เอาล่ะ! ได้เวลาปิดฉากการรีวิว Nokia 808 PureView แล้วละนะครับ … ก่อนอื่น คงต้องอธิบายก่อนว่าทำไมเจ้านี่ถึงต้องใช้เซ็นเซอร์อลังการซะขนาดนั้น จากนั้นตามด้วยการแนะนำวิธีการถ่ายภาพให้สวยๆ ด้วย Nokia 808 PureView และปิดท้ายด้วยการให้ดูรูปถ่ายแบบเต็มๆ ของมันครับ (บอกตรงๆ ว่า ขนาดของไฟล์โหดร้ายเอาการทีเดียว เล่นเอาผมกลัวเรื่องปริมาณข้อมูลที่รับส่งของเว็บเซิร์ฟเวอร์เลยทีเดียวครับ … และเช่นเคย สำหรับคนที่อยากบทสรุปสั้นๆ ก่อนที่จะเข้าไปอ่านรายละเอียดในบล็อก ผมขอสรุปว่ากล้องดิจิตอลของ Nokia 808 PureView นั้น หากเลือก Scene ที่เหมาะสม หรือ ปรับตั้งค่าได้เหมาะสมแล้วละก็ ภาพที่ถ่ายได้สวยเอาการทีเดียว แต่ว่าหากเน้นถ่ายในโหมด Auto ทั้งหมดละก็ ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ครับ
ทำไมต้อง 41 ล้านพิกเซล?
เชื่อว่าหลายๆ คนคงสงสัยอย่างมากครับว่าทำไม Nokia ถึงต้องใช้เซ็นเซอร์ขนาดมหึมา 41 ล้านพิกเซลขนาดนี้ … แล้วจริงๆ แล้วมันถ่ายภาพได้ขนาด 41 ล้านพิกเซลจริงๆ หรือไม่? ทาง Nokia เขาได้อธิบายเทคโนโลยีเอาไว้แล้วใน White Paper ที่เว็บของเขาครับ
อย่างแรกก็คือ ความละเอียดของภาพนั้น สูงสุดจะอยู่ที่ 38 ล้านพิกเซลเมื่อถ่ายที่สัดส่วน 4:3 หรือ 34 ล้านพิกเซลเมื่อถ่ายที่สัดส่วน 16:9 ครับ … ไอ้เลข 41 ล้านพิกเซลนั้นมันคือจำนวนพิกเซลทั้งหมดที่เซ็นเซอร์สามารถเก็บได้ แต่ว่าเวลาถ่ายภาพจริงๆ มันจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าใช่ไหมล่ะครับ ดังนั้นมันก็เลยมีพิกเซลบางส่วนที่เกินไปน่ะครับ
ทีนี้มาพูดถึงที่มาของ “ทำไมต้อง 41 ล้านพิกเซล?” บ้าง … ทีมวิศวกรของ Nokia มองเห็นถึงจุดอ่อนที่สำคัญของกล้องดิจิตอลบนโทรศัพท์มือถือ ที่ทำให้สู้กล้องดิจิตอลจริงๆ ไม่ได้ นั่นคือ ด้วยข้อจำกัดเรื่องความหนาของตัวเครื่อง ที่นับวันยิ่งแข่งกันบาง (แบบที่ผมแซวประจำว่าแข่งกันบางเหมือนกับผ้าอนามัย) ทำให้จนปัญญาที่จะใส่เลนส์ซูมเข้าไป แต่คนเราก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องทำการซูมเป็นบางครั้ง (และเผลอๆ บ่อยครั้งด้วย) อยู่ดี
ทว่าการซูมของกล้องดิจิตอลบนโทรศัพท์มือถือทั่วๆ ไปนั้นมันเป็นแค่การซูมที่เรียกว่า Digital Zoom ซึ่งเป็นแค่การนำภาพในส่วนที่ซูมนั้นมาขยายให้ได้ขนาดเต็ม เช่น 5 ล้านพิกเซล หรือ 8 ล้านพิกเซล ซึ่งคุณภาพของภาพที่ได้ก็น่าจะรู้ๆ กันอยู่ว่าไม่ดีเลย ภาพจะเกิดอาการแตกพร่าครับ
ทีมวิศวกรของ Nokia ได้แรงบันดาลใจจากภาพถ่ายดาวเทียมที่สามารถซูมเข้าไปเรื่อยๆ ได้ โดยที่ก็ยังเห็นภาพที่มีความละเอียดคมชัดอยู่ … เบืิ้องหลังของสิ่งนี้คือการที่ภาพถ่ายนั้นมีความละเอียดสูงมากๆๆๆๆ มาตั้งแต่ต้นครับ แต่ใช้วิธีที่เรียกว่า Oversampling เพื่อทำให้ภาพความละเอียดสูงนั้นแสดงออกมาในความละเอียดตามที่กำหนด ดังนั้นการซูมภาพนั้น จริงๆ แล้วมันไม่ใช่การซูม แต่เป็นการ Crop ภาพเฉพาะส่วนที่ต้องการออกมาเท่านั้นเอง
อย่างในรูปข้างต้นเนี่ย ภาพที่ถ่ายตอนแรกจะเป็นขนาดเต็ม 38 ล้านพิกเซล (หรือ 34 ล้านพิกเซล … แล้วแต่ว่าถ่ายภาพที่สัดส่วน 4:3 หรือ 16:9) จากนั้นเวลาที่เราจะซูม มันก็จะใช้หลักการเดียวกับ Digital Zoom นั่นแหละครับ คือ เลือก Crop ฉาพเฉพาะจุดเอามาแสดง แต่เนื่องจากว่าภาพต้นฉบับนั้นมีจำนวนพิกเซลเยอะมาก ก็เลยทำให้ภาพที่ได้ออกมานั้น แม้จะเป็นขนาด 5 ล้านพิกเซล หรือ 8 ล้านพิกเซล ก็ยังมีความชัดอยู่ (เพราะขนาดของภาพที่ถูก Crop มานั้นก็คือขนาด 5 ล้านพิกเซล หรือ 8 ล้านพิกเซลจริงๆ น่ะครับ) … ซึ่งเจ้านี่เรียกว่า Lossless Zoom ครับ
ลองดูคลิปที่ Nokia เขาทำมาเดโมการซูมแบบนี้ให้ดูนะครับ
สรุปง่ายๆ นะครับ … ภาพถ่ายที่ได้จะเป็น 34 ล้านพิกเซล หรือ 38 ล้านพิกเซล แต่จะถูกลดขนาดของภาพลงมาเหลือ 2 ล้านพิกเซล, 5 ล้านพิกเซล หรือ 8 ล้านพิกเซล ด้วยเทคนิค Oversampling … และเมื่อถ่ายภาพที่ขนาดไม่เต็มพิกเซลแบบนี้ ผลก็คือ เราสามารถที่จะซูมภาพได้ประมาณ 3 เท่า โดยที่ไม่สูญเสียความละเอียดของภาพ (เพราะมันเป็นแค่การ Crop ภาพขนาด 3, 5 หรือ 8 ล้านพิกเซล จากภาพใหญ่ 34 หรือ 38 ล้านพิกเซลนั่นเอง)
หลักการเดียวกันนี้ก็ใช้กับการถ่ายวิดีโอด้วยนะครับ โดยสามารถซูมได้ 4x ที่การถ่ายวิดีโอ 1080p หรือ 6x หากถ่าย 720p หรือ 12x หากถ่าย 360p ครับ ชัดแจ่มเจ๋วเลยทีเดียว
ทิป & เทคนิค ในการถ่ายภาพ
ตรงนี้คือทิปและเทคนิคในการถ่ายภาพ โดยอธิบายการใช้งานโหมดต่างๆ ของ Nokia 808 PureView ครับ … Credit ของ Nokia เลยครับ เพราะไม่ใช่ Content ของผมแต่อย่างใด … แต่ผมแนะนำว่าควรที่จะอ่านอย่างแรงครับ เพราะเจ้านี่ถือเป็นกล้องดิจิตอลบนโทรศัพท์มือถือที่มีการตั้งค่าละเอียดมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยทีเดียว โดยมีโหมดต่างๆ ดังนี้ครับ
Automatic Mode
เป็นโหมดอัตโนมัติซึ่งถูกตั้งไว้ให้พร้อมใช้งาน เป็นโหมดที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพในทุกสถานการณ์
Scenes Mode
เป็นโหมดถ่ายภาพหลากหลาย คุณสามารถเลือกหมวดการถ่ายภาพแบบต่างๆ ที่ตั้งค่าไว้แล้ว เพื่อให้เหมาะสมกับภาพที่จะถ่าย เช่น Landscape, Close-Up, Portrait, Sports, Night, Night Portrait, Spotlight และ Snow
Creative Mode
ช่วยให้คุณมีอิสระในการสร้างสรรค์ภาพถ่ายโดยการเลือกตั้งค่าต่างๆ เองได้แก่
การตั้งโฟกัส เมื่อเข้าสู่โหมด Creative แล้ว ให้แตะที่หน้าจอค้างไว้ มันจะปรากฏตัวเลือกโฟกัสให้ 4 แบบดังนี้ครับ
- Infinity เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ แม้วัตถุที่อยู่ไกลก็สามารถเห็นได้คมชัด หรือใช้ถ่ายวัตถุเคลื่อนไหวในระยะ 10 เมตรขึ้นไป
- Hyperfocal สำหรับถ่ายภาพที่มีระยะตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป ช่วยให้เก็บภาพวัตถุที่อยู่ในเฟรมภาพในทุกระยะได้สมบูรณ์ เช่น ภาพบรรยากาศสนามฟุตบอล
- Close-up เหมาะสำหรับถ่ายภาพในระยะ 15-40 เซนติเมตร เพื่อให้มีความคมชัด ไม่เบลอ
- Automatic ค่าโฟกัสเริ่มต้น ที่ให้ความสะดวกในการถ่ายภาพในหลากหลายระยะ
โดยเมื่อใช้โหมด Automatic หรือ Close-up จะปรากฏแถบบนหน้าจอเพื่อล็อกจุดโฟกัสของภาพ (หมายถึง ทำ Tap-to-Focus ได้)
การตั้งค่ารับแสง (Exposure Compensation)
ในโหมด Creative คุณสามารถเลือกการเปิดรับแสงก่อนที่คุณจะถ่ายภาพ โดยอาศัย Histogram ซึ่งจะปรากฎขึ้นบนหน้าจอเมื่อคุณกดที่ไอคอน Exposure Compensation ที่ด้านซ้ายของหน้าจอ และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ภาพควรเปิดรับแสงให้เท่ากับส่วนที่สว่างที่สุดของภาพ เพื่อป้องกันภาพบางส่วนสว่างจ้าเกินไป ในการถ่ายภาพที่มี Contrast สูง คุณสามารถใช้แฟลชช่วย เพื่อลดทอนความ Contrast ของภาพ กดปุ่มชัตเตอร์บนตัวเครื่องเบาๆ ก็จะล็อกกลับสู่ Auto Exposure
การตั้ง (White Balance)
ในโหมด Creative คุณสามารถปรับ White Balance ด้วยการเลือกจากค่าที่ตั้งไว้แล้ว เช่น Sunny, Automatic, Cloudy, Incandescent, Fluorescent คุณยังสามารถปรับ White Balance ได้เอง หากยังไม่ได้ผลภาพตามที่ต้องการ
การตั้ง ISO
ในโหมด Creative คุณสามารถเลือกการตั้งค่า ISO ได้ตั้งแต่ 50 ถึง 1600 ยิ่งค่า ISO สูง ภาพในสภาวะแสงน้อยก็จะยิ่งเห็นชัดเจนขึ้น และสามารถปรับค่า ISO ให้เป็นอัตโนมัติได้อีกด้วย
นอกจากนี้ การถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยยังถ่ายได้สมบูรณ์ด้วยโหมด PureView ที่ 2/3 ขนาด 5 หรือ 8 เมกะพิกเซล ซึ่งคุณสามารถเลือกISO ต่ำ (เช่น 50) เพื่อเปิดรับแสงได้ถึง 2.7 วินาที และเลือกถ่ายภาพแบบ ‘Noise Free’ ในสภาพแสงน้อยได้อีกด้วย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คุณควรใช้ขาตั้ง หรือเลือก Auto ISO หรือ Night Mode
นอกจากนี้ ยังสามาถเลือกใช้แฟลชได้ในระยะ 3-4 เมตร
การตั้งฟิลเตอร์ Neutral Density
การปรับฟิลเตอร์ ND ในโหมด Creative สามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายได้ด้วยตัวเอง เช่น ถ่ายภาพด้วยเทคนิกเบลอภาพเคลื่อนไหว เมื่อฟิลเตอร์ ND ได้รับการปรับพร้อมกับค่า ISO ในระดับต่ำ ทำให้สามารถใช้การรับแสงได้ยาวนานขึ้น (ได้ถึง 2.7 วินาที) แม้จะถ่ายในสภาวะแสงมากหรือเลือกปิดฟิลเตอร์ ND ในสภาวะแสงมาก กล้องก็จะใช้เวลารับแสงน้อย ทำให้ถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ดี
Zoom
Nokia 808 PureView สามารถซูมได้โดยไม่ลดทอนความละเอียดของภาพ ระยะการซูมภาพจะขึ้นอยู่กับความละเอียดของภาพที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นการซูมแบบ lossless เสมอ โดยภาพขนาด 5 เมกะพิกเซลสามารถซูม
ได้ถึง 3 เท่า การซูมทำได้ง่ายเพียงแค่เลื่อนนิ้วคุณขึ้นลงที่หน้าจอ โดยจะต้องตั้งค่าไว้ที่ 2/3 ขนาดภาพ 5 หรือ 8 เมกะพิกเซล เพื่อใช้ฟังก์ชั่นซูมนี้ได้ และเพื่อภาพที่ดีที่สุด การซูมควรทำในแสงธรรมชาติเวลากลางวัน
การถ่ายภาพระยะใกล้ (Close-up)
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าสำหรับการถ่ายภาพระยะใกล้ได้จากแถบด้านข้างเมื่อกล้องอยู่ใน Scenes mode หรือกดค้างบนหน้าจอเมื่อกล้องอยู่ใน Creative mode เพื่อภาพระยะใกล้ที่สวยงามควรถ่ายภาพที่ความละเอียด 5 ล้านพิกเซลใน PureView mode พร้อมใช้การซูมไม่เกิน3 เท่า สามารถใช้แฟลชได้ในระยะ 15 เซนติเมตร
ภาพฉากหลังเบลอ (Bokeh Effect)
เทคนิกฉากหลังเบลอ เป็นเทคนิกที่เหมาะกับการถ่ายภาพคน หรือภาพ Macro โดยให้คุณโฟกัสเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการ ด้วยระยะโฟกัสถึง 8.02 มม. Nokia 808 PureVew จึงสร้างสรรค์ภาพ Bokeh ได้เช่นเดียวกับกล้อง SLR ขณะที่กล้องบนมือถือทั่วไปมีระยะโฟกัสที่ 4 มม.ระยะห่างระหว่างวัตถุหลักกับฉากหลังยิ่งห่างกันเท่าไร ฉากหลังจะยิ่งเบลอมากเท่านั้น เพื่อภาพที่สวยงามวัตถุที่ถ่ายควรอยู่ห่างจากกล้องไม่เกิน 0.5 เมตร
กล้องวิดีโอ
คุณสามารถเลือกฟังก์ชั่นถ่ายวิดีโอจากมุมบนขวาของจอเมื่อโทรศัพท์อยู่ในโหมดกล้องถ่ายรูป แล้วเลือก Continuous Autofocus ด้านล่างซ้ายของจอ กล้องจะเลือกจับภาพที่อยู่กลางเฟรม คุณสามารถแตะหน้าจอเพื่อเลือกและล็อคบริเวณที่คุณต้องการโฟกัส และยังสามารถใช้แสง LED สำหรับวิดีโอ เพื่อช่วยถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยในระยะ 1 เมตรได้ นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกความละเอียดของภาพได้ถึง 3แบบ รวมถึง FullHD ซึ่งในทุกความละเอียดสามารถใช้ lossless ซูม โดยการสั่งการด้วยนิ้วบนหน้าจอได้
เอาล่ะ ที่นี้ลองใช้กล้องถ่ายรูปและวิดีโอแบบจริงๆ ซะที
ก่อนอื่น พูดถึงข้อด้อยของ Nokia 808 PureView นี่ก่อนนะครับ … คือ ดูเหมือนว่า Nokia จะพยายามเน้นไปที่การปรับแต่งต่างๆ ในแบบกึ่งมืออาชีพมากๆ จนกระทั่งทำให้ละเลยในส่วนที่เป็นอัตโนมัติไป ทำให้คนทั่วไปจะรู้สึกว่าใช้ยากนิดๆ ในตอนแรก เพราะการใช้โหมด Full Auto (คือไม่ต้องคิดอะไรมาก Point & Shoot หรือ เล็งแล้วก็ถ่าย ไปเลย) มันได้ภาพออกมาไม่สวยเท่าไหร่
แต่ถ้าได้อ่าน ทิป & เทคนิค ที่ Nokia ให้มา (ที่ผมโพสต์ไปข้างต้น) แล้ว ก็จะทำให้การถ่ายรูปสวยๆ ทำได้ง่ายขึ้นเองครับ
การถ่ายรูปด้วย Nokia 808 PureView ถ้าจะเน้นง่ายและสวย แนะนำว่าให้เลือกเป็น Scene Mode ครับ เลือกให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เราจะถ่าย ที่เหลือมันจะมี Preset ที่เหมาะสมให้เอง … แต่ถ้าจะถ่ายเอาสวยเลย ผมแนะนำว่าให้เลือกเป็น Creative Mode ครับ
ใน Creative Mode นี่ ทางเลือกในการปรับตั้งมีเยอะมากเลยทีเดียวครับ แต่หลักๆ เลย แนะนำว่าควรเลือกปรับแต่งตามนี้ก่อน
- Sensor Mode ให้เลือกระหว่าง PureView กับ Full resolution ซึ่งแตกต่างดังนี้
- ถ้าเป็น PureView จะเป็นการถ่ายรูปขนาด 2, 5 หรือ 8 ล้านพิกเซล โดยใช้เทคนิค Oversampling ที่ทำให้ภาพถ่ายมีความคมชัด สวยงาม เพราะเป็นการย่อรูปลงมาจาก 34 หรือ 38 ล้านพิกเซล … ในโหมดนี้จะสามารถซูมภาพได้โดยไม่สูญเสียความคมชัด (Lossless Zoom)
- ถ้าเป็น Full resolution นั้น จะเป็นการเลือกระหว่าง 34 หรือ 38 ล้านพิกเซล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับตั้งค่า Aspect ratio ครับ
- Aspect ratio เป็นการปรับสัดส่วนของภาพที่ถ่าย เลือกได้ระหว่าง 16:9 (ภาพแบบ Widescreen) หรือ 4:3 … ภาพแบบ 16:9 จะเก็บรายละเอียดด้านซ้ายและขวาได้มากกว่าแบบ 4:3 แต่ว่าแบบ 4:3 จะได้จำนวนพิกเซลเยอะกว่า (แต่จะเพิ่มด้านบนและล่างมากกว่า)
- JPEG quality เป็นการเลือกคุณภาพของการบีบอัดไฟล์ภาพแบบ jpg แนะนำให้เลือกเป็น Superfine ครับ … ไฟล์ภาพใหญ่หน่อย แต่มีหน่วยความจำ 16GB ในตัวเครื่อง แถมเพิ่มด้วย MicroSD Card ได้ จะกลัวอะไรกับรูปถ่ายที่ขนาดรูปละ 10MB ล่ะ
ในการรีวิวกล้องของ Nokia 808 PureView เนี่ย เพื่อได้ภาพสวยสุดๆ ผมต้องไปเข้า Workshop ของ Nokia ที่จัดที่ Asiatique เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมาด้วย แต่ด้วยข้อจำกัดด้านฝีมือของผม ก็เลยทำให้ไม่สามารถแสดงศักยภาพของเจ้ากล้องของ Nokia 808 PureView ได้เต็มที่ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมแอบไปขอภาพสวยๆ จากคนที่ถ่ายไว้ในงานมาให้ได้ดูกันแล้ว อิอิ
เห็นภาพแบบนี้แล้ว คงไม่ต้องบอกนะครับว่ามันแจ่มแค่ไหนอ่ะ และเพื่อให้สามารถพร้อมสำหรับถ่ายภาพในสภาวะต่างๆ ได้รวดเร็ว ในโหมด Creative ก็จะเซฟ Present ได้ 3 แบบ คือ C1, C2 และ C3 ครับ
ในส่วนของการถ่ายวิดีโอนั้น ถ้าเลือกเป็น Creative ก็จะสามารถปรับแต่งได้หลากหลายมากๆ ตั้งแต่ Resolution และ Frame rate (เลือกได้ตั้งแต่ 15fps ไปจนถึง 30fps เลย) และเช่นเดียวกัน สามารถเซฟ Preset นี้ไว้ได้ 3 แบบ (C1, C2 และ C3) … วิดีโอ 1080p ที่ถ่ายได้ ก็ประมาณนี้เลยครับ
อันล่างนี่เป็นวิดีโอที่ถ่าย @ibluecosmos เอาไว้ … จะกระตุกหน่อย เพราะเหมือนมีปัญหากับซอฟต์แวร์ครับ
เลยลองถ่ายอีกอันตอนที่อยู่ในงาน Workshop ของ Nokia 808 PureView ครับ
Nokia 808 PureView ใน 3 ย่อหน้า
เอาล่ะได้เวลาสรุปเกี่ยวกับเจ้า Nokia 808 PureView แล้ว … ผมเลือกที่จะสรุปภายใน 3 ย่อหน้าครับ … ย่อหน้าแรกขอพูดถึงดีไซน์, ฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ครับ … ดีไซน์ของเจ้านี่ ก็เป็นอย่างที่ผมบอก มันไม่ใช่โทรศัพท์มือถือที่มีกล้องดิจิตอล แต่เป็นกล้องดิจิตอลที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Symbian และสามารถเป็นโทรศัพท์มือถือได้ … รูปทรงมันออกแนวแบบนั้นจริงๆ ครับ … ฮาร์ดแวร์ของ Nokia 808 PureView นั้นไม่มีอะไรโดดเด่น CPU Single-core 1.3GHz กับ RAM 512MB เท่านั้น จัดอยู่ในกลุ่ม Smartphone ระดับค่อนไปทาง Low-end ด้วย ด้านซอฟต์แวร์ตัวระบบปฏิบัติการ แม้จะเป็น Symbian แต่ว่าก็มีอะไรต่อมิอะไรครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่ชมเว็บได้เต็มรูปแบบ หรือ App ต่างๆ ที่จำเป็นๆ ก็ครบครัน
ย่อหน้าที่สองขอเน้นไปที่กล้องถ่ายรูปครับ … Nokia 808 PureView มาพร้อมกับกล้องดิจิตอลที่มีเซ็นเซอร์ใหญ่โตอลังการมาก 1/1.2 นิ้ว ความละเอียด 41 ล้านพิกเซล และคุณสมบัติ Lossless Zoom อันเป็นอานิสงส์จากการย่อขนาดรูป 34 หรือ 38 ล้านพิกเซลให้เหลือแค่ 2-8 ล้านพิกเซลด้วยเทคนิค Oversampling หรือการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดเต็มๆ แต่เอามาใช้แค่สูงสุด 1080p เลยทำให้เจ้านี่สามารถซูมภาพแบบ Digital ได้โดยที่ไม่สูญเสียความคมชัดของภาพ อันเป็นจุดแข็งของ Nokia 808 PureView ที่คู่แข่งยังไม่อาจเทียบได้ในขณะนี้ (แต่แลกมาด้วยน้ำหนักของตัวเครื่องที่สาหัส) และเพราะแนวคิด Losses Zoom นี้ ทำให้เกิดข้อดีอีกอย่างคือ เนื่องจากเป็นการซูมที่ไม่ได้เกิดจากการเลื่อนชิ้นเลนส์ ก็เลยไม่มีเสียงซูมครับ เป็นซูมแบบเงียบสนิทด้วย
สุดท้ายนี้ ปัจจัยในการเลือกซื้อ Nokia 808 PureView ก็คือ ความต้องการที่อยากได้กล้องดิจิตอลดีๆ ซักตัว ที่เป็นมากกว่าแค่กล้องดิจิตอลแบบ Compact ธรรมดาๆ ทั่วไป คือ มีความสามารถในการใช้งานในฐานะโทรศัพท์มือถือได้ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ … เพราะเจ้านี่ถือว่ามีค่าตัวสูงเอาการทีเดียว สำหรับสเปกในฐานะโทรศัพท์มือถือ แต่หากมองในฐานะกล้องดิจิตอล สนนราคาก็ถือว่าคุ้มค่าตัวอยู่ไม่น้อย และจนถึงตอนนี้ จะมีกล้องดิจิตอลตัวไหนบ้างล่ะที่สามารถให้คุณถ่ายภาพแล้วโพสต์อัพเดตบน Facebook หรือ Twitter ได้เลย โดยไม่ต้องโอนภาพมาที่อุปกรณ์อื่นก่อน และที่สำคัญคือ ถ่ายภาพเสร็จ สามารถโยนไฟล์ภาพไปที่ Dropbox ได้เลยด้วยนะ (ต้องดาวน์โหลด App ชื่อ Cutebox มาจาก Nokia Store ฟรีๆ ครับ)
เครดิต : http://www.kafaak.com/2012/07/15/review-nokia-808-pureview-03/
คือบังเอิญเห็นว่าหลายๆคนไม่เข้าใจในคอนเซ็ป Pure View ผมเลยหาข้อมูลมาให้อ่านนะครับ