดับที่ 5 น้ำพุเย็นจัดบนดวงจันทร์ไทรทัน (The Geysers of Triton)

ไทรทันคือดวงจันทร์บริวารดวงที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน (ดาวดวงสีน้ำเงินด้านหลัง ในรูป) พื้นผิวถูกปกคลุมไปด้วยมีเทนและไนโตรเจน อีกทั้งมีอุณหภูมิต่ำถึง -200 องศาเซลเซียส บนดวงจันทร์ดวงนี้มีน้ำพุที่ทรงพลังและอันตรายอยู่เช่นเดียวกับเอนเซลาดัส เพียงแต่น้ำพุของดวงจันทร์ดวงนี้ไม่ใช่เกิดจากการพวยพุ่งของน้ำ แต่เป็นการพวยพุ่งของสารประกอบไนโตรเจนรวมทั้งมีเทนที่เย็นจัด การพุจะมีลักษณะเหมือนควันพุ่งออกจากผิวของดวงจันทร์ มีความสูงมากกว่า 8 กิโลเมตร ยอดของน้ำพุจะถูกลมบนพัดกระจายเป็นทางยาว เนื่องจากความสูงและการกระจายตัวของน้ำพุ ทำให้เราสามารถเห็นน้ำพุนี้ได้แม้จะอยู่ในอวกาศ

อันดับที่ 6 ยอดเขาแห่งแสงนิรันดร์ (Peaks of Eternal Light)

สิ่งมหัศจรรย์นี้อยู่ไม่ไกลจากโลกมากนัก มันอยู่บนดวงจันทร์ของเราเอง ที่แนวเขาทางตอนเหนือของดวงจันทร์ มีบริเวณอยู่บริเวณหนึ่งที่ถูกแสงอาทิตย์ส่องตลอดเวลาและตลอดกาล หรือพูดอีกอย่างคือ ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกหากมองจากบริเวณนี้ ยอดเขาแห่งแสงนิรันดร์ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2537 และเป็นเพียงที่แห่งเดียวในระบบสุริยะที่มีแสงส่องตลอดกาล สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ดวงจันทร์จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยหนาวเย็น แต่ที่ยอดเขาแห่งแสงนิรันดร์กลับมีอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ คือ 20 องศาเซลเซียส จึงเป็นบริเวณที่เหมาะมากสำหรับตั้งรกรากบนดวงจันทร์ ข้อดีอีกอย่างคือจะมีพลังงานแสงอาทิตย์ให้เก็บเกี่ยวผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าตลอดเวลา ไม่แน่ว่าที่แห่งนี้ยังอาจจะมีน้ำเหลวเป็นของแถมอีกด้วย

อันดับที่ 7 หลุมอุกกาบาตเฮอร์เชลบนดวงจันทร์ไมมาส (Herschel Crater on Mimas)

หากใครเคยดู Starwars ครบทั้ง 6 ภาพ คงต้องรู้จักอาวุธทรงอานุภาพอย่าง Death Star แน่นอน แต่รู้หรือไม่ว่ารูปร่างของ Death Star ถูกออกแบบจากสิ่งมหัศจรรย์นี้ นี่คือภาพของหลุมอุกกาบาตเฮอร์เชล (Herschel) บนดวงจันทร์ไมมาสบริวารอีกดวงหนึ่งของดาวเสาร์ ใจกลางของหลุมอุกกาบาตเฮเตอร์มีภูเขาอยู่สูงจากบริเวณรอบราว 6 กิโลเมตร และถูกล้อมไปด้วยปากหลุม ซึ่งเป็นกำแพงของภูเขาสูง 5 กิโลเมตร หลุมอุกกาบาตนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากถึง 139 กิโลเมตร จัดเป็นหลุมอุกกาบาติที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในระบบสุริยะ หลุมนี้จะมองเห็นได้ชัดเจนจากอวกาศจนเหมือนกับดวงจันทร์นี้มีตาขนาดใหญ่ 1 ดวง ซึ่งก็คือต้นแบบของปากกระบอกปืน Super Laser ของ Death Star นั้นเอง นักวิทยาศาสตร์ให้ความเห็นว่าหลุมอุกกาบาตนี้น่าจะเกิดจากไมมาสถูกชนครั้งใหญ่ด้วยอุกกาบาตขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของไมมาส ซึ่งก็ทำให้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็แปลกใจว่าดวงจันทร์ไมมาสรอดจากการแตกสลายอันเนื่องจากการชนครั้งใหญ่นี้ได้อย่างไร

อันดับที่ 8 พระอาทิตย์ขึ้นบนดาวพุธ (Sunrise on Mercury)

1 วันบนโลกของเราจะมีดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเพียงอย่างละครั้งเดียว แต่สำหรับดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์บนดาวพุธมีความน่าตื่นตาตื่นใจและน่าจดจำยิ่งกว่า เทียบกับโลกแล้วดวงอาทิตย์ขึ้นและตกวันละสองครั้งครึ่ง กล่าวคือ 1 วันบนดาวพุธ ตอนรุ่งอรุณดวงอาทิตย์จะขึ้นที่ขอบฟ้า แล้วเคลื่อนข้ามท้องฟ้าเหมือนปกติ ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตกไปยังขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ก็หยุด แล้วเคลื่อนที้ย้อนกลับไปสู่ขอบฟ้าด้านที่มันขึ้นในตอนเช้า หลังจากนั้นดวงอาทิตย์ก็หยุดอีกครั้งแล้วเคลื่อนย้อนกลับที่ไปสู่ขอบฟ้าด้านตรงข้าม (ตรงข้ามกับด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า) อีกครั้ง แล้วจึงตก ทำให้ใน 1 วัน ดาวพุธมีดวงอาทิตย์ขึ้นสองครั้งและตกสองครั้ง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเวลาในการหมุนรอบตัวเองและเวลาในการหมุนรอบดวงอาทิตย์มีความใกล้เคียงกัน (3 วันบนดาวพุธ นานเท่ากับ 2 ปีของดาวพุธเอง) ก็คือ 1 ปีของโลกเราเท่ากับ 365 วัน  ส่วนดาวพุธ 1.5 วัน เท่ากัึบ 1 ปี  และความรีของวงโคจรดาวพุธก็มีผลทำให้เกิดปรากฎการณ์นี้เช่นกัน

สิ่งมหัศจรรย์ที่ 8 นี่มันน่าอัศจรรย์จริงๆ ใช่ไหมครับเพื่อนๆ เท่ากับพระอาทิตย์ไม่เคยลับของฟ้าน่ะสิครับ  ยังมีบทความดีๆ อีกหลายเรื่องลองตามอ่านดูนะครับ  ขอบคุณครับ

บทความนี้เรียบเรียงจาก  Ed Bell. 8 Wonders of the Solar System, Made Interactive. http://www.scientificamerican.com. March 30, 2010, google.com

ขอบคุณ  vcharkarn.com

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
mata's profile


โพสท์โดย: mata
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
216 VOTES (4/5 จาก 54 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เลขเด็ด "เสือตกถังพลังเงินดี" งวดวันที่ 16 เมษายน 68 มาแล้ว!..รีบส่องกันเลย!!ลูกรัก-ลูกชังในที่ทำงาน ‘Favoritism’ เมื่อหัวหน้ามีลูกรักคนโปรดควรรับมืออย่างไร? เช็กสัญญาณของปัญหาการมีลูกรัก-ลูกชังในที่ทำงานโตโน่ ภาคิน โดนโยงข่าวนอกใจแฟนสาว ผจก.ชี้แจงความจริงจีนสวนกลับสหรัฐฯร้านค้าเรียกเก็บค่าบริการชาว อเมริกันเพิ่มกว่าเท่าตัวสรุปเส้นทางความรักของโตโน่-ณิชามาได้ไง!! หนุ่มตั้งโต๊ะขายผลไม้บนทางด่วนเข้าตักเตือนทันที คงคิดว่าทำเลดีไร้คู่เเข่งสินะ🤣นี่คือห้องที่เงียบที่สุดในโลก ถ้าอยู่เกิน 45 นาทีในห้องนี้อาจจะเป็นบ้าได้!!18 มงกุฎระดับโลก! ที่หลอกสาวๆผ่านแอพ จนสาวๆที่เป็นเหยื่อผู้เสียหายหลายคนใครทิ้งรอยไว้กลางจุดพีค? "นาย ณ ภัทร" มีสะดุ้งเบา ๆรีวิวหนังดัง LOVE HURTS ด้วยรักและลูกปืนเราจะไม่ยอมเห็นภาพนี้ คนเดียว ขำๆ กันไปคนละเรื่อง?? กรณี สส. อภิปรายโยง จันทรุปราคา-สุริยุปราคา , พายุสุริยะ และวงแหวนดาวเสาร์ เข้ากับการเกิดแผ่นดินไหว
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
โตโน่ ภาคิน โดนโยงข่าวนอกใจแฟนสาว ผจก.ชี้แจงความจริงสรุปเส้นทางความรักของโตโน่-ณิชา
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน Lineหาเพื่อน SkypePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageแชร์ลิ้ง
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง